ในถุงของขวัญลุงซานตู่

และแล้วก็มาถึงวันที่เด็กๆ ทั้งหลายรอคอย ตามธรรมเนียมตะวันตก เทศกาลคริสต์มาสคือช่วงเวลาแห่งความสุข คืนคริสต์มาสในวันนี้ กล่องของขวัญวางเรียงรายกันมากมาย ว่าแต่ของขวัญมาจากไหน ใครให้มา

นึกออกแล้ว ต้องเป็นซานตู่คลอส ซานตู่พร้อมถุงใส่ของขวัญ ลุงคนนี้ต้องแอบเอาของขวัญแห่งความสุขใจมาให้เราแน่ๆ 

เป็นเรื่องน่าดีใจมากๆ ที่เราได้ทราบความจริงว่า ของขวัญเหล่านี้ ซานตู่คลอสผู้น่ารักใช้เวลาแรมปีลงมือทำเองห่อเองกับมือ กว่าของขวัญทั้ง 10 กล่องจะกองเต็มถุง เราแกะกล่องหลังคริสต์มาส วัน boxing day แล้วก็พบว่า ของที่อยู่ข้างในทำให้เราเซอร์ไพรส์มากเลย 

แต่เก็บไว้คนเดียวคงไม่ดีนัก เราจึงเอาของขวัญจากลุงซานตู่ทั้ง 10 กล่องมาเปิดทีละกล่อง และแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ในช่วงคริสต์มาสปลายปีนี้ด้วยกัน

1. ให้รัฐธรรมนูญ

ร่างรัฐธรรมนูญ 2559 นับเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาล ‘ลุงซานตู่’ ตามที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะคืนประชาธิปไตยโดยเร็ว มีประชาชนลงประชามติเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับกว่า 16 ล้านเสียง และเห็นชอบกับคำถามพ่วงที่เปิดทางให้มี ‘นายกฯคนนอก’ 15 ล้านเสียง สะท้อนได้ว่าประชาชนเสียงส่วนใหญ่พร้อมยินยอมมอบทั้งใจและกายให้กับท่านผู้นำโดยละม่อม เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความฝันของคนไทยที่อยากเห็นการเลือกตั้งก็เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นทุกที

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้วางเงื่อนไขไว้อย่างรัดกุม ไม่เปิดช่องให้พรรคการเมืองหน้าเหลี่ยมหรือ ‘ผีทักษิณ’ และบรรดานักการเมืองจอมโกง ได้กลับเข้ามาครองอำนาจอีก โดยออกแบบกลไกเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม เพื่อให้ได้รัฐบาลผสมจากหลายพรรค เพราะการมีรัฐบาลที่เข้มแข็งเกินไปนั้นจะทำให้เหลิงอำนาจและกุมเสียงข้างมากในสภาได้อย่างเบ็ดเสร็จ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีคุณธรรมและจริยธรรม หากได้รัฐบาลที่มีลักษณะเช่นนี้แล้ว เชื่อมั่นว่าประเทศชาติย่อมจะเจริญรุ่งเรืองตามโรดแมปจนกู่ไม่กลับอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงห้าปีแรกหลังการเลือกตั้ง หรืออีกความหมายก็คือแปดปี (ของรัฐบาลสองสมัย) นายกรัฐมนตรีและประธาน คสช. ของเราจะไม่ทอดทิ้งประชาชนให้เปล่าเปลี่ยว แต่จะอยู่เคียงคู่ไปกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คอยดูแลประคับประคองอย่างใกล้ชิด และหากประชาชนยังไม่หายคิดถึง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เปิดช่องให้ สว.แต่งตั้ง ทั้ง 250 คน สามารถเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และบรรดาอัศวินผู้พิทักษ์ชาติ กลับเข้ามาเป็นนายกฯ ได้ทุกเมื่อ เพื่อเป็นมิ่งขวัญให้กับประชาชนต่อไป

ของขวัญชิ้นพิเศษที่หัวหน้า คสช. มอบให้ประชาชนยังไม่หมดแค่นั้น ด้วยวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกลของท่านผู้นำ ยังมีการวางรากฐานประเทศระยะยาวที่เรียกว่า ‘แผนยุทธศาสตร์ชาติ’ ที่จะทำให้ประชาชนอุ่นใจในความมั่นคงไปอีกอย่างน้อย 20 ปี นับเป็นคุณูปการของลุงซานตู่ที่ลูกหลานของเราจะต้องจดจำไปตราบนานเท่านาน

2. ให้ความอุ่นใจ

“ไม่ใช่ต้องการแต่ซื้ออาวุธอย่างเดียว ซื้อมาก็เป็นภาระอีก ต้องผ่อน ต้องชำระ งบประมาณจะไปทำอย่างอื่นก็น้อยลง แต่จำเป็น จะทำอะไรก็ตาม จะมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง จะเป็นศูนย์กลาง ทุกอย่างต้องมีพาวเวอร์ตรงนี้ไว้ เรียกว่าอำนาจการรบที่ไม่มีตัวตน ขวัญกำลังใจ อาวุธและเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ๆ ไม่ได้ต้องการสะสมไปแข่งกับใคร ทำเพื่อไม่ต้องรบกัน ให้เกรงกันบ้างเท่านั้นเอง…”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

 

นอกจาก ‘ท้อง’ กองทัพต้องมี ‘อาวุธ’ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอช นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แถลงไว้ดังข้อความข้างต้น

ใน พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 มาตรา 6 งบประมาณรายจ่ายของกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานในกํากับ ให้ตั้งเป็นจํานวน 210,777,461,400 บาท จำแนกดังนี้

  •  สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม รวม 9,119,644,300 บาท
  • กรมราชองครักษ์ รวม 859,812,600 บาท
  • กองบัญชาการกองทัพไทย รวม 16,237,808,600 บาท
  • กองทัพบก รวม 103,909,153,200 บาท
  • กองทัพเรือ รวม 41,155,400,200 บาท
  • กองทัพอากาศ รวม 39,047,147,200 บาท
  • สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) รวม 448,495,300 บาท
อ้างอิงข้อมูลจาก: พระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560

 

สำนักข่าวประชาชาติธุรกิจ รายงานงบประมาณของกระทรวงกลาโหมตั้งแต่ปี 2549-2559 ดังนี้

  • 2549 จำนวน 85,936 ล้านบาท
  • 2550 จำนวน 115,024 ล้านบาท
  • 2551 จำนวน 143,519 ล้านบาท
  • 2552 จำนวน 170,157 ล้านบาท
  • 2553 จำนวน 154,032 ล้านบาท
  • 2554 จำนวน 168,501 ล้านบาท
  • 2555 จำนวน 168,667 ล้านบาท
  • 2556 จำนวน 180,491 ล้านบาท
  • 2557 จำนวน 183,820 ล้านบาท
  • 2558 จำนวน 192,949 ล้านบาท
  • 2559 จำนวน 207,718.9 ล้านบาท
อ้างอิงข้อมูลจาก: http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1466858839

 

สำหรับงบประมาณของกระทรวงกลาโหมในปี 2560 จำนวน 210,777,461,400 บาท

กองทัพไทยมีหน้าที่สร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศ ดังจะเห็นตั้งแต่เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น GT 200 หรือเตรียมโครงการตั้งโรงงานผลิตอาวุธ เป็นต้น

ตอบโจทย์ที่ว่า ประเทศไทยจะ ‘มั่งคั่ง’ ‘ยั่งยืน’ ได้ จำเป็นต้องมีความ ‘มั่นคง’

3. ให้เราไม่รกหูรกตา

หลังจากปีที่แล้ว บิ๊กตู่ – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปฏิรูปวงการแผงค้าริมทางด้วยการจัดระเบียบผู้ค้าย่านคลองถม-สะพานเหล็ก ปฏิบัติการทวงคืนซอกซอย พื้นถนนและฟุตบาธเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จนเป็นที่มาของภาพความสะอาดตาโล่งเตียน จากที่แต่ก่อนรกเรื้อไปด้วยร่มยักษ์และข้าวของสารพัด เป็นที่ปลาบปลื้มใจของคนไทยทั้งชาติ

มาปีนี้ – 2559 นโยบายการจัดระเบียบเมืองยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

เมษายน ถึงคิวของผู้ค้าดอกไม้ย่านปากคลองตลาดที่ต้องย้ายแหล่งทำกินไปยังที่ที่รัฐบาลจัดไว้ให้

ตุลาคม คิวรถตู้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิถูกอัปเปหิออกไปสู่สถานีขนส่งหลักทั้งสามแห่ง คือ สถานีขนส่งหมอชิตรองรับรถตู้สายเหนือ สถานีขนส่งเอกมัยรองรับรถตู้สายตะวันออก และสถานีขนส่งสายใต้ที่รองรับรถตู้ที่จะเดินทางไปภาคใต้และภาคตะวันตก โดยรัฐบาลจัดรถ shuttle bus รับส่งฟรีจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิสู่สถานีขนส่งทั้งสามแห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่เดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดให้เข้าถึงรถตู้ได้สะดวกยิ่งขึ้น         

ตลอดปีที่ผ่านมาการจัดระเบียบเมืองของรัฐบาลเป็นไปด้วยความราบรื่น แม้ประชาชนจะออกมาบ่นโอดโอยเพราะความไม่สะดวกในการใช้รถตู้ และผู้ค้าออกมาคัดค้านที่ถูกไล่ที่ทำกินจนถึงขั้นหลั่งน้ำตาอ้อนวอน แต่นั่นไม่ได้ส่งผลอันใด เพราะความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองย่อมสำคัญกว่า และ ความจนไม่ใช่ข้ออ้างของการละเมิดกฎหมาย

                                                               อ้างอิงข้อมูลจาก: http://www.komchadluek.net/news/crime/225289
http://www.posttoday.com/biz/gov/461690
http://nwnt.prd.go.th/centerweb/news/NewsDetail?NT01_NewsID=TNSOC5911120010021

4. ให้ชีวิต 4.0

หากจะหาของขวัญที่ดูทันสมัยสักนิด แหวกถุงซานต้าดู คงหนีไม่พ้นประเทศไทย 4.0 ที่สร้างโรดแมปใหม่ ก่อกระแส 4.0 จนอะไรๆ ก็เป็น 4.0 ไปหมด ไม่เว้นกระทั่งฟุตบอลไทย 4.0

นับเป็นข่าวดีไม่น้อย เมื่อรัฐบาลกำลังจะพัฒนาชาติไปสู่ยุคประเทศไทย 4.0 ตามแนวคิดของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เศรษฐกิจที่ใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ เข้ามาเป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนประเทศ ภายใต้แนวคิด ‘ประชารัฐ’ ซึ่งจะทำให้คนไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางไปสู่การพัฒนาสู่ความยั่งยืนร่วมกัน

การพัฒนาประเทศไทยในแนวทาง 4.0 มีหลายด้าน เช่น การเกษตรและอาหาร ที่ทำงานร่วมกับภาคเอกชน คือ กลุ่มมิตรผล บริษัท ไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่นโปรดักส์ และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ยกตัวอย่าง พัฒนาเทคโนโลยีการเกษตร (Agritech) เทคโนโลยีอาหาร (Foodtech) โดยมีปลายทางคือ การจัดตั้งเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) เพื่อปฏิรูปและยกระดับการพัฒนาประเทศไปสู่การเป็นชาติที่ ‘มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน’ เน้นการทำน้อยได้มาก  

มองเฉพาะด้านเทคโนโลยี ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีดิจิตัล ใช้ระบบออนไลน์ในการทำธุรกิจ โดยมี พ.ร.บ.คอม เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพและดูแลความปลอดภัย ยกระดับให้ใกล้เคียงกับ NSA ของสหรัฐเข้าไปอีกขั้น สามารถสอดส่องข้อมูลต่างๆ ได้ เพื่อความอุ่นใจของประชาชนส่วนใหญ่ รวมถึงการริเริ่มสร้างอุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ มีสมองกล AI ใช้ในประเทศ ทั้งหมดจะทำให้ธุรกิจ startups เกิดขึ้นใหม่มากมาย ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

อ้างอิงข้อมูลจาก: http://www.thairath.co.th/content/613903
http://www.posttoday.com/analysis/report/443471

5. ให้คลังคำใหม่ๆ แก่สังคม

ทุกปัญหาแก้ได้ด้วยทัศนคติเชิงบวก

นอกจากการแตกความสามัคคีอันเกิดจากปัญหาการเมืองตลอดหลายปีที่ผ่านมา อีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้เราเดินถอยหลัง ส่วนหนึ่งมาจากความคิดลบๆ จากภาษาที่มีความหมายเชิงลบนี่แหละ หนึ่งในหน้าที่ที่รัฐบาลพยายามปลูกฝังตลอดมา ก็คือการ ‘นิยาม’ คำศัพท์ใหม่ให้กับประชาชนชาวไทย

  • เผด็จการ – ประชาธิปไตย 99.99 เปอร์เซ็นต์
  • ประชานิยม – ประชารัฐ
  • ควบคุมตัว – ปรับทัศนคติ
  • รัฐประหาร – คืนความสุข
  • คนรากหญ้า – ผู้มีรายได้น้อย
  • ข้อเท็จจริง – บิดเบือน
  • นักกิจกรรม – ผู้ก่อความไม่สงบ สร้างความแตกแยก

และอีกมากมาย   

6. ให้ปากท้องไม่แห้งผาก

จาก ‘รายการเดินหน้าประเทศไทย’ และ ‘รายการคืนความสุขให้คนในชาติ’ จะได้รับข้อมูลว่า ทุกวันนี้เศรษฐกิจบ้านเรากำลังเติบโตอย่างมาก

เฉพาะปีที่ผ่านมา เราเห็นความทุ่มเทของรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ กำหนดแผนนโยบายไปสู่ ‘ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน’ ของประเทศชาติมาอย่างสม่ำเสมอ

ไม่ว่าจะเป็น หนึ่ง-การต่อรองในโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงไทย-จีน จากการตั้งเป้าให้จีนร่วมลงทุน 60 เปอร์เซ็นต์ ไทย 40 เปอร์เซ็นต์ แต่หลังจีนตัดบทไม่ร่วมลงทุนในสัดส่วนดังกล่าว รัฐบาลของเราก็กล้าหาญพอที่จะประกาศ ‘แบกรับความเสี่ยง’ ไว้เพียงผู้เดียว ด้วยการเดินหน้าลงทุนรถไฟความเร็วสูงเส้นทาง ‘สูง ‘กรุงเทพฯ-แก่งคอย-โคราช’ ด้วยงบ (เงินกู้) 1.7 แสนล้านบาท มีแผนก่อสร้างในต้นปี 2560

สอง-โครงการ ‘ช็อป ช่วย ชาติ’ ต้อนรับลมหนาวถึงปลายธันวาคมนี้ เงื่อนไขก็แสนจะตรงไปตรงมา ยุติธรรม และพุ่งเป้าไปช่วยคนรากหญ้า อุ๊บส์! ผู้มีรายได้น้อย อย่างแท้จริง เพราะการเก็บใบเสร็จนำไปลดหย่อนภาษีได้ รัฐบาลได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า ‘ส่วนลดที่จะได้ ขึ้นกับฐานเงินเดือน หรือฐานภาษีของตัวเองเท่านั้น’

เช่น คนเงินเดือน 15,000 บาท รายได้ทั้งปีเท่ากับ 180,000 บาท มีฐานภาษี 5 เปอร์เซ็นต์ ก็ขอส่วนลดได้มากสุด 750 บาท (ซื้อเต็มวงเงิน 15,000 บาท ได้ส่วนลด 750 บาท) ยิ่งรวยมากก็ยิ่งได้ลดเยอะ

สาม-บริษัทประชารัฐรักสามัคคี (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้คอนเซ็ปท์ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ และประสานความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน โดยคณะกรรมการทั้ง 12 กลุ่ม กว่า 200 รายชื่อ พบกว่า 73 เปอร์เซ็นต์เป็นภาคเอกชน เช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ เครือซิเมนต์ไทย ไทยเบฟฯ มีเก้าอี้ในกรรมการชุดต่างๆ เกือบทุกชุด  

อ้างอิงข้อมูลจาก: http://www.thairath.co.th/content/815326
https://www.facebook.com/biothai.net/posts/1013049758733545:0

7. ให้ความปรองดองแก่ผองเรา

การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2559 เป็นหมุดหมายสำคัญที่ประเทศไทยจะก้าวเดินต่อ บรรยากาศก่อนช่วงลงประชามติในครั้งนี้จึงมีกิจกรรมสร้างความปรองดอง เช่น งดการดีเบต งดการวิพากษ์วิจารณ์ และใครที่สร้างบรรยากาศของความคิดต่าง ก็จะถูกดำเนินคดีความ

เว็บไซต์ iLaw รวบรวมสถิติผู้ถูกดำเนินคดีฐานขัด พ.ร.บ.ประชามติ ตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน-7 สิงหาคม 2559 มีจำนวนทั้งสิ้น 64 คดี พฤติการณ์ของผู้ถูกดำเนินคดีมีตั้งแต่ เขียนวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ 2559 ผ่านเฟซบุ๊ค / แจกใบปลิวรณรงค์ให้ไปออกเสียงประชามติ / น่าเชื่อว่าจะมาทำการแจกเอกสารบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญ 2559 / เผยแพร่จดหมายบิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ 2559 / เขียนจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 2559 ผ่านเฟซบุ๊ค / ตะโกนเชิญชวนไม่ให้ไปลงประชามติ / จัดกิจกรรม ‘พูดเพื่อเสรีภาพ รัฐธรรมนูญกับคนอีสานฯ’ / ฉีกบัตรลงคะแนนเสียงประชามติ ไปจนถึง ตะโกนเผด็จการจงพินาศในหน่วยออกเสียง

ขณะผู้ถูกดำเนินคดีฐานขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 และความผิดตามกฎหมายอื่น จากวันที่ 19 มิถุนายน – 30 กรกฎาคม 2559 มีผู้ถูกกำดำเนินคดี 131 คดี พฤติการณ์ของผู้ถูกดำเนินคดี เช่น เปิดศูนย์ปราบโกง / จัดกิจกรรมปัดฝุ่นอนุสาวรีย์ปราบกบฏ / ฉีกบัญชีรายชื่อประชามติ / ฉีกกระดาษที่บอร์ดบัญชีมามวนและจุดไฟสูบ / เมาและทำลายหน่วยออกเสียงและบอร์ดบัญชี / ขายซีดีเพลงไม่มีฉลากในเวทีประชามติ

นอกจากคดีที่เกี่ยวข้องกับการจัด พ.ร.บ.ประชามติ ยังมีพฤติการณ์ที่แสดงถึงการสร้างความแตกแยกและไม่สงบอีกมากมาย และคดีความอยู่ระหว่างพิจารณาคดี เช่น

อานนท์ นำภา ทนายความและนักกิจกรรมกลุ่มพลเมืองโต้กลับ ได้นัดทำกิจกรรมเพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวแปดแอดมินแฟนเพจ ‘เรารักพล.อ.ประยุทธ์’ จากการควบคุมตัวภายในค่ายทหารเมื่อ 27 เมษายน 2559 โดยการ ‘ยืนเฉยๆ’ เป็นต้น

8. ให้ความมั่นคงด้วย ม.44

ม.44 ของรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว 2557 กลายมาเป็นไม้ตาย เคล็ดวิชาผ่าทางตันทุกๆ ปัญหานานาประการของประเทศ แต่รัฐบาล คสช. ยืนยันว่า จะเพลาการใช้ ม.44 ลงแน่นอน ขอประชาชนได้โปรดไว้ใจ

“วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายดูแลด้านกฎหมาย ยืนยันในงานแถลงผลงานครบรอบ 2 ปีรัฐบาล คสช. เมื่อ 11 กันยายน 2559 ว่า ไม่ได้เสพติดการใช้อำนาจตามมาตรา 44 และนับจากนี้รัฐบาลจะใช้มาตรา 44 ให้น้อยลง”

อ้างอิงข้อมูลจาก: ‘บิ๊กตู่’ แถลงโชว์! ผลงาน-คสช.2ปี ประสบผลสำเร็จปราบ ‘คอร์รัปชัน’ คลอด ก.ม. เพียบ

 

  • สถิติการใช้ ม.44
  • ปี 2557 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ         1       ฉบับ
  • ปี 2558 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ         48     ฉบับ
  • ปี 2559 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ         76     ฉบับ* (นับถึง 23 ธันวาคม 2559) 
อ้างอิงข้อมูลจาก: ฐานความรู้ห้องสมุดรัฐสภา สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

 

The Best of ม.44

ไม่มีอะไรใต้ดวงอาทิตย์นี้ที่ ม.44 จะสั่งการไม่ได้

เพราะมีภาพลักษณ์ว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกโรคกับการทุจริตหรือคอร์รัปชัน ม.44 จึงได้ชื่อว่า เป็นยาแรงที่มีไว้เพื่อปราบโกงโดยไม่เกรงใจใคร จากโพลสำนักหนึ่งที่ชี้ว่า ประชาชนเห็นด้วยกับการใช้ ม.44 ปราบทุจริต (โพลหนุนใช้ ม.44 ปราบ ขรก.ทุจริตต่อ มองคอร์รัปชันไทยรุนแรงมาก แต่เชื่อมือ รบ.)

 

การใช้อำนาจตาม ม.44 ที่แก้ปัญหาได้ชะงัดที่น่าสนใจไปกว่าการปลดผู้ว่าฯ กทม. เช่น 

คำสั่ง คสช. ที่ 9/2559 ประกาศเมื่อ 8 มีนาคม 2559 เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยสาระสำคัญคือเพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความเร่งให้ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐสำหรับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ

ชิ้นสำคัญคือการผนึกกำลังของสองคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 3+4/2559 คือ การโนสนโนแคร์ผังเมือง และเปิดช่องให้นายทุนสามารถตั้งกิจการแปลกใหม่ที่ไหนก็ได้

9. ให้ความมั่นคง มั่นใจ ยังไงก็ไม่เปลี่ยน

feel like old days

วันคืนเก่าๆ ที่แสนดีกำลังจะยืดยาวต่อไปไม่สิ้นสุด หลังประกาศ ม.44 ขยายเวลาเรียกคืนคลื่นวิทยุออกไปอีกห้าปี

“พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากเดิมตามแผนแม่บทปี 2555 คลื่นความถี่วิทยุของหน่วยงานรัฐต้องส่งคืน กสทช. ภายในเดือนเมษายน 2560 แต่เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไป จึงขยายระยะเวลาการใช้แผนแม่บทออกไปอีกห้าปี”

ฟังเผินๆ ก็ดูไม่มีอะไรน่ากังวล แค่ยืดเวลาออกไปอีกแค่ห้าปีเท่านั้น ก็สถานการณ์มันเปลี่ยนไปจากตอนประกาศแผนแม่บทแบบพลิกฝ่ามือ รออีกห้าปีคงไม่เป็นไร

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสื่อและโทรคมนาคมมองว่า คลื่นความถี่ถือเป็นทรัพยากรสาธารณะ หน่วยงานรัฐที่ไม่ได้มีหน้าที่ตามกฎหมายและไม่สามารถพิสูจน์ความจำเป็นได้ กสทช. มีหน้าที่เรียกคลื่นเพื่อนำมาจัดสรรใหม่ ซึ่งจะมีความเป็นธรรมมากกว่า นอกจากนั้นคลื่นร้อยละ 20 สมควรถูกจัดสรรให้ภาคประชาชน แต่…ก็อย่างที่ พล.ท.สรรเสริญ บอกว่า สถานการณ์ปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว

อ้างอิงข้อมูลจาก: http://prachatai.org/journal/2016/12/69332

10. ให้ความซื่อสัตย์ เถรตรง ไม่โกงกิน

ภายใต้มาตรฐานคุณธรรมและจริยธรรมของรัฐบาล คสช. ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า การบริหารราชการเกือบสามปีที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ถือเป็นแบบอย่างของการปราบทุจริตคอร์รัปชันได้อย่างสิ้นซาก และเป็นรัฐบาลที่สามารถประกาศสงครามกับคนโกงได้อย่างสง่างาม

ดังเห็นได้จากกรณีข้อกล่าวหาทุจริต ‘อุทยานราชภักดิ์’ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ามีขบวนการหักหัวคิวจากเอกชนหลายสิบล้าน ซึ่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ออกมายืนยันแล้วว่ามีการแอบอ้างเรียกหัวคิวจริง แต่ได้นำเงินนั้นไปบริจาคเข้ามูลนิธิเล้ว กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ประสานเสียงพร้อมกันว่า ไม่มีการทุจริตแต่อย่างใด และไม่จำเป็นต้องตรวจสอบหาข้อเท็จจริง สุดท้ายคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาประทับตรายางยืนยันความสะอาดหมดจดด้วยมีมติ 9 ต่อ 0 เสียง

เช่นเดียวกับกรณี ‘ทัวร์ฮาวายเหมาลำ’ ของ พล.อ.ประวิตร และชาวคณะ ที่ถูกผู้ไม่หวังดีออกมาเปิดโปงเมนูไข่ปลาคาเวียร์สุดหรู และการควงนักข่าวสาวสะพรั่งไปดูงานถึงต่างแดน ซึ่งท้ายที่สุดก็ได้รับการยืนยันจากปาก ‘บิ๊กป้อม’ แล้วว่าไม่เป็นความจริง เป็นแค่เมนูก๋วยเตี๋ยวธรรมดาๆ เท่านั้น อีกอย่างคือ บิ๊กป้อมเป็นคนโสด ทำอะไรก็ไม่ผิด

ยังไม่นับกรณีข้อกังขาในการแสดงบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม และเงินที่งอกในบัญชี ‘แม่ผ่อง’ ผ่องพรรณ จันทร์โอชา น้องสะใภ้ท่านนายกฯ ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยถึงที่มาที่ไป และสุดท้ายก็ได้รับการประทับตรายางยืนยันจาก ป.ป.ช. ว่าโปร่งใส ไม่มีเจตนาปกปิด เพียงแค่กรอกข้อมูลไม่ครบถ้วนก็เท่านั้น

“จะเอาอะไรกับผมนักหนา ผมมีที่มาที่ไปนะ บ้านผมไม่ใช่ว่าจนนะ ต้องไปดูรายละเอียดให้ชัดเจน…คนอื่นที่เขามีห้าร้อยล้าน พันล้านทำไมไม่ตรวจสอบเขาบ้าง ผมอยากรู้” พล.อ.ปรีชา ว่าอย่างนั้น

ปิดท้ายด้วยกรณีติดยศว่าที่ร้อยตรีให้ ปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา บุตรชาย พล.อ.ปรีชา และการรับเหมางานก่อสร้างของกองทัพภาค 3 อย่างน้อยสองโครงการ วงเงินกว่า 26 ล้าน เรื่องนี้ก็จงอย่าได้สงสัย โดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ถึงขั้นออกแถลงการณ์แสดงความชื่นชมและเชื่อมั่นต่อครอบครัวจันทร์โอชา  

ขาวสะอาด ผ่องแผ้ว ไร้มลทินใดๆ ให้ติฉิน เป็นข้อพิสูจน์ถึงความซื่อสัตย์ของรัฐบาลได้อย่างไร้ข้อกังขา และไม่ต้องการข้อพิสูจน์อะไรไปมากกว่านี้แล้ว

เอวังด้วยประการฉะนี้

 

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า