“ลงจากอำนาจได้แล้ว!” คำเตือนจาก ‘เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส’ ถึงเวลานายกฯ หมดอายุ

หากประเด็นการอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนครบวาระ 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เปรียบดั่งระเบิดเวลา การอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2565 ก็เปรียบดั่งตัวจุดชนวน 

การจุดประกายไฟเล็กๆ ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้ส่องให้เห็นข้อเท็จจริงง่ายๆ ที่หลายคนอาจหลงลืมกันไปแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกฯ ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 ภายหลังก่อการรัฐประหารยึดอำนาจในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้า 

ดังนั้นเขาก็จะดำรงตำแหน่งครบ 8 ปี ในวันที่ 23 สิงหาคม 2565 หากยึดตามมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ระบุชัดว่า “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง” นั่นหมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องพ้นจากตำแหน่งหากยังเคารพกติกาบ้านเมือง

แม้ปฏิกิริยาจากฝ่ายรัฐบาลยังนิ่งเฉย แต่ฝ่ายค้านและภาคประชาชนกำลังถกเถียงกันในประเด็นนี้อย่างเผ็ดร้อน WAY จึงเดินทางไปถึงที่ทำการพรรคเสรีรวมไทย เพื่อพูดคุยกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ผู้เปิดประเด็นและขู่จะฟ้องหาก พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่ยอมลาออกในวันครบวาระ รวมทั้งถามไถ่ถึงชีวิตการเป็นนักการเมืองของอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ท่านนี้ ว่าต้องรับมืออย่างไรกับการป่วนจากนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม หรือกระทั่งการแจก ‘กล้วย’ ของพรรคการเมืองใหญ่เพื่อดูดพรรคเล็กไปร่วมงาน 

สมัยรับราชการเป็น ผบ.ตร. คุณเสรีพิศุทธ์น่าจะมีคนห้อมล้อมไม่มากก็น้อย เมื่อผันตัวมาเป็นนักการเมืองเต็มตัวแบบนี้ ชีวิตมีความแตกต่างจากเดิมอย่างไรบ้าง

มันแตกต่างแน่ๆ ครับ สมัยเป็น ผบ.ตร. ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้พบปะชาวบ้านอย่างนี้หรอก ไม่เห็นความทุกข์ยากของพวกเขาโดยตรง ไปทำงานหรือไปประชุมตามสถานที่ราชการต่างๆ แล้วก็กลับบ้าน ไม่ได้เดินตามตรอกซอกซอย แล้วเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เขากินอยู่หลับนอนอย่างไร ผมว่าก็ไม่ต่างจากที่คุณประยุทธ์เป็นทุกวันนี้นะครับ

การเข้าสู่สนามการเลือกตั้งทำให้ผมเห็นว่า ส.ส. เขตต้องรับผิดชอบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ของตนจริงๆ แม้ผมจะเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ แต่ก็เป็นหัวหน้าพรรคที่จะต้องไปช่วยหาเสียงในทุกๆ เขต ผมจึงได้เจอคนมากมายตั้งแต่แม่ฮ่องสอนจรดปัตตานี ทำให้ทราบว่าปัญหาในชีวิตประจำวันของคนไทยส่วนใหญ่คืออะไร เราอาจคิดว่าเขายากจนและไม่มีอาหาร แต่ที่จริงแล้วยังมีประเด็นใหญ่กว่านั้นอีก กล่าวคือการไม่มีที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน ซึ่งผมคิดว่าสำคัญมากๆ การมีที่ดินหมายถึงโอกาสในการประกอบอาชีพ เพื่อให้เขามีรายได้ไปจับจ่ายใช้สอยในมิติอื่นๆ

เราไม่จำเป็นต้องช่วยเขาถึงขนาดแจกเงินแจกทองหรอก เช่น โครงการ ‘เที่ยวด้วยกัน’ หรือ ‘คนละครึ่ง’ อะไรแบบนั้นมันไม่ยั่งยืน ทำไมไม่แก้ปัญหาหลักๆ ให้เขาล่ะ ทำให้เขามีที่อยู่อาศัยหรือมีบ้าน ไม่จำเป็นต้องหลังใหญ่หรอก ขอแค่เป็นบ้านแบบพื้นๆ ธรรมดา พอให้เขาไม่ต้องไประเหเร่ร่อน หรือทำให้เขามีที่ดินทำกิน ถ้าเขาอยากจะค้าขายจะไปหาแผงในตลาดไหนได้บ้างที่ไม่ถูกขูดรีดแพงๆ จนไม่เหลือเงินเก็บ มีพื้นที่ไหนบ้างที่จะขายของได้ตลอดเวลา แม้ฝนจะตก แดดจะออก เขาต้องการพื้นที่เหล่านี้เพื่อให้มีรายได้ครับ

แต่อย่างที่บอก เรื่องพวกนี้คุณประยุทธ์ไม่รู้หรอก เพราะไม่เคยเห็นชีวิตคน ตัวอย่างเช่นตอนไปลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ก็ขนตำรวจไปตั้ง 2,000 กว่านาย เสียงบประมาณไปเท่าไหร่ ผมว่าไปแบบนี้อย่าไปเลยดีกว่า มีอะไรค่อยคุยผ่าน Zoom เอาก็ได้ ยิ่งน้ำมันแพงก็ยิ่งสิ้นเปลืองงบประมาณหลวงมากขึ้น บอกให้คนอื่นประหยัด แล้วคุณประหยัดหรือเปล่า ถ้าประหยัดจริงคุณไปแค่ 1-2 คันก็พอแล้ว ไม่ต้องยกโขยงกันไปหรอก หรือว่าคุณประยุทธ์กลัวตาย ไม่มีใครคิดไม่ดีกับคุณหรอก หากที่ผ่านมาคุณทำหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ดีพอ

การชนะการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. ลำปาง เขต 4 ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้พรรคเสรีรวมไทยมี ส.ส. แบบแบ่งเขตเป็นคนแรก เรื่องนี้มีความหมายต่อพรรคและคุณเสรีพิศุทธ์อย่างไรบ้าง

ต้องเท้าความว่าในการเลือกตั้งปี 2562 เราไม่ได้ ส.ส. แบบแบ่งเขตเลยแม้แต่คนเดียว เพราะเป็นพรรคหน้าใหม่ สู้พรรคเก่าแก่ที่ใช้ ส.ส. หน้าเดิมและมีฐานเสียงมานานได้ยาก แต่ก็ได้คะแนนมหาชน (popular vote) รวมๆ ทั้งประเทศ 826,530 คะแนน เมื่อนำมาคำนวณหา ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งกำหนดสัดส่วนว่า ‘ส.ส. พึงมี’ 1 คน ต้องใช้คะแนน 71,168 เสียง ถ้าหารตรงๆ เราก็ควรจะได้ประมาณ 11-12 คน แต่ กกต. กลับให้เราแค่ 10 คนเท่านั้น เพราะว่า ‘ปัดเศษ’ ให้พรรคเล็กที่มีคะแนนไม่ถึงค่าเฉลี่ย ได้ ส.ส. พรรคละคน บางพรรคได้คะแนน 40,000-50,000 ก็ได้ ส.ส. แล้ว ในขณะที่เราต้องได้มากกว่า 70,000 คะแนน

นี่ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง เราควรได้ ส.ส. มากกว่านั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นเมื่อมีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น เราก็พยายามส่งผู้สมัครลงแข่ง เพื่อหาประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ไหนก็ตาม ตั้งแต่สมุทรปราการ นครศรีธรรมราช และราชบุรี เราทราบดีว่าโอกาสที่จะชนะมีน้อย แต่ก็ลงสนามเพื่อหาประสบการณ์ ดูคะแนนความนิยมของพี่น้องประชาชน และที่สำคัญก็คือเพื่อประเมินคู่แข่ง

หากคู่แข่งอยู่ในระดับเดียวกันอย่างที่เกิดขึ้นในเขต 4 ลำปาง เราก็พอไหว แต่ถ้าระดับห่างชั้นกันมากอย่างที่ราชบุรี เราก็ลำบาก คือสนามราชบุรีเราต้องแข่งกับพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ แล้วผู้สมัครของเรายังหน้าใหม่ เป็นทนายแต่ต้องลงแข่งกับอดีต ส.จ. (สมาชิกสภาจังหวัด) ซึ่งมีทุนทรัพย์หนามากทั้งจากทางพรรคและกิจการส่วนตัวของเขา และยังเจนสนามทางการเมืองมากด้วย ครั้งที่แล้วผู้สมัครของเขาแพ้คุณปารีณา ไกรคุปต์ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งพื้นที่ ช่วงโควิดแรงๆ เขายังให้ความช่วยเหลือดูแลประชาชนในหลายๆ ด้าน เช่น แจกข้าวสารอาหารแห้ง แต่เราก็ยังใจสู้ ผมไปช่วยเขาหาเสียงจนได้คะแนนเสียง 16,000 คะแนน จากรอบก่อนที่ได้เพียง 2,400 คะแนนเท่านั้น ถือว่าเพิ่มขึ้น 6-7 เท่าเลย ดังนั้นถึงแพ้ก็ไม่เป็นไร

ในขณะที่การเลือกตั้งซ่อมลำปาง เขต 4 เหลือผู้สมัคร ส.ส. เพียง 2 พรรค ได้แก่พรรคเสรีรวมไทยกับพรรคเศรษฐกิจไทย ซึ่งรอบก่อนเขาลงในนามพรรคพลังประชารัฐ ดังนั้นสถานการณ์จึงต่างกัน หนก่อนเขามีทั้งอำนาจรัฐต่างๆ หนุนหลัง ตั้งแต่ตำรวจ ทหาร กระทั่งกรมการปกครอง ผมเห็นการซื้อสิทธิขายเสียงขนานใหญ่เลยนะหนก่อน คงไม่ต้องบอกว่ามีเจ้าหน้าที่ระดับใดบ้างเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมจึงนำเรื่องนี้ขึ้นเรียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ขอให้ย้ายนายอำเภอออกจากพื้นที่ชั่วคราว หลังเลือกตั้งเสร็จค่อยย้ายกลับมา เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายพวกนั้นก็ยังคงซื้อเสียงอย่างสะดวกสบาย

ตอนนี้ผมเป็นเพียงนักการเมืองคนหนึ่ง ไม่ใช่ข้าราชการตำรวจแล้ว เห็นใครทำผิดกฎหมายก็ไม่มีอำนาจจับเขา ทำได้เพียงร้องเรียนถึงผู้มีอำนาจหน้าที่ คือตำรวจและ กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาดู อย่างไรก็ดี ทางเราก็พยายามหาหลักฐานอย่างหนัก กระทั่งจับได้ว่ามีการซื้อเสียงเกิดขึ้นจริง เมื่อส่งเรื่องให้ กกต. ซึ่งส่งต่อไปยังศาลฎีกาพิจารณา ก็มีคำพิพากษาออกมาให้จัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่ เพราะการเลือกตั้งครั้งก่อนไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม 

มีคนถามว่า ทำไมผู้สมัครรายก่อนจึงยังลงเลือกตั้งซ่อมได้ ทั้งๆ ที่มีข้อครหา ผมจะบอกว่าเพราะไม่มีหลักฐานมัดตัวเขาโดยตรงไง ใครจ่ายเงินในชื่อตัวเองก็โง่เป็นควายแล้ว เขาใช้นอมินีไปแจกทั้งนั้น รับมา 500 บาท หักหัวคิว 100 ให้คนอื่นแจกต่ออีกทอด ก็หักไปอีก 100 กว่าจะถึงมือชาวบ้านผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็เหลือแค่ 300 บาทเอง

สำหรับผม การเลือกตั้งซ่อมที่ลำปางจึงน่าลุ้นไม่น้อย เพราะเราคัดเลือกผู้สมัครมาเป็นอย่างดี เป็นอดีต ส.จ. ไม่ต่างจากฝั่งเขา เพียงแต่อุดมการณ์และวิธีการอาจจะต่างกัน เราหาเสียงด้วยการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะตามตลาดต่างๆ ที่มีคนมาจับจ่ายใช้สอยตลอดเวลา จากนั้นจึงค่อยตระเวนตามบ้านเรือน เจองานบวช งานแต่ง หรืองานศพ ผมก็แวะเข้าไปขอเขาพูดนิดๆ หน่อยๆ ต่างจังหวัดเขาจัดงานที่บ้าน ไม่ใช่โรงแรมเหมือนอย่างกรุงเทพฯ เจ้าภาพเขาก็ยินดี ไม่มีปฏิเสธเลย บางบ้านนั่งอยู่ 2-3 คน ผมก็แวะไปแจกบัตร หรือระหว่างกำลังเดินทาง เจอรถสวนมา ผมก็ยกมือไหว้ประชาสัมพันธ์เขาไปทั่ว ไม่สนว่าจะเป็นรถป้ายลำปางหรือเปล่า ผมไปทุกแห่งหน ดังนั้นจึงมีโอกาสพบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด 

ในขณะที่อีกพรรคเขามีทุนหนา จึงใช้วิธีการแบบเดิมๆ คือจัดเวทีปราศรัยใหญ่ๆ เอาคนมาฟัง 2,000-3,000 คน แล้วให้ค่ารถ ค่าเดินทาง ส่วนจะมีการแจกเงินเพิ่มเติมหรือเปล่าผมไม่รู้นะ เพราะขี้เกียจไปฟัง ตอนขากลับ เขาก็ขึ้นรถแล้วทำเป็นโบกไม้โบกมือให้ประชาชนตามถนนหนทาง ผมถามหน่อยว่าคนจะชอบแบบไหนมากกว่า แบบสัมผัสได้หรือแบบลอยฟ้าอย่างนี้

ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะเปลี่ยนตัวผู้สมัคร แต่ที่ไหนได้กลับส่งคนเดิมมาลง การเอาคนที่มีแผล มีตำหนิ หรือพูดง่ายๆ คือเคยโกงการเลือกตั้งมาลงอีกครั้งเป็นการตบหน้าประชาชนไหม แต่พอได้เดินหาเสียง ผมถึงบางอ้อเลยว่าทำไมเขาถึงใช้คนเดิม เพราะถ้าเป็นคนใหม่ที่ไม่มีเส้นสายแล้วจะแจกเงินผ่านใคร นี่คือตัวผู้สมัคร แต่ถ้าเทียบตัวหัวหน้าพรรคด้วยแล้วผมยิ่งอุ่นใจ คุณก็รู้ว่าหัวหน้าพรรคเขา (ธรรมนัส พรหมเผ่า) เคยมีประวัติอย่างไรใช่ไหม ผมจึงคิดว่าเขาสู้เราไม่ได้ในทุกด้าน แม้จะใช้เงินอย่างไรก็ต้องแพ้เราวันยังค่ำ

สิ่งที่ผมจะพูดก็คือ แม้การหาเสียงจำเป็นต้องใช้เงินก็จริง เช่น การพิมพ์บัตรหาเสียงหรือโปสเตอร์ ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหารของทีมงาน ฯลฯ แต่เราไม่ใช้เงินเพื่อซื้อเสียงจากชาวบ้านเด็ดขาด เราแค่เดินพบปะพูดคุยกับเขา แต่ก็ยังชนะการเลือกตั้งได้ ดังนั้นผมจึงอยากฝากไปยังบรรดา ส.ส. หรือผู้สมัครหน้าใหม่ทั้งหลายนะครับว่า การใช้เงินเล่นการเมืองมันไม่คุ้มหรอก หากคุณทุ่มเงินซื้อเสียง คุณอาจไม่ชนะก็ได้ ต่อให้คุณชนะก็ต้องลงทุนไปตั้งเท่าไหร่ แล้วถ้ามีโอกาสคุณจะไม่กอบโกยเข้ากระเป๋าเหรอ ผมเห็นเอาคืนกันทั้งนั้น สุดท้ายคนที่เดือดร้อนคือประชาชนใช่ไหมครับ

วิธีการหาเสียงแบบนี้ทำให้เกิดระบบหักหัวคิว ใครเป็น ส.ส. ก็จะได้รับมอบหมายโครงการ แล้วเงินงบประมาณที่กองอยู่ในมือนายกฯ จะถูกกระจายต่อให้รัฐมนตรีและ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล กว่าจะเอาไปปฏิบัติเป็นนโยบายเพื่อพี่น้องประชาชนได้ก็หายไปตั้งเท่าไหร่แล้ว งบที่จำกัดจำเขี่ยแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ปีหน้าก็พากันทำแบบเดิมอีก ดังนั้นผมคิดว่าชัยชนะของพรรคเราจึงเป็นการแสดงให้เห็นว่า การหาเสียงด้วยนโยบาย ไม่ใช่หว่านเงิน และการเลือกตั้งที่โปร่งใส ก็สามารถชนะได้ แล้วยังจะโกงกันอีกทำไมครับ

หากวัดจากผลการเลือกตั้งซ่อมในหลายพื้นที่และจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ถือได้ว่าคะแนนนิยมของรัฐบาลตกต่ำลงมาก สอดคล้องกับที่คุณเสรีพิศุทธ์กล่าวว่า เพราะอย่างนี้พวกเขาจึงพยายามแก้สูตรการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นพัลวัน อยากให้อธิบายถึงเกมการเมืองเหล่านี้หน่อยครับ

การลงพื้นที่ช่วยลูกพรรคหาเสียงในหลายจังหวัดทำให้ผมเห็นว่า ไม่มีใครเอาคุณประยุทธ์แล้ว แต่แกยังไม่รู้ตัวหรอก เพราะลงพื้นที่ทีไรก็จะเกณฑ์คนมาตะโกน “ลุงตู่สู้ๆ” หรือ “ลุงตู่สู้ตาย” ตบมือกันยกใหญ่ราวกับซักซ้อมมา คุณประยุทธ์จึงไม่มีทางรู้หรอกว่า ประชาชนเขาโกรธแค้นและเกลียดชังตนมากแค่ไหน เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ขอเพียงแค่ให้ตัวเองได้อยู่ในอำนาจและรักษาผลประโยชน์สืบไปก็พอ นี่ยิ่งกว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเสียอีกนะ

ตั้งแต่คุณประยุทธ์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีชี้วัดการคอร์รัปชันของไทยพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนความน่าเชื่อถือของประเทศตกลงมาอยู่ที่อันดับ 110 ของโลก และไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลงเลย กราฟพุ่งสูงขึ้นทุกปี ขณะเดียวกันประชาชนก็เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า เกิดปัญหาหนี้สิน และมีคนฆ่าตัวตายแทบจะรายวัน แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ เขาก็ยังพยายามอยู่ในอำนาจต่อไป

เดิมทีพวกเขาได้ออกแบบรัฐธรรมนูญ 2560 มาเป็นอย่างดีแล้ว เพื่อเอื้อประโยชน์แก่พวกตน คิดกลโกงต่างๆ ไว้สารพัด เช่น ตอนโหวตเลือกนายกฯ ยังให้ ส.ว. 250 คน มายกมือให้ บ้าหรือเปล่า ได้ฟรีๆ 10 คน ก็ถือว่ากำไรแล้วนะ นี่เล่นเอา 250 คนที่คัดมาเองกับมือ เพื่อเอามาเลือกคุณอีกที 

พวกเขาพยายามโกงทั้งกระบวนการ ผมไปลงพื้นที่หาเสียงที่ไหนก็ส่งคน ส่งทหารไปตามติดอยู่นั่นแหละ ผมทนไม่ไหวจึงด่ากลับไป เอาให้กระทบไปถึงผู้บังคับบัญชาโน่น ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณจะยศใหญ่ยศโตหรือเปล่า เพราะถึงอย่างไรคุณก็ยังเป็นรุ่นน้องผม คนอื่นอาจจะไม่กล้าหือกับคุณ แต่ผมพร้อมอัดคุณแน่ๆ

เพราะฉะนั้น เมื่อผลการเลือกตั้งปี 2562 ออกมา พวกเขาก็พยายามออกแบบเกมใหม่ เพราะเห็นกรณีพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคใหญ่ได้ ส.ส. แบบแบ่งเขต 100 กว่าคน ซึ่งนับว่าเยอะมาก แต่เมื่อคำนวณหา ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์แล้วกลับไม่ได้เพิ่มเลยสักคน ทำให้รายชื่อที่เตรียมไว้สอบตกหมดเลย อาทิ คุณหญิงสุดารัตน์ (สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์) แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คุณชัชชาติ (ชัชชาติ สิทธิพันธุ์) คุณชัยเกษม (ชัยเกษม นิติสิริ) ฯลฯ 

ดังนั้นเมื่อหันกลับมามองพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งกลายเป็นพรรคใหญ่ไปแล้ว เพราะมีการสับเปลี่ยนขั้วอำนาจและไปดึงคนจากพรรคอื่นๆ เข้ามา คำถามคือจะทำอย่างไรให้ชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไปล่ะ หากยังใช้ระบบเลือกตั้ง ‘บัตรใบเดียว’ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 เหมือนเดิม ก็จะกลายเป็นว่า บรรดาผู้ใหญ่ในพรรคที่ลงแบบปาร์ตี้ลิสต์จะสอบตกหมด เนื่องจากได้ ส.ส. แบ่งเขตจำนวนมากไปแล้ว นี่จึงเป็นที่มาของความวิตกกังวลและความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นบัตรเลือกตั้งและสูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ

ตรงนี้ผมขอใช้คำว่า ‘บัดซบ’ นะครับ แทนที่จะเอาเวลาในสภาไปคิดแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนที่กำลังเดือดร้อนอยู่ กลับเอามาแก้ไขปัญหาของพรรคพวกตัวเอง พรรคเสรีรวมไทยไม่สนใจเกมการเมืองนี้ เพราะพูดตามตรงว่า เราเป็นพรรคเล็ก มีแค่ 10 คน ต่อให้ยกมือโหวตก็แพ้อยู่ดี ไม่ว่าจะประเด็นใดๆ ก็ตาม

พรรคการเมืองแต่ละพรรคก็พยายามเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญกันไปคนละแบบ เพื่อไทยเสนออย่างหนึ่ง พลังประชารัฐเสนออีกอย่าง แม้กระทั่งประชาธิปัตย์หรือก้าวไกลก็ตาม พรรคการเมืองล้วนต้องการเสนอให้แก้ไขตามแบบที่ตนได้เปรียบทั้งนั้น แต่ผมไม่เอาด้วยหรอก เอาฉบับที่ iLaw เสนอขึ้นมาดีกว่า แม้ว่าเราจะยกมือโหวตแล้วแพ้ แต่ผมขอสนับสนุนฉบับที่มีที่มาจากประชาชนและมีความเป็นกลางดีกว่า

ผลสรุปคือเปลี่ยนมาเป็นระบบเลือกตั้ง ‘บัตร 2 ใบ’ คือใบหนึ่งเลือกพรรคและอีกใบหนึ่งเลือกผู้สมัคร เพราะคิดกันแล้วว่าเอาใบเดียวต้องแพ้แน่ แต่เพื่อให้ตัวเองได้เปรียบและโกงง่ายขึ้น ก็มีการใช้สูตรพิสดารเป็น ‘บัตร 2 ใบ แต่คนละเบอร์’ ซึ่งจริงๆ ถ้าจะใช้บัตร 2 ใบ มันควรเป็นเบอร์เดียวกัน เช่น ผู้สมัครเบอร์ 1 พรรคก็เบอร์ 1 ง่ายๆ ไม่สับสน แต่รอบนี้จะให้ผู้สมัครเบอร์ 1 แต่พรรคเบอร์ 19 ถ้าเอาอย่างนี้ชาวบ้านเขาจะจำไหวไหมล่ะ

เมื่อได้บัตร 2 ใบสมใจอยาก ก็มีการเพิ่มจำนวน ส.ส. เขต จาก 350 คน เป็น 450 คน แล้วลดจำนวน ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์จาก 150 คน เป็น 100 คน เพราะเขาเป็นพรรคใหญ่กันทั้งนั้นเลย ถ้าเพิ่ม ส.ส. เขตก็ยิ่งได้เปรียบ ดูสิ ความคิดไอ้พวกนี้มันระยำขนาดไหน เมื่อผ่านเข้าสภาไปแล้วก็ยังมาคิดกันอีกว่าจะคำนวณ ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์แบบหาร 100 หรือหาร 500 ถึงจะทำให้พรรคตนได้เปรียบกว่าพรรคอื่นๆ ผมก็รอดู ไม่ว่าจะออกมาหน้าไหนเราก็สู้หมด ผลปรากฏว่าสูตรหาร 100 ชนะ

แต่แล้วตอนนี้ดันอยากจะให้เปลี่ยนกลับเป็นสูตรหาร 500 เพราะหลังวาระแรกผ่านแล้ว ก็ไปคิดสะระตะกันยกใหญ่ว่า พรรคนั้นจะได้เท่านี้ พรรคนี้จะได้เท่านั้น เกิดนึกตกใจว่า “ตายแล้ว กูเสียเปรียบ” ในการประชุมวาระที่ 2 จึงพลิกกลับมาเป็นหาร 500 อย่างที่เราเห็น

ผมเริ่มช่างหัวมันแล้ว ไม่รู้จะออกมาหน้าไหน เพราะขึ้นอยู่กับว่า พรรคใหญ่ๆ เขาดีลผลประโยชน์กันลงตัวหรือเปล่า ไม่กี่วันที่ผ่านมาพรรคใหญ่ทั้งหมดไม่เข้าประชุมเลย ผมเห็นเดินกันอยู่เต็มสภา แต่ถึงเวลาประชุมกลับไม่เข้า หวังให้การประชุมล่มแล้วเลื่อนวาระออกไป ผมเดาว่าคงจะเลื่อนออกไปเรื่อยๆ จนเกินกำหนด 180 วัน แล้วไปแก้กฎหมายกันใหม่อีกรอบ

สิ่งที่ผมเสียดายมากที่สุดคือ เวลาในการทำงานให้ประชาชนต้องลดลง เพราะไอ้พวกนี้เอามาใช้ต่อรองผลประโยชน์ของตัวเอง นี่ยังไม่รวมพวกที่ตกเป็นข่าวว่า ‘แจกกล้วย’ หรือ ‘รับกล้วย’ อีกเยอะแยะ แม่งไม่คิดทำงานกันหรอก คิดถึงแต่ผลประโยชน์ล้วนๆ

แม้พรรคเสรีรวมไทยจะเป็นพรรคเล็ก แต่คุณเสรีพิศุทธ์ถือเป็นเบอร์ใหญ่ในสภา อยากทราบว่ามีคนอาจหาญมา ‘แจกกล้วย’ ให้บ้างไหม

ตอนนี้ไม่มีหรอกครับ แต่ช่วงหลังเลือกตั้งใหม่ๆ เคยมีเหมือนกัน ตอนนั้นเขากำลังรวบรวมเสียงพรรคเล็กพรรคน้อยเพื่อจัดตั้งรัฐบาล จึงมาเสนอให้เราไปอยู่ด้วย ยื่นตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีให้ผม พร้อมเงิน 300 ล้านบาท ซึ่งคงประเมินว่าการที่ ส.ส. คนหนึ่งลงพื้นที่หาเสียงจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 30 ล้านบาท เรามี ส.ส. 10 คน ‘กล้วย’ ที่ยื่นให้เราจึงมีราคา 300 ล้าน แต่เราก็ปฏิเสธไป

แต่เขาไม่ลดละ ในวันที่จะเลือกนายกฯ เขาส่งคนมายืนรอผมที่หน้าบันไดรัฐสภาเลย “ท่านครับ รับข้อเสนอไหมครับ” เราก็ปฏิเสธทุกครั้ง นอกจากนี้ก็มีอีกหลายหน เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งก่อนๆ ก็ยื่นกล้วยมาให้อีก 300 ล้าน แต่ผู้แทนของพรรคเราดีมากครับ ไม่มีใครแตกแถวเลยแม้แต่คนเดียว ในขณะที่พรรคอื่นๆ มีโหวตสวนมติพรรคบ้างประปราย

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา คุณเสรีพิศุทธ์หยิบยกประเด็นหนึ่งที่น่าจะสำคัญมาก กล่าวคือ การเป็นนายกฯ ครบวาระ 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งตามมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญ 2560 จะไม่สามารถอยู่ต่อได้แล้ว อธิบายเพิ่มเติมหน่อยได้ไหม

จริงๆ ไม่ได้มีเฉพาะมาตรา 158 นะครับ ยังมีมาตรา 264 ด้วย

คือมาตรา 158 เขียนไว้ชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปีไม่ได้ ซึ่งมันหมายความว่า คุณจะเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรก 4 ปี ครั้งหลัง 4 ปี แต่รวมแล้ว 8 ปี ก็เป็นต่อไม่ได้ หรือคุณจะเป็นหลายครั้งก็ไม่ได้ เช่น เป็นครั้งแรก 2 ปี แล้วเว้นวรรค มาเป็นต่อ 2 ปี และอีก 3 ปี แล้วยังเพิ่มอีก 1 ปี แต่รวมๆ แล้วถ้าครบ 8 ปี คุณก็ต้องลงจากตำแหน่งนายกฯ

เขาก็เถียงผมกลับว่า การเป็นนายกฯ สมัยแรกนั้นเกิดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 แต่ตอนนี้ใช้รัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว ในเมื่อเป็นรัฐธรรมนูญคนละฉบับก็ไม่สามารถเอาเวลามานับรวมกันได้ และยังบอกว่ากฎหมายจะใช้บังคับย้อนหลังไม่ได้ 

นี่เป็นการแถไปเรื่อย เพราะคิดว่าประชาชนไม่เข้าใจ แม้แต่คุณก็ยังพูดถึงแค่มาตรา 158 เลยใช่ไหม แต่ผมอภิปรายว่าต้องดูมาตรา 264 ประกอบ ซึ่งบอกว่า นายกฯ คณะรัฐมนตรี หรือคณะบุคคลใดๆ ก็ตามที่ดำรงตำแหน่งก่อนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ให้ถือว่าเป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย ดังนั้นมันก็รวมถึงนายกฯ และ ครม. ในยุค คสช. ซึ่งมาก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 เอาไว้ด้วย แล้วคุณจะดิ้นไปทางไหนได้อีกล่ะ เด็ก ม.6 มันยังอ่านเข้าใจเลยว่า คุณประยุทธ์จะครบวาระ 8 ปี ในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ 

ผมแนะนำว่า คุณควรลงจากอำนาจได้แล้ว หากปฏิทินขึ้นวันที่ 24 สิงหาคม 2565 แล้วยังดื้อตาใส บริหารประเทศต่อไปในตำแหน่งนายกฯ ผมจะดำเนินคดีกับคุณแน่ โทษฐานกระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ข้อกฎหมาย และข้อจริยธรรมทั้งหลายแหล่ ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลต่างๆ หากยังร่วมหัวจมท้ายกับเขาต่อ ผมก็จะดำเนินคดีพวกคุณทั้งหมดในฐานะที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทำผิดกฎหมาย แม้กระทั่ง ส.ส. ในรัฐสภา ซึ่งมีผู้รู้กฎหมายเยอะแยะ คุณก็น่าจะรู้ว่าเขาสิ้นสภาพเมื่อไหร่ อย่าตีหน้าซื่อว่าไม่ทราบ รอการตีความจากศาลรัฐธรรมนูญ

จะตีความบ้าบออะไรอีก ทั้งๆ ที่เรื่องราวไม่ได้ซับซ้อน คุณทำผิดชัดเจน ไปยิงคนตายคุณก็ต้องถูกดำเนินคดี แต่นี่ไปยิงเขาแล้วบอกว่าขอไปตีความก่อน แบบนี้ใช้ได้ที่ไหนครับ หรืออย่างในกรณีข้าราชการเกษียณอายุ เขาก็เซ็นเอกสารได้จนถึงเวลา 00.00 น. ของวันที่ปลดเกษียณเท่านั้น เกินกว่านั้นก็เป็นโมฆะ แถมอาจผิดกฎหมายด้วยซ้ำหากทำให้ราชการเสียหาย เรื่องคุณประยุทธ์ก็เช่นกัน หากพ้นกำหนดแล้วยังเอากฎหมายเข้าสภาหรือเซ็นรับรองอะไรต่างๆ ก็ถือเป็นความผิด

คุณประยุทธ์เป็นชายชาติทหาร คงไม่รู้เรื่องหรือไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการใช้อำนาจโดยมิชอบ สมมุติว่าเขาไปเซ็นสั่งการหรือลงนามในสัญญาต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยที่ไม่มีความชอบธรรมหลงเหลือ แล้วเกิดมีปัญหาขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ เขาเป็นคนเซ็น ต้องรับผิดชอบเองถูกไหมครับ แล้วจะมีปัญญาเหรอ คราวที่แล้วไปเซ็นยกเลิกเหมืองทองโดยพลการ ก็ถูกเขาฟ้องมาใช่ไหม แต่ก็ไม่เห็นคุณประยุทธ์รับผิดชอบอะไร นอกจากเอาประเทศชาติไปรับผิดแทนตน

บทบาทในสภาที่คนทั่วไปเห็นคือการรับมือกับคุณปารีณา ไกรคุปต์ และคุณสิระ เจนจาคะ ซึ่งมักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคุณเสรีพิศุทธ์เรื่อยมากระทั่งทั้งคู่หลุดจากการเป็น ส.ส. จะเห็นได้ว่าใครมางัดกับเสรีพิศุทธ์ก็จะพ่ายแพ้ไป ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

จริงๆ แล้ว ผมเป็นประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบของรัฐสภา มีอำนาจเลือกเอกสารหรือเลือกบุคคลต่างๆ เพื่อมาชี้แจงได้ ยกเว้นการพิจารณาคดีของศาลหรือการทำงานขององค์กรอิสระ ดังนั้นในตอนที่ได้เป็นรัฐบาลใหม่ๆ คุณประยุทธ์ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งไม่ครบ ประชาชนทุกคนเห็นกันหมด ผมจึงเชิญเจ้าตัวมาชี้แจง เพราะเรื่องนี้ให้คนอื่นชี้แจงแทนไม่ได้ พร้อมทั้งเชิญพยานที่อยู่ข้างๆ คือ คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่เขาไม่ยอมมาสักคน

ตอนนั้นมีการสับเปลี่ยนกรรมาธิการออกไป 2 คน แล้วส่งคุณปารีณากับคุณสิระเข้ามาแทน จากนั้นก็ปั่นป่วนเลย ผมว่า 2 คนนี้ไม่ใช่ตัวป่วนโดยธรรมชาติหรอก แต่ได้รับคำสั่งมาโดยเฉพาะ เพื่อให้ผมกระเด็นออกจากตำแหน่งประธานกรรมาธิการฯ เพราะไม่สามารถควบคุมการประชุมและทำงานให้ลุล่วงได้ แต่เพราะคนพวกนี้ไม่ได้มีความรู้อะไร ขนาดมีวาระที่ต้องรับผิดชอบในการประชุมก็ยังไม่เข้า กลับไปเดินโบกธงหน้าตาเฉย สุดท้ายก็แพ้ภัยตัวเอง

หากเป็นคนที่มีความรู้และขยันทำงานบ้าง เช่น คุณไพบูลย์ นิติตะวัน ผมยังโอเค เขามีวาระให้รับผิดชอบ เขาก็ทำ แม้ตอนไม่มีวาระเขาจะไม่เข้าเลยหรือหากมาก็เซ็นชื่อแล้วรีบกลับ หลายครั้งยังไม่ทันเปิดประชุมเลยก็กลับไปซะแล้ว พร้อมเบี้ยประชุมครั้งละ 1,500 บาท จริงๆ ถ้าไม่อยากประชุมก็ไม่ต้องเข้า จะได้ไม่ต้องรับเงินจากภาษีประชาชน อย่างไรก็ตาม ผมคิดแค่ว่าต้องจัดการพวกสร้างความปั่นป่วน ไม่ยอมทำงาน ส่วนคนอื่นๆ ถึงจะเฮงซวยอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา แต่หากทำผิดขึ้นมาชัดเจน แล้วมันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของผม ผมก็ต้องจัดการ

ช่วงนี้กระแส ‘เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน’ กำลังร้อนแรง แต่ดูเหมือนว่านักเรียนจากโรงเรียนนายร้อย จปร. จะมีภาษีเหนือกว่าโรงเรียนอื่น เพราะมีรุ่นพี่เป็นอดีตนายกฯ หลายคน คุณเสรีพิศุทธ์เองยังบอกว่า จปร. ย่อมาจาก ‘จะเป็นอะไรก็ได้’ คำถามคือโรงเรียนนี้เขาสอนอะไร ทำไมศิษย์เก่าจึงทำรัฐประหารบ่อย

ที่ผมพูดว่า “จปร. หมายถึง จะเป็นอะไรก็ได้” มันมีที่มานะครับ สมัยก่อนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ตั้งอยู่แถวกองบัญชาการกองทัพบก หน้าเวทีมวยราชดำเนิน แต่กองการศึกษาของเขาอยู่ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล ดังนั้นในช่วงเช้าๆ นักเรียนนายร้อย จปร. ก็ต้องเดินแถวไปเรียนในลักษณะของการเดินขบวน มีดนตรีปี่เป่อเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่นั่นก็ทำให้รถที่สัญจรไปมาบนถนนราชดำเนินติดยาว จนประชาชนเขาเดือดร้อน จึงมีการจัดหาที่ดินเพื่อสร้างโรงเรียนนายร้อยแห่งใหม่

จริงๆ เมื่อก่อนโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่ผมเรียนก็อยู่ปทุมวัน แต่ด้วยเหตุผลคล้ายๆ กัน ท่านเผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจขณะนั้น ก็ย้ายโรงเรียนออกไปตั้งที่อำเภอสามพราน นครปฐม ในขณะที่โรงเรียนนายร้อย จปร. เขาย้ายไปตั้งในจังหวัดนครนายก ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีอีกตั้ง 76 จังหวัด ทำไมไปตั้งที่จังหวัดนี้ ผมคิดว่า ชื่อก็บอกชัดเจนอยู่แล้ว เขาต้องการปลูกฝังให้เด็กอยากเป็นนายกฯ ใช่หรือเปล่า ผมไม่รู้หรอก เพราะไม่ได้ไปเรียนกับเขา แต่เชื่อว่าคงปลูกฝังอะไรกันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียน ส่วนใครจะได้ทำการรัฐประหารหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับจังหวะของแต่ละคน อย่างคุณอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ลูกชาย ‘พี่จ๊อด’ (พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์) ผมเชื่อว่าเขาก็อยากจะทำเหมือนกันนะ แต่จังหวะมันไม่ได้ เพราะพี่ชายยังคาตำแหน่งอยู่

การปลูกฝังเช่นนี้เป็นปัญหาต่ออนาคตของประเทศชาติแน่ๆ เราควรทำให้ประชาชนได้เรียนรู้มากขึ้นจนกล้าต่อสู้กับอำนาจที่ไม่ชอบธรรม ประเทศชาติจึงเจริญได้ ประเทศไทยมีรัฐประหารมาโดยตลอด ตั้งแต่จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรื่อยมาจนกระทั่ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งเป็นรุ่นพี่ผม 2 ปี ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ นี่ก็รุ่นน้องผม 5 ปี คนพวกนี้หาจังหวะทำรัฐประหารกันทั้งนั้น

แต่การจะทำรัฐประหารได้ คุณต้องอ้างเหตุผลสำคัญ สมัยผมรับราชการตำรวจในปี 2534 ‘พี่จ๊อด’ ก็ทำรัฐประหารโดยอ้างว่า คุณมนูญ รูปขจร (พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร) กับพวกจะลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พวกเขาจึงต้องยึดอำนาจเอาไว้ แต่ผมกล้าพูดว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย เพราะผมตรวจสอบสำนวนการสอบสวนเองกับมือ ผมขึ้นโรงขึ้นศาลไปเป็นพยาน ท่านก็รับฟัง คุณมนูญจึงหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา แต่พวกเขาก็ยึดอำนาจไปหมดแล้ว สุดท้ายผมถูกย้ายจากตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบปราบ

มาคราวนี้ผมยังนึกไม่ถึงเลยว่า เขาจะกล้ายึดอำนาจติดต่อกันขนาดนี้ ครั้งก่อนปี 2549 ซึ่งห่างจากปี 2557 ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง คือในตอนนั้นคุณประยุทธ์เป็น ผบ.ทบ. มาหลายปีจนอายุจะครบ 60 ปีเข้าให้แล้ว ถ้าไม่ยึดอำนาจก็จะกลายเป็นเพียงนายพลปลดเกษียณที่ไม่มีพาวเวอร์ เพราะฉะนั้นเขาก็เตรียมการยึดอำนาจมาโดยตลอด ไม่ใช่อยู่ดีๆ เขาอยากยึดก็ยึด ไม่มีทางหรอกครับ สายทหารมีนายพลเยอะมาก แต่ไม่มีงานทำ วันๆ ก็คิดแต่จะก่อการ พอทำรัฐประหารเสร็จก็ยังระดมพลพี่น้องฝ่ายเสธ. ทั้งหลายมาช่วยคิดว่า จะเขียนรัฐธรรมนูญอย่างไรจึงจะโกงเขาได้อย่างแนบเนียน จะทำอย่างไรให้ตนได้เป็นนายกฯ ฯลฯ

ในฐานะรุ่นพี่เตรียมทหาร ‘พี่ตู่’ มีอะไรอยากจะฝากไปถึง ‘น้องตู่’ ไหม แม้เขาจะเคยตัดพี่ตัดน้องกันไปแล้ว

ก็ต้องบอกว่าบ้านเมืองจะอยู่ได้ด้วยกฎหมาย ไม่อย่างนั้นจะมีกฎหมายไว้ทำไม เช่น กฎหมายอาญามีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนฆ่ากันหรือทำในสิ่งที่ผิดต่อคนอื่นๆ บ้านเมืองจึงจะสงบเรียบร้อย ถ้าเราไม่ฟังกฎหมายอาญา ยิงกันตายก็ไม่ผิด ข่มขืนเมียเขาก็ไม่ผิด บ้านเมืองจะวุ่นวายมากแค่ไหน เช่นเดียวกัน เรามีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ คุณต้องเคารพกฎหมายสิ อยากจะเลือกตั้งใหม่หรือจะเอาสูตรหารอะไร อย่างไร ก็ต้องไปแก้ไขกันตามกระบวนการ ไม่ใช่อยู่ดีๆ อยากทำอะไรก็ทำ 

ทีนี้ รัฐธรรมนูญที่เขาเขียนขึ้นเองดันมีมาตรา 158 และ 264 ระบุชัดเจนว่า คุณต้องพ้นตำแหน่งนายกฯ แล้วนะ คุณประยุทธ์ชอบบอกให้คนอื่นทำตามกฎหมาย แต่ตัวเองไม่เคยรักษากฎได้เลย แล้วใครเขาจะเชื่อฟังและเคารพนับถือคุณ 

นอกจากนี้ ในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่และชาวบ้านเดือดร้อนแบบนี้ คุณบอกให้เขาประหยัด กินอย่างง่ายๆ อยู่อย่างง่ายๆ แต่คุณแทบไม่เพิ่มงบประมาณให้กระทรวงที่มีหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนเลย ในทางกลับกัน กองทัพกลับได้งบสนับสนุนในแต่ละปีมากถึง 2 แสนล้านบาท นายพลแทบจะใช้ชีวิตเยี่ยงพระราชา แต่วันๆ ไม่ทำงานทำการอะไร วันพุธเล่นกีฬา วันธรรมดาตีกอล์ฟ ไม่รบกับใคร ผมว่าให้ทหารหยุดงานสัก 1 เดือน ประเทศชาติก็ยังอยู่ได้ มีไว้ก็เอางบไปซื้อแต่ของที่ไม่จำเป็นเร่งด่วน อาทิ อาวุธ เครื่องบิน รถถัง หรือเรือดำน้ำ 

ผมเพิ่งได้ข่าวว่าจะซื้อเครื่องบินรบ F-35 อีกแล้ว โดยอ้างความจำเป็นว่า ถ้าไม่ซื้อตอนนี้ ราคาในอนาคตจะสูงขึ้น ผมถามย้อนกลับไปว่า ถ้าคุณไม่ซื้อตอนนี้ แต่เก็บเงินไว้ซื้อรุ่นใหม่ๆ ในอนาคต จะได้เครื่องที่มีสมรรถภาพสูงขึ้นไหม อ้าปากออกมาก็เห็นแล้วว่าอยากจะได้แต่เงินทอน ถ้าคุณซื้อของเหล่านี้ เงินก็มีแต่จะไหลออกนอกประเทศ แทนที่จะเอาเงินก้อนนี้ไปลงกับกระทรวงที่ดูแลพี่น้องประชาชน เงินก็จะไหลเวียนในประเทศ สุดท้ายผลประโยชน์ก็จะตกถึงมือประชาชน เขาจะได้อยู่ดีกินดีและมีความสุข 

ของแค่นี้คุณคิดไม่ได้เหรอ ทำงานไม่เป็นกันเลยเหรอ ผมพูดมา 7-8 ปีแล้ว ไม่เห็นคุณพัฒนาขึ้น ดังนั้นคุณพอเถอะครับ พอได้แล้ว ปล่อยให้คนอื่นที่มีความรู้ความสามารถมากกว่าคุณขึ้นมาบริหารเถอะ ที่สำคัญขอให้มีที่มาจากประชาชน ซึ่งเต็มใจ ยินดี ยอมรับ และเลือกด้วยตนเอง ไม่ใช่เพราะไปยึดอำนาจเขาแล้วเข้ามาบริหารกันเองแบบนี้

หากยังจำได้ ในวันอภิปรายผมได้สรุปทางเลือกให้คุณประยุทธ์ไว้ 3 ทาง หนึ่ง ‘ป๋าเปรม’ (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์) เป็นนายกฯ 8 ปี โดยไม่ผ่านการเลือกตั้งก็จริง แต่ท่านไม่ได้ทำเรื่องเสียหาย กลับสร้างแต่สิ่งดีๆ พอเลือกตั้งใหม่ พรรคชาติไทยของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้รับชัยชนะ เขาไม่กล้าเป็นนายกฯ ก็มาเชิญป๋าเปรมขึ้นแทน คนอย่างท่านแม้เคยทำผลงานไว้เสียดิบดี ก็ยังปฏิเสธว่า “ผมพอแล้ว” แต่ประยุทธ์นี่ทำอะไรบ้าง

สอง ผู้นำศรีลังกาที่เป็นมาไม่รู้กี่ปีกี่สมัยแล้ว แต่ยังไม่ยอมพอ จนบ้านเมืองเสียหาย คนก็เลยรวมตัวกันขับไล่ออกจากประเทศ และสาม อดีตนายกฯ ญี่ปุ่น เป็นมาแล้ว 8 ปี ก็ยังไม่พอ ยังลงพื้นที่หาเสียงเพื่อช่วยลูกพรรคอีก ก็เลยถูกยิงตาย ผมถามว่าคุณประยุทธ์จะเลือกทางไหน อย่าหาว่าคำพูดผมไม่ศักดิ์สิทธิ์นะครับ ผมเตือนแล้ว

Author

ปิยนันท์ จินา
หนุ่มใต้ที่ถูกกลืนกลายเป็นคนอีสาน โตมาพร้อมตัวละครมังงะญี่ปุ่น แต่เสียคนเพราะนักปรัชญาเยอรมันเคราเฟิ้มและนักประวัติศาสตร์ความคิดชาวฝรั่งเศสที่เสพ LSD มีหนังสือเป็นเพื่อนสนิท แต่พักหลังพยายามผูกมิตรกับมนุษย์จริงๆ ที่มีเลือด เนื้อ เหงื่อ และน้ำตา หล่อเลี้ยงชีวิตให้รอดด้วยน้ำสมุนไพรเพื่อคอยฟาดฟันกับอำนาจใดก็ตามที่กดขี่มนุษย์

Photographer

อนุชิต นิ่มตลุง
อาชีพเก่าคือคนขายโปสการ์ดภาพถ่ายขาวดำยุคฟิล์ม จับกล้องดิจิตอลรับเงินเดือนประจำครั้งแรกที่นิตยสาร a day weekly เมื่อปี 2547 ถ่ายงานหลากหลายรูปแบบทั้งงานสตูดิโอ ภาพข่าว สารคดี มีความสามารถพิเศษสั่งตัวแบบได้ตั้งแต่พริตตี้ คนงานทุบหินแถวหิมาลัย ไล่ไปจนถึงงานที่ถูกใครต่อใครหยิบยืมไปใช้สอยบ่อยๆ อย่างภาพถ่ายนักวิชาการที่ไม่น่าจะถ่ายรูปขึ้น นอกจากทำงานให้ WAY อย่างยาวนาน ยังเป็นเจ้าของกิจการเครื่องหนัง Dog's vision อันลือลั่น

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า