ผู้ชายที่มีปัญหาผมบางหรือศีรษะล้านจนรู้สึกว่าต้องพึ่งการใช้ยา หากได้รับทราบผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาปลูกผมฟีแนสเตอร์ไรด์ (Finasteride) ซึ่งมีชื่อทางการค้าหลากหลาย อาทิ Propecia, Proscar และ Harifin อาจเปลี่ยนความคิดเสียใหม่
17 ปีที่ผ่านมา Propecia และยาชื่อทางการค้าอื่นๆ ที่มีตัวยาฟีแนสเตอร์ไรด์ ได้รับอนุญาตให้วางจำหน่ายเพื่อรักษาอาการผมร่วงและศีรษะล้านที่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนเพศชาย หรือจากปัญหากรรมพันธุ์ ขณะที่มีผลข้างเคียงสำคัญพึงระวังและสังเกตหลังรับประทานยาตามมาหลายด้าน
หลังจากวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 1997 มันมาพร้อมคำเตือนผลข้างเคียงด้านสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งระบุว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยกว่าร้อยละ 2 และจะหายไปเมื่อผู้ใช้หยุดรับประทานยา ขณะที่บนฉลากยาก็ระบุว่าอาจมีอาการของ gynecomastia หรือเนื้อเยื่อเต้านมในเพศชายขยายขนาดได้
มูลนิธิ Post-finasteride syndrome (PFS) คือแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลผู้ที่รับยา finasteride แล้วเกิดผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ต่อทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจ รวมถึงสมรรถภาพทางเพศ ที่มีการเก็บสถิติและได้รับรายงานจากผู้ใช้จริง
- ผลกระทบด้านร่างกาย ได้แก่ เกิดการขยายขนาดของเต้านมในเพศชาย ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นมะเร็งเต้านมได้
- ผลทางด้านจิตใจ ได้แก่ เกิดภาวะวิตกกังวล มีอาการซึมเศร้า นอนไม่หลับ
- ผลทางสมรรถภาพทางเพศ ได้แก่ มีปัญหาเรื่องการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ขาดแรงขับทางเพศ มีปัญหาไม่ถึงจุดสุดยอด
หน่วยงานกำกับดูแลความปลอดภัยด้านยาและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพของอังกฤษ (Medicines and Healthcare products Regulatory Agency: MHRA) ออกรายงานเตือนเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาฟีแนสเตอร์ไรด์ในเดือนธันวาคม 2009 ระบุ มีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเพศชายทั่วโลก 50 ราย มีประวัติใช้ยาฟีแนสเตอร์ไรด์ขนาด 5 มิลลิกรัมติดต่อกัน 5 ปี ขณะที่อีก 3 ราย พบมะเร็งเต้านม มีประวัติรับประทานยาฟีแนสเตอร์ไรด์ขนาด 1 มิลลิกรัมติดต่อกันอย่างน้อย 5 ปีเช่นเดียวกัน
ขณะนี้ ความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมของผู้ชายที่มีประวัติรับยาฟีแนสเตอร์ไรด์ขนาด 5 มิลลิกรัม อยู่ที่ 7-8 ราย ต่อผู้ป่วย 100,000 รายต่อปี แม้จะเป็นตัวเลขที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่เมื่อผู้ป่วยรับยาแล้วเกิดความผิดปกติของขนาดเต้านม มีก้อน รูปร่างหัวนมเปลี่ยนไป หรือมีสารคัดหลั่งออกจากหัวนม ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
แอนดรู ไรน์ ศัลยแพทย์และอดีตหัวหน้าแผนกด้านการวางแผนครอบครัวของบริษัท Merck ในไอร์แลนด์ คือหนึ่งในแพทย์นับร้อยที่ยืนยันว่าแม้จะหยุดยาแล้ว แต่ผลข้างเคียงบางอย่างอาจยังดำรงอยู่ ไรน์ให้ข้อมูลว่า แม้ผู้ป่วยจะใช้ยาติดต่อกัน 2-3 เดือน ก็อาจทำให้เสี่ยงกับปัญหา sexual anhedonia หรือกลายเป็นคนที่ไม่มีความต้องการทางเพศไปทั้งชีวิต
ในสัตว์ทดลอง พบว่าฟีแนสเตอร์ไรด์ทำอันตรายตัวอ่อนในครรภ์ จึงมีการระบุไว้ในข้อห้ามใช้ของยาดังกล่าวว่า สตรีมีครรภ์ไม่ควรสัมผัสเม็ดยาที่หัก บดหรือถือยานี้ไว้กับตัว
ที่มา: alternet.org
mhra.gov.uk
pfsfoundation.org