เรื่อง : อาทิตย์ เคนมี
เหตุการณ์อุกอาจกลางดึกวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 กองกำลังอันธพาลกว่า 300 คน ยกพวกบุกทำร้ายชาวบ้าน ‘กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด’ ที่ขัดขวางการขนแร่ออกจากเหมืองทองคำ อ.วังสะพุง จ.เลย เป็นเหตุให้ชาวบ้านบาดเจ็บนับสิบราย เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความไร้มนุษยธรรมของวงการธุรกิจเหมืองแร่ที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตน จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงการกระทำดังกล่าว
การละเมิดสิทธิชุมชน สิทธิมนุษยชน ด้วยการใช้ความรุนแรง ใช้อิทธิพลข่มขู่คุกคาม สร้างความเคลือบแคลงสงสัยแก่สาธารณชนถึงความไม่ชอบมาพากลของธุรกิจเหมืองแร่ และจุดกระแสสังคมให้หันมาจับตามอง
อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า โครงการเหมืองแร่ทั้งหลายที่ผ่านขั้นตอนการอนุมัติจากรัฐนั้นมีความโปร่งใสจริงหรือไม่ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรที่ถูกซุกไว้ในมุมมืด และมีข้อเท็จจริงอะไรอีกบ้างที่ประชาชนถูกปิดหูปิดตา
วงเสวนาว่าด้วยเรื่อง ‘สิทธิชุมชน ความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อมและธรรมาภิบาล กรณีศึกษาเมืองแร่ทองคำ จ.เลย’ จัดโดยสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา พยายามทบทวนบทเรียนที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และมองไปข้างหน้าว่าประเทศไทยควรจะจัดการกับปัญหาทรัพยากรแร่กันอย่างไร
+ ประทานบัตรนี้ได้แต่ใดมา
จากการติดตามศึกษาข้อมูลและเอกสารราชการเกี่ยวกับการออกประทานบัตรเหมืองแร่ทองคำ อ.วังสะพุง ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้ประสานงานโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา พบข้อสังเกตหลายประการที่แตกต่างไปจากขั้นตอนปกติของการทำเหมือง ซึ่งขั้นตอนทั่วไปต้องเริ่มต้นจากการขออนุญาตสำรวจแร่ จากนั้นจึงจะขอประทานบัตร แต่เหมืองแร่ของบริษัท ทุ่งคำ มีขั้นตอนพิเศษต่างกับการขออนุญาตทำเหมืองของเอกชนรายอื่นๆ
“กรณีบริษัท ทุ่งคำ จะมีลักษณะพิเศษกว่านั้นคือ มีการทำสัญญาครอบลงไปอีกชั้น โดยให้ทั้งสิทธิในการสำรวจและทำเหมืองแร่บนพื้นที่กว่า 300,00 ไร่ ซึ่งไม่เพียงแต่จะให้สิทธิในการทำเหมืองแร่ทองคำเท่านั้น สัญญาฉบับนี้ยังให้สิทธิในการทำเหมืองแร่ชนิดอื่นๆ ด้วย หากมีการสำรวจพบในภายหลัง” เลิศศักดิ์ระบุ
ภายหลังสำรวจแร่ทองคำแล้ว บริษัท ทุ่งคำ ได้มีการสรุปพื้นที่เป้าหมายและขอประทานบัตรจำนวน 110 แปลง หรือประมาณกว่า 30,000 ไร่ แต่หากวันใดวันหนึ่งมีการสำรวจพบแร่อื่นๆ ทุ่งคำก็ยังมีสิทธิในพื้นที่ทั้ง 300,000 ไร่
“สาระสำคัญของสัญญาฉบับดังกล่าวคือ เป็นสัญญาที่มีลักษณะอมตะนิรันดร์กาล หาจุดสิ้นสุดไม่ได้ว่าจะหมดอายุเมื่อใด และประเด็นสำคัญคือประทานบัตรนี้ออกโดยมติ ครม. (วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2530) ไม่ได้ออกภายใต้ พ.ร.บ.แร่ และมีการเสนอผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐในการถือหุ้น 10 เปอร์เซ็นต์ของบริษัท ทุ่งคำ และผลประโยชน์อื่นๆ นอกเหนือจากการสำรวจและทำเหมือง”
สำหรับแนวทางการต่อสู้คัดค้านของภาคประชาชน เลิศศักดิ์ระบุว่า สิ่งที่ต้องศึกษาต่อไปก็คือ จะปลดสัญญาฉบับนี้ออกไปได้อย่างไร ภาคประชาชนจะพึ่งกลไกศาลปกครองในการยับยั้งโครงการได้หรือไม่ นอกจากนี้จะต้องมีการสำรวจให้แน่ชัดด้วยว่า บนพื้นที่กว่า 300,000 ไร่นั้น คาบเกี่ยวพื้นที่ป่าต้นน้ำหรือแหล่งน้ำซับซึมหรือไม่ จำนวนพื้นที่เท่าใด
+ กพร.แจงสัมปทานแร่ รัฐได้ประโยชน์
หลังมีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับสัญญาสัมปทานของบริษัท ทุ่งคำ ชาติ หงส์เทียมจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารสิ่งแวดล้อม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ได้ชี้แจงว่า การให้สัมปทานเหมืองแร่แก่บริษัท ทุ่งคำ เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น (ราวปี 2530 สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์) ที่เร่งรัดให้มีการสำรวจและพัฒนาเหมืองแร่ทองคำ โดยภาครัฐได้เข้าไปสำรวจพื้นที่หลายแหล่งทั่วประเทศ พบพื้นที่ที่มีศักยภาพในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะ จ.เลย รัฐจึงมีมติ ครม.ให้เปิดประมูลพื้นที่ มิใช่ให้สัมปทานแก่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง เจตนารมณ์ของการเปิดประมูลเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อรัฐสูงสุด หากใครให้ผลประโยชน์ต่อรัฐสูงสุด บริษัทนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะชนะการประมูล
ผู้อำนวยการสำนักบริหารสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ภายใต้กรอบสัญญามีข้อกำหนดที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งว่า การดำเนินการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจ การทำเหมือง และการดำเนินการต่างๆ จะต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.แร่ รวมถึงกฎอื่นๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาด้วย
ชาติชี้แจงเพิ่มว่า กรณีการเปิดสัมปทานเหมืองแร่ที่ อ.วังสะพุง เป็นของทุ่งคำประมาณ 300,000 ไร่ โดยมีเงื่อนไขคือให้สำรวจได้เต็มพื้นที่ภายใน 3-5 ปีตามกฎหมายว่าด้วยแร่ เมื่อสำรวจเสร็จแล้วพื้นที่ใดที่เห็นว่ามีศักยภาพในการทำเหมืองแร่ ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือแร่อะไรก็ตาม ให้ยื่นขอประทานบัตรก่อนที่อาชญาบัตรพิเศษ (ใบอนุญาตสำรวจแร่) จะสิ้นอายุ ซึ่งบริษัท ทุ่งคำ ได้ขอประทานบัตรแร่ทองคำจำนวน 110 แปลง เนื้อที่ประมาณ 30,000 ไร่
“เมื่อยื่นคำขอประทานบัตรแล้ว พื้นที่ที่เหลืออีก 270,000 ไร่ บริษัท ทุ่งคำ จะไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใดๆ ได้ ฉะนั้น การที่บอกว่าสัญญาสัมปทานครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 300,000 ไร่ชั่วนิรันดร์ จึงเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เพราะสิทธิของทุ่งคำจะคงอยู่เฉพาะพื้นที่ 30,000 ไร่ตามที่ยื่นคำขอเท่านั้น”
![เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์](http://waymagazine.org/wp-content/uploads/2014/06/เลิศศักดิ์-คำคงศักดิ์-310x414.jpg)
ชาติอธิบายอีกว่า หลังทุ่งคำได้ประทานบัตรแล้ว ก็ได้ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายแร่ทุกประการ ในสัญญาสัมปทานยังกำหนดด้วยว่า บริษัทต้องจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษแก่รัฐนอกเหนือจากค่าภาคหลวงแร่ นั่นคือที่มาของการเสนอหุ้นให้รัฐบาล 10 เปอร์เซ็นต์
“ขอยืนยันว่า หากเมื่อใดก็ตามที่บริษัท ทุ่งคำ ขาดคุณสมบัติ ไม่ดำเนินการตามกฎหมายแร่ สัญญาสัมปทานต่างๆ ก็สามารถเพิกถอนได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการเหมือนเหมืองแร่อื่นทุกประการ ส่วนเรื่องผลกระทบด้านต่างๆ ยืนยันว่าต้องมีการศึกษาและดำเนินการตามขั้นตอน โดยเฉพาะการศึกษาการแพร่กระจายของมลพิษซึ่งผ่านการรับรองแล้วจากนักวิชาการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”
อย่างไรก็ตาม ในวงเสวนามีผู้โยนคำถามขึ้นมาว่า ที่ผ่านมารัฐไทยได้ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นจำนวนเท่าใด และคุ้มค่ากับการเปิดสัมปทานจริงหรือไม่ เมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และวิถีชุมชน
ในประเด็นนี้ จารุกิตติ์ เกษแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 2 อุดรธานี ในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่เหมืองแร่ อ.วังสะพุง ชี้แจงว่า จากการเก็บค่าภาคหลวงตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ทางบริษัทได้จัดสรรผลประโยชน์แก่ภาครัฐราว 350 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีการจัดสรรให้ อบต.เขาหลวง ราว 70 ล้านบาท
“ผลพลอยได้อีกด้านหนึ่งคือ เกิดการจ้างงานกว่า 300 คน ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ภาครัฐได้จัดหางานให้แก่ประชาชน และเป็นหน้าที่ของ กพร.ในการนำทรัพยากรแร่มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ”
+ หวั่นเจรจาไกล่เกลี่ย เอื้อประโยชน์เอกชน
ด้านเลิศศักดิ์ กล่าวต่อว่า คำชี้แจงของ กพร.ฟังดูดี แต่จะเชื่อถือได้หรือไม่นั้นต้องพิสูจน์กันด้วยเอกสารหลักฐาน
เลิศศักดิ์เล่าว่า ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ชายชุดดำบุกทำร้ายประชาชนในคืนวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 พบว่าทางบริษัท ทุ่งคำ ได้มีการขอประทานบัตรเพิ่มเติมเมื่อกลางปี 2556
ปัจจุบันทุ่งคำได้ขอประทานบัตรจำนวน 110 แปลง และได้ทำเหมืองไปแล้ว 6 แปลง หรือประมาณ 1,300 ไร่ ในบริเวณที่เรียกว่าเหมืองภูทับฟ้า ภูซำป่าบอน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านออกมารวมตัวคัดค้าน ทั้งนี้ บริเวณดังกล่าวมิได้มีแค่เหมืองแร่เท่านั้น แต่ยังมีโรงแต่งแร่ โรงถลุงแร่ หรือโรงประกอบโลหะกรรม ฉะนั้น สิ่งที่น่ากังวลก็คือ พื้นที่อีกกว่า 100 แปลงที่เหลือ หากขอประทานบัตรสำเร็จจะต้องมีการลำเลียงแร่ทั้งหมดมาประกอบโลหะกรรมที่วังสะพุง จุดนี้จึงเป็นจุดวิกฤติที่สุด
“มีข้อสังเกตว่า ในช่วงที่มีการขอประทานบัตรแปลงใหม่ที่ภูเหล็ก มีการตรวจเลือดของชาวบ้านพบการปนเปื้อนของสารไซยาไนด์ ปรอท และตะกั่ว มติ ครม.เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554 จึงสั่งให้กระทรวงอุตสาหกรรมชะลอการขยายพื้นที่หรือการขอประทานบัตรของบริษัท ทุ่งคำ บริเวณแปลงภูเหล็ก จนกว่าจะได้ข้อสรุปถึงสาเหตุของการปนเปื้อน
“พร้อมกันนี้ ครม.ยังมีมติให้จัดทำผลการประเมินความคุ้มค่าของฐานทรัพยากรธรรมชาติและค่าภาคหลวงแร่ กับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบสารพิษปนเปื้อน เนื่องจากพบว่ามีปริมาณสารปรอทปริมาณสูงมากเมื่อเทียบกับหมู่บ้านอื่น ซึ่งมติ ครม.ครั้งนี้ส่งผลให้บริษัท ทุ่งคำ ไม่สามารถขอประทานบัตรแปลงอื่นๆ ต่อไปได้” เลิศศักดิ์ระบุ
ต่อมาสถานการณ์ได้พลิกกลับอีกครั้งภายหลังเปลี่ยนแปลงรัฐบาล โดยวันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 มีการรายงานผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำผิวดิน น้ำบาดาล ในพื้นที่เหมืองภูทับฟ้า ภูซำป่าบอน พบว่าไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน จึงเป็นเหตุให้ทุ่งคำสามารถขอประทานบัตรแปลงอื่นๆ ต่อไปได้
นอกจากนี้ ในการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตรยังมีการระบุว่า พื้นที่ภูเหล็กไม่ใช่พื้นที่ป่าต้นน้ำ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นก่อนที่จะมีการทำ EIA HIA ตามมาทีหลัง
“การไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตรมีสาระสำคัญอันเป็นเท็จว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่ใช่ป่าต้นน้ำ นำมาซึ่งการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอีกมาตรฐานหนึ่งเพื่อให้กระบวนการผ่านไปได้ จุดนี้ทำให้ชาวบ้านเห็นว่า ในเมื่อขั้นตอนไม่มีความโปร่งใส แล้วจะเชื่อใจได้อย่างไรกับการขอประทานบัตรแปลงอื่นๆ ที่เหลือ และกลายเป็นความขัดแย้งที่สั่งสมเรื่อยมาตั้งแต่กลางปี 2556 จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์บุกทำร้ายชาวบ้าน”
อย่างไรก็ตาม เลิศศักดิ์ให้ความเห็นว่า ประเด็นที่น่าเป็นห่วงหลังจากนี้คือ สถานการณ์หลังเกิดการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีการส่งกองกำลังทหารมาเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างฝ่ายชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบกับฝ่ายนายทุนเหมือง ซึ่งมีข้อกังวลว่าการเจรจาไกล่เกลี่ยนั้นอาจนำไปสู่การเปิดเส้นทางให้มีการขนแร่ต่อไปได้ เหตุเพราะสืบทราบว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบทำร้ายประชาชนยามวิกาล คือนายนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งในและนอกราชการเป็นผู้บงการ
+ ต้นตอความขัดแย้ง
แสงชัย รัตนเสรีวงษ์ อนุกรรมการด้านสิทธิชุมชน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ในฐานะที่ปรึกษาคดีความต่างๆ ของชาวบ้านที่ถูกลิดรอนสิทธิ์ในหลายกรณี พบว่า ในจำนวนเรื่องร้องเรียนทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากเหมืองแร่ไม่ต่ำกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ไม่เฉพาะเหมืองทองคำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เหมืองหิน และเหมืองแร่ชนิดอื่นๆ
แสงชัยระบุว่า ความขัดแย้งทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลพวงจากโครงการพัฒนาของรัฐ ซึ่งสวนทางกับวิถีชีวิตชาวบ้านที่ยังต้องพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติตามวิถีแบบดั้งเดิม จนกระทั่งถูกรุกรานมากขึ้นเรื่อยๆ
“จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่อาจกล่าวได้ว่ามันเริ่มก่อตัวมาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 เรื่อยมาจนปัจจุบัน”
แสงชัยกล่าวว่า ประเด็นความขัดแย้งอีกส่วนหนึ่งยังเกิดจากความลักลั่นระหว่างข้อเท็จจริงกับข้อกฎหมาย ทำให้โครงการพัฒนาของภาครัฐเกิดปัญหากับชาวบ้านมาโดยตลอด เพราะแทบทุกโครงการที่ผ่านการขออนุญาตจากรัฐล้วนให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง หรือมีการบิดเบือนข้อมูลจนคลาดเคลื่อนในทุกกระบวนการ เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการสำรวจ การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม จนถึงการยื่นขอใบอนุญาต
“ในรายงานการสำรวจหรือการอนุมัติโครงการต่างๆ มักพบเสมอว่าไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จากประสบการณ์การตรวจสอบของอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชน บอกได้เลยว่าผลการตรวจสอบเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ของทุกโครงการที่ชาวบ้านร้องเรียนเข้ามา พบว่ามีรายงานที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ยิ่งกว่านั้นหน่วยงานรัฐเองยังไม่สามารถให้การรับรองได้ว่า กระบวนการผลิตต่างๆ ของเหมืองแร่จะปลดปล่อยสารพิษอันตรายที่มีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมหรือไม่เพียงใด”
+ ประชาพิจารณ์จัดฉาก
แม้ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และ 2550 จะกำหนดไว้ชัดเจนว่า โครงการใดๆ ก็ตามที่มีผลกระทบต่อประชาชนย่อมไม่สามารถทำได้หากไม่มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นก่อน แต่ข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
“เราพบว่ากระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่หน่วยงานรัฐดำเนินการนั้นเป็นเพียงแค่รูปแบบผิวเผิน แต่ไม่มีสาระของการรับฟังความคิดเห็นอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างเช่น การอ้างว่าโครงการนี้ดีเพราะทำให้เกิดการจ้างงาน แต่ข้อมูลรายละเอียดโครงการกลับไม่มีการเปิดเผย ฉะนั้นจะเรียกว่าเป็นกระบวนการรับฟังความคิดเห็นโดยชอบได้อย่างไร และที่สำคัญกระบวนการแปลกประหลาดเช่นนี้เองที่เป็นต้นตอของการออกใบอนุญาตจากรัฐแทบทุกกรณี
“พูดง่ายๆ ว่า กระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเป็นเพียงแค่พิธีกรรมเพื่อออกใบอนุญาตของหน่วยงานราชการ ซ้ำร้ายกว่านั้นหลายโครงการยังไม่มีการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นด้วยซ้ำไป” แสงชัยกล่าว
ฉะนั้น ความอ่อนแอของรัฐไทยในการจัดการทรัพยากรแร่คือ การขาดกระบวนการตรวจสอบการพิจารณาออกใบอนุญาตที่บกพร่องของหน่วยราชการ ซึ่งหากมีกลไกการตรวจสอบที่ดีพอก็อาจช่วยป้องกันปัญหาไม่ให้ลุกลามหรือส่งผลกระทบรุนแรงต่อชาวบ้านได้
“สิ่งที่ต้องตั้งคำถามคือ เรามีกระบวนการตรวจสอบที่เข้มข้นเพียงพอแล้วหรือไม่ เพราะทุกครั้งที่เราได้เชิญหน่วยงานราชการต่างๆ มาชี้แจง คำตอบที่มักได้รับอยู่เสมอก็คือ เจ้าหน้าที่มีน้อยและงบประมาณมีจำกัด ดังนั้น กระบวนการตรวจสอบจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการสุ่ม เช่น 1 ปีจึงจะออกไปตรวจเหมือง 1 ครั้ง และสุดท้ายผลการตรวจสอบก็จะสรุปออกมาว่า ค่ามลภาวะไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดใจมากว่า เมืองไทยเรานั้นมีผู้เสียชีวิตจากมลภาวะที่ไม่เกินค่ามาตรฐานมาโดยตลอด”
+ สิทธิชุมชนที่หายไป
อุปสรรคสำคัญอีกด้านหนึ่ง แสงชัยพบว่า เมื่อชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากโครงการพัฒนาของรัฐแล้วก็เป็นเรื่องยากลำบากในการที่ชาวบ้านจะลุกขึ้นมาฟ้องร้องดำเนินคดี และหากร้องเรียนไปก็มักจะได้รับคำตอบกลับมาว่า ต้องไปหาข้อพิสูจน์ที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า โครงการดังกล่าวได้ก่อให้เกิดมลพิษต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ชาวบ้านจะมีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในการตรวจพิสูจน์ อีกทั้งยังมีข้อจำกัดทางด้านต้นทุน
แสงชัยมองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้สังคมต้องย้อนกลับมาคิดว่า แท้จริงแล้วต้นตอของปัญหาเกิดจากอะไร และเหตุใดจึงเกิดปัญหาเหมืองกันทั้งประเทศ
“เบื้องต้นผมคิดว่าต้นตอประการแรกมาจากจุดมุ่งหมายที่ขัดแย้งกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่มุ่งแต่จะพัฒนา กับชาวบ้านที่ยังต้องพึ่งพาอาศัยทรัพยากรธรรมชาติในการดำรงชีวิต เมื่อเป้าหมายหน่วยงานของรัฐมุ่งสู่ทิศทางเช่นนี้แล้ว รัฐจึงต้องหาวิธีการขจัดอุปสรรคต่างๆ กระทั่งท้ายที่สุดแล้วสิทธิของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข้อเท็จจริงและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของชาวบ้านจึงถูกลิดรอนไป”
ข้อสรุปทิ้งท้ายของแสงชัยชวนให้ความหวังไว้ว่า หนทางคลี่คลายปัญหาอาจเกิดขึ้นได้ หากรัฐปรับเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ว่า รัฐมิใช่ผู้มีอำนาจสูงสุดในการจัดสรรทรัพยากร หากแต่ต้องรับฟังเสียงของผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะประชาชนคือเจ้าของทรัพยากรตัวจริง
****************************************************
(ที่มาภาพ: facebook.com/loeiminingtown)