เหตุการณฺ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 13 กรกฎาคม 2559 หญิงสาวญี่ปุ่นจำนวน 64 คน ยื่นฟ้องผู้ผลิตวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือ HPV หลังได้รับผลข้างเคียงต่อร่างกาย
ทีมทนายของหญิงสาวทั้ง 64 คนที่ได้รับผลกระทบต่อร่างกายจากการฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก เปิดเผยว่า เหยื่อทั้งหมดจะฟ้องร้องรัฐบาลและสองบริษัทยาที่ผลิตวัคซีนดังกล่าว ต่อศาลแขวงเพื่อเรียกค่าเสียหาย ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2559
ในจำนวน 64 คนนี้ 28 คนฟ้องต่อศาลแขวงโตเกียว หกคนฟ้องต่อศาลแขวงนาโกย่า 16 คนฟ้องต่อศาลแขวงโอซาก้า และอีก 14 คนฟ้องต่อศาลแขวงฟูกุโอกะ
ในเบื้องต้น โจทก์ส่วนใหญ่ซึ่งอยู่ในวัยรุ่น ฟ้องเรียกค่าเสียหายคนละ 15 ล้านเยน รวมทั้งหมด 960 ล้านเยน และค่าเสียหายจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอาการต่างๆ ที่ปรากฏภายหลัง เช่น การปวดไปทั่วร่างกาย, ประสาทกับการรับรู้ การเคลื่อนไหวและความจำที่ผิดปกติ
เฉพาะ 28 รายที่ต้องฟ้องต่อศาลแขวงโตเกียว อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 18 ปี ข้อมูลจากทีมทนายแจ้งว่าพวกเธอได้รับวัคซีนเมื่ออายุระหว่าง 11-16 ปี
แม้จะยังไม่มีหลักฐานใดๆ บ่งชี้ว่าวัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกเป็นสาเหตุให้เกิดความผิดปกติต่อระบบประสาทและปัญหาสุขภาพอื่นๆ อันเนื่องมาจากปฏิกิริยาที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันมากเกินไป หากทีมทนายชี้แจงว่า นโยบายและความเห็นชอบของภาครัฐว่าวัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกไม่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายนั้นถือว่ามีความผิด และบริษัทยา คือ GlaxoSmithKlien ผู้ผลิตวัคซีน Cervarix และ Merck Sharp & Dohme ผู้ผลิตวัคซีน Gardasil ต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
นานามิ ซากาอิ หญิงสาวจากไซตามะวัย 21 ปี 1 ใน 4 ของผู้ร้องทุกข์ที่เตรียมตัวเป็นโจทก์ในคดีนี้ ได้รับการฉีดวัคซีน Cervarix เมื่อปี 2554 เผยว่าก่อนจะฉีด เธอไม่เคยได้รับข้อมูลทั้งข้อดีและข้อเสียของวัคซีนชนิดนี้เลย
“ฉันอยากรู้ว่าทำไมต้องถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตอยู่กับความกลัวผลจากวัคซีน ไม่มีใครให้ข้อมูลเรื่องวิธีการรักษาที่เหมาะสม และทำไมภาครัฐจึงไม่เคยรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันเลย” ซากาอิซึ่งนั่งอยู่บนวีลแชร์ เผยว่าตอนนี้ร่างกายซีกขวา หลัง และรอบๆ อกของเธอ อยู่ในสภาพไร้ความรู้สึก
ยูอิ ทานิกูชิ นักเรียนมัธยมปลายจากนาราวัย 17 ปี ที่มาพร้อมอาการข้างเคียงหลายรายการ เช่น ปวดศีรษะอย่างรุนแรง และมองไม่เห็นเป็นพักๆ บอกว่า เหตุผลที่ตัดสินใจฟ้อง เป็นเพราะอยากแสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากจริงๆ ที่ชีวิตต้องล้มคว่ำไม่เป็นท่าเพราะผลข้างเคียงของวัคซีน HPV
“ฉันจำเป็นต้องออกมาพูด เพราะเราไม่อยากเห็นเหยื่อรายต่อไปในอนาคต” ทานิกูชิ เผยเหตุผล
มาซูมิ มินากูชิ หนึ่งในทีมทนาย เผยว่า “การออกมาดำเนินการทางกฎหมายครั้งนี้ เราต้องการให้รัฐบาลและบริษัทยาออกมาแสดงความรับผิดชอบ โจทก์ทุกคนต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบและป้องกันตัวเองจากผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”
เมื่อเดือนเมษายน ปี 2556 รัฐบาลญี่ปุ่น ประกาศให้วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกนั้นถูกรวมอยู่ในโปรแกรมฉีดวัคซีนพื้นฐาน แต่ต่อมาในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน รัฐบาลได้เพิกถอนคำแนะนำให้คนเข้ารับการฉีดวัคซีนชนิดนี้ หลังได้รับรายงานและร้องเรียนว่ามีผู้ได้รับผลกระทบต่างๆ ต่อร่างกายหลังฉีดวัคซีนเข้าไป
ถึงกระนั้น สมาคมกุมารแพทย์แห่งญี่ปุ่น และอีก 16 สถาบันทางการแพทย์ ยังยืนยันว่า วัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพและสามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้จริง
กลับมาที่ประเทศไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ภายใต้คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการที่กำหนดชนิดวัคซีนและตารางการให้วัคซีนที่เหมาะสมสำหรับประชากรไทยได้มีมติเห็นชอบ แนะนำให้นำวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก มาใช้ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโดยเร็ว เนื่องจากเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง
ปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุข นำวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกเข้าไปอยู่ในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว โดยการฉีดวัคซีนเอชพีวีจะเริ่มฉีดให้เด็กหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4 แสนคนทั่วประเทศ และเริ่มฉีดวัคซีนไปแล้วเมื่อ 1 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากในหญิงไทยเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งเต้านม โดยวัคซีนชนิดนี้สามารถเริ่มให้ได้ตั้งแต่อายุ 9 ปี สำหรับประเทศไทยคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค แนะนำให้ฉีดในเด็กหญิงที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.5 ซึ่งถือเป็นวัยที่เหมาะสมที่สุดในการได้รับวัคซีน และสอดคล้องตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก โดยฉีดสองเข็ม ห่างกันหกเดือน กลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กนักเรียนหญิงประมาณ 400,000 คนทั่วประเทศ
ที่มา:
japantimes.co.jp
Hfocus.org
Author
