เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร: ‘สุราก้าวหน้า’ ก้าวแรกของก้าวไกล ก้าวต่อไปต้องไปให้สุด

ชายร่างใหญ่ไซส์ 194 ซม. หนุ่มนิติคราฟต์เบียร์ในตำนาน เจ้าของแฮชแท็กอันลือลั่น #ผมชอบเบียร์ 

WAY มีนัดกับเขา ณ บาร์แห่งใหม่ที่เพิ่งฉลองเปิดกิจการไปเมื่อไม่นาน ในชื่อ ‘Taopiphop Bar Project’ แถวย่านตลาดวงเวียนใหญ่ 

จุดนัดพบหาไม่ยากนัก เพราะมีจุดสังเกตหลักคืออยู่เยื้องกับโรงหนัง ‘สวรรค์ฮาวาย’ โรงภาพยนตร์เก่าแก่ที่เปิดฉายหนังวนตลอดวันในราคาตั๋วเพียง 70 บาท 

พอข้ามถนนมาอีกฝั่ง แลเห็นสัญลักษณ์สีส้มๆ มาแต่ไกล มองปราดแรกดูคล้ายธุรกิจรับส่งพัสดุแบบด่วนทันใจ จนเมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ จึงเข้าใจได้ว่ามาไม่ผิดที่แน่ๆ เพราะมีรูปโปสเตอร์เจ้าของร้านขนาดเขื่องแปะอยู่หน้ากระจก นั่นแหละเขาล่ะ – เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส. กทม. แห่งพรรคก้าวไกล 

ชื่อของเท่าพิภพเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะอดีตนักศึกษาที่ร่ำเรียนมาทางกฎหมาย แต่มีใจรักในการทำเบียร์ โชคร้ายที่ประเทศไทยให้คำจำกัดความสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นของ ‘ต้องห้าม’ สำหรับผู้ที่ขาดคุณสมบัติ งานคราฟต์เบียร์ของเขาจึงเป็นที่หมายตาของเจ้าหน้าที่สรรพสามิต จนนำมาสู่ยุทธการบุกทลาย ตรวจยึดอุปกรณ์ พร้อมเรียกค่าปรับอีกจำนวนมหาศาล 

หากมองย้อนกลับไป ไม่ต่ำกว่า 70 ปีมาแล้วที่ประเทศไทยบังคับใช้กฎหมายที่ว่าด้วยสุรา โดย พ.ร.บ.สุรา ฉบับแรกถูกบัญญัติขึ้นตั้งแต่ปี 2493 มาจนถึงปัจจุบันคือ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และข้อเท็จจริงกฎหมายฉบับนี้ คือประตูที่ปิดตายสำหรับคนตัวเล็กตัวน้อยที่ริอ่านจะเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเว้นว่าจะมีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท และต้องมีกำลังผลิตไม่กว่า 10 ล้านลิตรต่อปี 

พูดง่ายๆ ว่า หากไม่ได้สืบสันดานเป็นลูกเจ้าสัวมาแต่กำเนิด ย่อมไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากในธุรกิจประเภทนี้ได้ 

กฎเกณฑ์นี้เริ่มสั่นคลอน เมื่อเท่าพิภพก้าวเท้าเข้าสู่สภา พร้อมด้วยข้อเสนอร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถยื่นขออนุญาตผลิตและจำหน่ายได้อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม มิใช่เอื้อให้เกิดการผูกขาดอยู่แค่ในมือของนายทุนรายใหญ่

ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า สั่นสะเทือนไปถึงผู้มีอำนาจทางการเมืองและนายทุนผู้หนุนหลังรัฐบาล แต่แล้วก็เป็นดังคาด เมื่อร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกสภาผู้แทนราษฎรโหวตคว่ำไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

“เอาเข้าจริง ถามว่าร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ก้าวหน้าไหม ผมเองยังไม่กล้าพูดเต็มปาก ผมว่ามันไม่ได้ก้าวหน้าอะไรเลย โคตรปกติ แต่ความปกตินี่แหละคือความไม่ปกติของประเทศนี้”

แน่นอนว่าการผลักดันกฎหมายสุราย่อมไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ หลังการเลือกตั้งสมัยหน้า ‘สุราก้าวหน้า ภาค 2’ จะกลับมาอีกครั้ง

หลังจากร่าง พ.ร.บ.สุราก้าว ถูกสภาปัดตก คุณเคยกล่าวไว้ว่า นี่ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่กลับเป็นชัยชนะด้วยซ้ำ ความหมายคืออะไร

จริงๆ ความพ่ายแพ้ก็เป็นเพียงตัวเลขการโหวตในสภา ซึ่งผมมองว่ายังมีอีกหลายแบทเทิล หลายสมรภูมิที่เราชนะ ถ้าเปรียบการต่อสู้เรื่องเหล้าเบียร์เป็นสงครามอย่างหนึ่ง และในสภาเป็นสมรภูมิใหญ่ เราแพ้ไปแค่นิดเดียว ซึ่งถ้าดูจากชัยภูมิคือเราแพ้อยู่แล้ว เพราะเป็นฝ่ายค้าน แต่ในสมรภูมิทางความคิด เราชนะทั้งหมดเลย วันนี้สังคมเข้าใจเรื่องนี้แล้ว คงไม่มีใครออกมาพูดแล้วว่าอย่าทำคราฟต์เบียร์เลย มันบาป และการรบครั้งนี้ยังส่งสัญญาณไปยังสมรภูมิอื่นๆ คือการต่อสู้กับนายทุน ว่าคนธรรมดาก็สามารถทำงานการเมือง สามารถต่อสู้กับนายทุนที่รวยเป็นหมื่นแสนล้านได้ ผมจึงมองว่าเราชนะแล้ว

โอเค ในสงครามนี้เราอาจได้เปรียบในหลายสมรภูมิ แต่สุดท้ายเราก็ต้องการชนะในสมรภูมิที่เรียกว่าสภาอยู่ดี เพราะนั่นคือชัยชนะอย่างเป็นทางการที่สุด แต่โดยรวมผมว่าเราก็ชนะแล้วแหละ แค่ตอนนี้ผลของมันยังไม่เป็นทางการ จะเห็นว่าการที่รัฐบาลใช้ทุกสรรพกำลัง มันสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของสมรภูมินี้ และเป็นความมหัศจรรย์ของประชาธิปไตย จากคนคนหนึ่งที่ถูกกดขี่โดยกฎหมายบ้าๆ บอๆ แม้คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้จะยอมๆ ไป แต่ผมจะไม่ยอมละทิ้งความฝัน แล้วผมก็ต่อสู้ในระบบของเขาด้วยซ้ำ ผมมาได้ไกลขนาดนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว เราสามารถปลุกสังคมได้ หลายคนออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีใครฟังเขาเลย เราเลยลองใช้เสียงของประชาชนที่เลือกเราเข้ามา แล้วทำให้เสียงของเราดังขึ้น 

อีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนไม่ค่อยพูดถึง และผมอยากให้คนเชื่อมั่น คือกลไกประชาธิปไตยมันควรจะเวิร์กกว่านี้ ซึ่งที่จริงก็ขาดไปแค่ 2 เสียง แต่คนก็พอเห็นเค้าโครงแล้วว่า สงครามครั้งนี้เราต้องต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ประชาชนทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจนต้องมีส่วนร่วม อันนี้คือสิ่งสำคัญที่ผมอยากชนะในสงครามนี้

ผลโหวตที่เฉือนกันแค่ 2 เสียง ปรากฏการณ์นี้บ่งบอกอะไรบ้าง 

บอกหลายเรื่องมาก ประเด็นแรกก็คือ ระบบพรรคการเมืองไทยยังคงมีเจ้าของพรรค ทำให้ ส.ส. ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนในเขตมากพอ นำมาซึ่งการขาดอิสระในการโหวต แต่ถ้าเรามีพรรคการเมืองที่แข็งแรง อย่างอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่ใช่เจ้าของพรรครีพับลิกัน เพราะพรรคมีสถานะเป็นสถาบันจริงๆ ถ้าเทียบกับไทยใกล้เคียงสุดก็คงเป็นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคก้าวไกลก็กำลังไปทางนั้น…ก็ดีครับ ผมมองว่าตัวชี้วัดหนึ่งของการเป็นประชาธิปไตย คือเราทะเลาะกันในพรรคบ่อยๆ ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดีว่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของพรรค อันนี้เป็นข้อแรกที่ผมเห็นว่าการเมืองไทยต้องพัฒนาต่อ และประชาชนก็ต้องค่อยๆ เปลี่ยน การเลือกตั้งครั้งต่อไปประชาชนก็คงไม่ได้เลือกผู้แทนจากนามสกุล ถ้าเปลี่ยนตรงนี้ได้ก็จะส่งผลต่อการผลักดันนโยบายต่างๆ แต่ตอนนี้มีการกดรีโมทคอนโทรลจากเจ้าของพรรคอยู่ พูดกันตรงๆ ผลก็เลยออกมาเป็นอย่างนั้น 

ข้อพิสูจน์ที่สอง สืบเนื่องจากข้อแรกว่า แม้ต้นสังกัดพรรคจะกดรีโมทคุมเสียง ส.ส. ได้ แต่การโหวตสุราก้าวหน้าคือบทพิสูจน์ว่า ‘content is king’ ถ้าคอนเทนต์คุณดีจริง คุณทำมารอบคอบ คุณสามารถพัฒนานโยบายหรือกฎหมายที่ไม่ใช่แค่สิ่งที่คุณอยากทำ แต่ยังมีความเป็นไปได้ในทางนโยบายด้วย ถามว่ากฎหมายของผมมีใครเสียประโยชน์บ้าง อาจเป็นนายทุนหรือข้าราชการบางส่วนที่ขี้เกียจทำงาน แต่ผมคิดมาแล้วว่าสุดท้ายต้องกระทบคนให้น้อยที่สุด อาจจะมีความขัดแย้งบ้าง แต่ต้องกระทบต่อเสียงโหวตน้อยที่สุด อันนี้ก็เป็นกรณีศึกษาในการผลักดันนโยบายหรือกฎหมายโดยฝ่ายค้าน เพราะฝ่ายรัฐบาลเขาทำอะไรก็ได้อยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วฝ่ายรัฐบาลก็ควรจะคิดเรื่องนี้เยอะๆ เวลาทำกฎหมาย เพราะส่งผลกับคนทั้งประเทศ 70 กว่าล้านคนนี่เรื่องใหญ่นะ

ประการที่สาม ผมมองว่าสุราก้าวหน้าเป็นเรื่องที่ประชาชนส่งเสียงอย่างมีส่วนร่วม และไปถึงสภาได้จริง ส.ส. หลายคนมาหาผม บอกว่า เหล้าจังหวัดเขาดีที่สุด ผมบอกไม่เชื่อหรอก พี่ไปเอาเหล้านั้นมาให้ผมชิมก่อนสิ เขาก็เลยกลับไปที่โรงเหล้านั้น ไปพบปะพูดคุยกับประชาชนในเขตของเขา สุดท้ายคนเหล่านี้ก็เล่าถึงข้อจำกัดทางกฎหมายต่างๆ ให้ผู้แทนฟัง พอเขาได้ฟังจากคนที่ไม่ใช่พรรคตรงข้ามแบบผม ก็ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น แล้วในทวิตเตอร์ ในโซเชียลมีเดียก็ช่วยกันส่งเสียงที่ค่อนข้างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ที่เพื่อนๆ สลิ่มร่วมประเทศเห็นด้วยกับก้าวไกลในเรื่องนี้ การเมืองใหม่มันต้องอย่างนี้

ดูจากอะไรว่า เพื่อนๆ สลิ่มเห็นด้วยกับเรื่องนี้

โอ๊ย…ดูจากรูปโปรไฟล์เขา ดูจากหน้าวอลล์เขา เราก็จะเห็นแพทเทิร์นบางอย่างได้ แม้แต่คนที่ไม่กินเหล้ายังเห็นด้วยเลย อันนี้คือสุดยอดแล้วที่สามารถเปลี่ยนความคิดคนได้ นักการเมืองควรจะมีหน้าที่อธิบายให้คนอื่นเชื่อได้ด้วยเหตุและผล ไม่ใช่มาบอกว่าคนอื่นเลวกว่าฉัน หรือฉันดีกว่าคนอื่น ผมว่าอันนี้คือแก่นสารสำคัญเลยนะ ถ้าเราเปลี่ยนความคิดคนได้ คุณภาพการเมืองโดยรวมของประเทศจะดีขึ้น คุณภาพนักการเมืองจะดีขึ้น คุณภาพของ voter หรือประชาชนในการตัดสินใจทางการเมืองก็จะดีขึ้น การต่อสู้ของผมคือ การทำการเมืองใหม่ที่เป็น quality politics ไม่ใช่ transactional politics หรือการเมืองต่างตอบแทน ซึ่งก็ต้องดูกันไปยาวๆ ครับ

ถ้าดูจากเสียงของ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล จำนวนไม่น้อยที่โหวตให้เรื่องนี้ผ่าน แสดงว่าเขาเริ่มเปลี่ยนความคิดแล้วใช่ไหม 

แค่ทำให้รัฐบาลมีมติเรื่องนี้ได้ก็ถือว่าสุดแล้วแหละ ส.ส. หลายคนเขาก็เริ่มรู้สึกว่าโดนหลอกจากรัฐบาลเหมือนกันนะ ตอนผมอภิปราย ส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยไปในทางเดียวกัน ถึงแม้ไม่โหวตให้ผม แต่ก็เห็นด้วยกับไอเดียผมอยู่ดี ถึงบอกไงว่าผมชนะทางความคิดไปแล้ว ผมอาจจะไม่มีตังค์จ่ายให้ ไม่มีปืนไปบังคับใคร ไม่มีอาวุธไปรัฐประหาร ไม่มีอำนาจที่จะสร้างความกลัว ไม่มีบุญคุณให้ใครมาตอบแทน ผมทำได้แค่นี้ก็ถือว่าดีแล้วครับ ต้องขอบคุณพี่ๆ ส.ส. ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ช่วยสนับสนุนจนมาไกลถึงขนาดนี้ ซึ่งก็เป็นเครดิตของทั้งสภา ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว มันต้องใช้ความกล้าหาญเยอะที่จะปรับเปลี่ยนค่านิยมของฝ่ายรัฐบาลให้เห็นด้วยกับฝ่ายค้าน ก็เป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆ ปรับกันไป

การที่รัฐบาลชิงออกกฎกระทรวงการผลิตสุราฉบับใหม่ ตัดหน้าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า เพียง 1 วัน ทำไมจู่ๆ จึงเกิดช่องทางนี้ขึ้นมาได้

หลังจากโหวตเสร็จ คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรก็เรียกกรมสรรพสามิตมาพูดคุยซักถามว่า หลักการของกฎกระทรวงมันคืออะไร การที่คุณจะปลดล็อกหรือไม่ปลดล็อกนี่เพื่ออะไร สุดท้ายก็ตอบไม่ได้ แต่หลุดมาคำหนึ่งว่า มันเป็นเชิงนโยบาย ถามว่านโยบายอะไรครับ เขาก็ไม่พูดออกไมค์ แต่ก็รู้ว่าเป็นนโยบายทางการเมืองล้วนๆ โดยที่รัฐบาลไม่ได้สนใจประชาชนหรอก แต่จะเล่นการเมืองอย่างเดียว เพื่อไม่ให้กฎหมายสุราก้าวหน้าผ่าน เพราะต้องยอมรับว่านี่คือผลงานของพรรคก้าวไกลที่ผมจะเอาไปโม้ได้ทั้งชีวิต

มันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่บอกว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ก็มีความเกลียด ความกลัว ความอิจฉาริษยาอะไรบางอย่าง ก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นทีของเขา เขาอาจจะเป็นเสียงส่วนใหญ่จำแลง เพราะเขายังมีอำนาจอยู่ สุดท้ายผลเสียก็ตกอยู่กับประชาชน แล้วประชาชนก็จะตัดสินเขาเอง 

หลังจากกรรมาธิการเรียกอธิบดีกรมสรรพสามิตมาชี้แจงเรื่องการแก้กฎกระทรวง มีผลต่อเนื่องอย่างไรบ้าง

เราเรียกอธิบดีมาคุย แต่เขาไม่มา เขาคงกลัวโดนเด็กอายุ 33 ด่าฟรีๆ ก็เลยส่งตัวแทนมา ซึ่งเป็นพี่ที่ผมค่อนข้างให้ความเคารพ เขาก็บอกได้แต่เพียงว่า สุดท้ายแล้วข้าราชการก็ต้องทำไปตามหน้าที่ 

จริงๆ เรื่องการแก้กฎกระทรวง ตอนนี้พรรคก้าวไกลร่างกฎกระทรวงสุราก้าวหน้าเตรียมไว้แล้ว ถ้าได้เป็นรัฐบาลเมื่อไหร่ ภายใน 7 วัน สามารถประกาศใช้ได้ทันที เราเซ็ตวาระไว้แล้วว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาล 100 วันแรก จะทำอะไรบ้าง และต้องขับเคลื่อนให้ได้ภายใน 100 วัน เพราะมันคือช่วงเวลาทอง และหนึ่งในนั้นคือเราจะแก้กฎกระทรวงสุราก้าวหน้า 

หมายความว่าที่สู้กันมาแทบเป็นแทบตาย เพียงแค่แก้กฎกระทรวงนิดเดียวก็สามารถปลดล็อกได้?

ใช่ คือแก้แค่นี้ก็จบ เหมือนที่เขาแก้กฎกระทรวงก่อนโหวตไม่กี่วันก็ทำได้นี่หว่า แหม ตอนแรกเราเคยเรียกสรรพสามิตมาคุย บอกว่าแก้ยากอย่างโน้นอย่างนี้ ติดโน่นติดนี่ อ้าว พอจวนตัวจริงๆ ก็แก้ได้นี่หว่า 

สมมุติว่าก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล สเต็ปแรกคือแก้กฎกระทรวง แล้วสเต็ปถัดไปจะมี พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า v.2 อีกไหม

ไม่ต้องสมมุติหรอก เดี๋ยวก้าวไกลได้เป็นแน่ๆ อยู่แล้ว (หัวเราะ) กฎกระทรวงถ้าแก้ได้ก็แก้ เพราะปฏิบัติได้ไว แต่การมี พ.ร.บ. จะหนักแน่นมากกว่า เพราะเป็นกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่า ขอยืนยันว่าเราต้องผลักดันให้เกิด พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า แน่นอน รวมถึง พ.ร.บ. อื่นๆ ด้วยที่จะต้องทำต่อไป 

ที่บอกว่าสมัยหน้าพรรคก้าวไกลจะได้เป็นรัฐบาล ทำไมมั่นใจขนาดนั้น

ผมเชื่อมั่นด้วยผลงานของพรรคก้าวไกล ไม่ว่างานสภาก็ดี งานพื้นที่ก็เด่น ซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่า เราไม่ใช่เด็กน้อย อย่างที่บางคนเคยพูดว่าเด็กพวกนี้จะทำงานได้จริงเหรอ แล้วถ้ามองการถดถอยของพรรคการเมืองฝั่งรัฐบาล เมื่อเทียบกับพรรคก้าวไกลถือว่าเราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ก็มีโอกาสที่จะได้เป็นรัฐบาลสูง ถ้าเราไม่ได้เป็นรัฐบาล ทุกคนก็ย้ายจากประเทศนี้เถอะครับ หมดหวังแล้วครับ (หัวเราะ) 

ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลชูเรื่องปลดล็อกการผลิตสุราเป็นหลัก ในอนาคตจะขยับเพดานไปถึงเรื่องภาษีสุรา การโฆษณา หรือการควบคุมต่างๆ ด้วยไหม

จริงๆ แล้วผมก็ทำงานเรื่องการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่นะ เมื่อก่อนจะมี 2 ฝั่ง คือสายโปรเหล้ากับสายต้านเหล้า คุณหมอต่างๆ แทบไม่เคยคุยกันได้เลย ทั้งสองฝ่ายก็จะรณรงค์งานของตัวเอง สายต่อต้านเหล้าก็จะบอกว่าเหล้าไม่ดี นู่นนี่นั่น อีกฝ่ายก็บอกว่าต้องปลดล็อก ปัญญาอ่อนฉิบหายกฎหมายนี้ ห้ามเห็นโลโก้ ห้ามโพสต์นั่นนี่ แต่เราแทบไม่เคยคุยกันเลย

พอผมเป็นผู้แทน ผมเลยจัดงานให้ทั้งสองฝ่ายมาคุยกัน จริงๆ ทุกคนก็รู้แหละว่าผมอยากได้อะไร ตอนนั้นมีร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3 ฉบับที่ยื่นโดย 3 ฝ่าย คือฝ่ายภาคประชาชนที่เป็น NGO เครือข่ายต้านเหล้า กับฝ่ายเครือข่ายผู้ประกอบการ และอีกฝ่ายคือรัฐบาล ซึ่งพรรคก้าวไกลมองว่า ถ้าร่างฉบับใดเป็นฉันทามติของประชาชนอยู่แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจ ส.ส. เพื่อเข้าไปแก้ ผมว่านี่คือความสวยงามของประชาธิปไตยทางตรง 

เรื่องการควบคุมก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่ถกเถียงกันได้ แต่เรื่อง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า เป็นเรื่องของความเท่าเทียม ซึ่งไม่มีใครเถียงได้อยู่แล้วว่าความเท่าเทียมคืออะไร ความเท่าเทียมเป็นสัจจะของโลกสมัยใหม่ไปแล้ว ส่วนเรื่องภาษี เราเคยยื่นแก้ไปแล้ว แต่ไม่ผ่าน เพราะเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน เลยถูกดองไว้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะนายกรัฐมนตรีมีสิทธิวีโต้ยับยั้ง ก็เลยติดค้างอยู่ตรงนั้นด้วยข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญ ยิ่งฝ่ายรัฐบาลที่เห็นก้าวไกลเป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ ก็เลยทำงานด้วยกันไม่ได้

อยากทราบวิธีทำงาน เวลาคุยกับคนที่เห็นต่าง อย่างกลุ่มหมอ กลุ่มคนรักสุขภาพ มีคำอธิบายยังไงให้เขาเข้าใจเรื่องเหล้าเบียร์ 

จริงๆ เขาก็เห็นด้วยโดยที่เราแทบไม่ต้องอธิบายอยู่แล้วนะ เพราะมันเป็นเรื่องความเท่าเทียมพื้นฐานระหว่างคนตัวเล็กกับคนตัวใหญ่ในการเข้าถึงธุรกิจ ทุกคนก็เข้าใจ หลายคนเป็น NGO หลายคนเป็นอาจารย์ เป็นหมอ มีการศึกษาอยู่แล้ว เขาก็เห็นด้วย แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ มีบ่อยครั้งมากที่เขาต้องไปดีเบต เขาก็ไม่มีข้อโต้แย้งอะไรอยู่แล้วโดยหลักการ ส่วนเรื่องการควบคุม ผมเป็น ส.ส. ผมก็บอกเขาว่าผมช่วยเรื่องนี้ได้นะ คือเราเป็นคนทำเบียร์ทำเหล้าอยู่แล้ว เราไม่อยากให้ลูกค้าเราตายหรอก เราจะเสียลูกค้าทำไมวะ อันนี้คือตรรกะพื้นฐานเลย 

เวลาคุยกัน เราก็คุยตรงจุดนี้ เพราะหลายๆ อย่างเขาก็ไม่ได้มีข้อเสนออะไรที่จะมาปิดกั้น สุดท้ายคุยไปคุยมาก็ลงที่ระบบราชการและการคอร์รัปชัน ซึ่งพรรคก้าวไกลพยายามต่อสู้ให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น เพราะสุดท้ายต่อให้เรามีกฎหมายให้ตายยังไงก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้มีโทษประหารชีวิตคนเมาแล้วขับ ถ้ายังจ่ายใต้โต๊ะให้ตำรวจได้ก็ยังคนดื่มแล้วเมาแล้วขับอยู่ดี สุดท้ายต้นตอของปัญหาคือระบบราชการหรือเปล่า เรื่องความไม่โปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่ การบังคับใช้กฎหมายที่แบ่งชนชั้น คนจนติดคุก คนรวยจ่ายเงินให้ตำรวจก็ไม่ต้องรับโทษ หลักการมันบิดเบี้ยวไปหมด หลายคนไม่กล้าพูดถึงต้นตอของปัญหาจริงๆ แต่ไปพูดเรื่องแก้กฎหมายให้เข้มงวดขึ้น สุดท้ายพอมาถึงการบังคับใช้กฎหมาย ปัญหาก็ไม่ถูกแก้อยู่ดี อันนี้คือสิ่งที่เราเห็นตรงกัน

ถ้ามองในภาพใหญ่ คอนเซปต์ของสุราก้าวหน้าเปรียบได้กับการกระจายอำนาจอย่างหนึ่งไหม

ใช่ หลายคนอาจมองว่าสุราก้าวหน้าก็แค่การปลดล็อกให้คนทำเหล้าทำเบียร์ได้ แต่ผมว่ามันคือเรื่องใหญ่มากกว่านั้น มันสั่นสะเทือนโครงสร้างอำนาจของการเมืองไทยอย่างมาก ทุกวันนี้นักการเมืองถูกอุ้มชูโดยนายทุน ในทางกลับกันนักการเมืองก็ตอบแทนด้วยการออกนโยบายเอื้อนายทุน แต่พอมีเอเลียนแบบพรรคก้าวไกล มี ส.ส. เอเลียนที่ไม่ได้ทำตามขนบธรรมเนียมนี้ ก็เลยเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เพราะเราเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งมีอีกหลายเรื่องที่เราพยายามทลายมายาคติ อย่างเช่นว่าสังคมไทยเป็นเมืองพุทธ คนชอบพูดว่าเหล้าเป็นเรื่องบาปโน่นนี่นั่น แต่ถ้าไปดูตัวเลข คนตัวเล็กๆ เขาผลิตเหล้าไม่ได้มากเท่าระดับนายทุนหรอก ฉะนั้นถ้าคุณจะยึดถือความถูกต้องจริง คุณต้องไปเรียกร้องให้รายใหญ่ผลิตเหล้าน้อยลงสิ อันนี้คือตรรกะที่หนึ่ง 

อันที่สองคือ ถ้าคิดว่าฉันเป็นคนตัวเล็กๆ ฉันทำอะไรไม่ได้หรอก ก็มีผมเป็นบทพิสูจน์แล้วว่าทุกคนสามารถทำอะไรได้หมดแหละ ถ้าคุณมุ่งมั่นและแน่วแน่มากพอที่จะทำ อย่างที่สามคือ ประชาธิปไตยมันเวิร์กกับคนส่วนใหญ่จริงๆ ไม่ใช่ว่าถ้าคุณต้องการอะไรแล้วต้องไปร้องขอผู้มีอำนาจอย่างเดียว แต่คุณสามารถไปร้องขอคนที่ฟังคุณจริงๆ หรือพรรคการเมืองที่ฟังคุณจริงๆ

สุราก้าวหน้าเป็นเรื่องใหญ่ครับ และจะเป็น kick starter ตัวแรกด้วยซ้ำในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยขนานใหญ่ เรากำลังอยู่ในห้วงเวลาประวัติศาสตร์นั้นแล้ว มันอาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ต่อไปจะเป็น snowball effect ฝ่ายผู้มีอำนาจเขาถึงกลัวกันมาก เพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้ากฎหมายฉบับนี้ผ่าน เพราะหลังจากนี้ก็จะมีข้อเรียกร้องอื่นๆ เช่น สมรสเท่าเทียม เรื่องที่ดินชาวบ้าน เรื่องคนชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เขาถูกขับไล่ออกจากป่า ทั้งที่เขาอยู่กันมา 5 รุ่นแล้ว เรื่องเหล่านี้จะเป็นเสียงสะท้อนให้เห็นว่า เราแคร์คนปกติธรรมดาจริงๆ 

นอกจากการต่อสู้ในสภากับผู้มีอำนาจทางการเมืองแล้ว การต่อสู้กับนายทุนผูกขาดจะต้องสู้ในสมรภูมิแบบไหน 

แน่นอนครับ เราก็ต้องสู้กันในสภาการเมืองนี่แหละ เพราะสุดท้ายเราต้องออกกฎหมายที่ไม่เอื้อทุนผูกขาด ผมเองก็ไม่ได้อยากให้ใครจนลงหรอก แล้วผมก็ไม่ได้เกลียดเจ้าสัวหรือคนรวยด้วยซ้ำ แต่การรวยโดยไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้สู้เลย คุณภูมิใจเหรอที่คุณเป็นคนรวยน่ะ แล้วคุณให้อะไรกลับสู่สังคมบ้างนอกจากการบริจาคและทำตัวเป็นนักบุญ ที่ผ่านมาคุณทำให้สังคมเสียหายจากการใช้อำนาจของคุณ เหมือนซื้อตั๋วไปยิงสัตว์ป่า หรือใช้อำนาจของคุณในการทำธุรกิจแบบไม่มีมโนธรรมยังไงก็ได้ จะควบรวมบริษัทอะไรก็ได้ จะหากำไรเท่าไรก็ได้ แล้วคุณไม่แคร์คนในสังคมเลยเหรอ คุณบิดเบี้ยวและทำให้กลไกทุนนิยมแม่งผิดรูปไปหมดเลย

ประเทศไทยตอนนี้นอกจากจะกึ่งประชาธิปไตยแล้ว เราไม่อยู่ในโลกทุนนิยมเลย เราอยู่ในสภาพเศรษฐกิจแบบ oligarchy คือคณาธิปไตยที่มีแต่คนรายรอบผู้มีอำนาจ มีโอกาสแสวงหาความมั่งคั่งให้กับตัวเองและครอบครัวเท่านั้นเองเหรอ คือผมก็ต้องถามว่าทุกคนอยากอยู่ในประเทศแบบนี้ไหม ยอมให้เป็นอย่างนี้จริงๆ เหรอ แล้วเมื่อไหร่คุณจะกระเถิบสถานะทางสังคมคุณขึ้นไปได้ ผมไม่เห็นโอกาสตรงนั้นเลยนับตั้งแต่ที่ผมโดนจับ ผมจึงอยากเปิดโอกาสตรงนี้ให้ทุกคน 

ทุนใหญ่อาจมีความกลัวว่า ถ้าปลดล็อกสุราก้าวหน้าแล้ว รายเล็กรายน้อยจะมาแย่งส่วนแบ่งจากเค้กก้อนนี้ อันนี้เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน

เรื่องนี้น่าสนใจมาก ผมมองว่านายทุนอยู่ได้กับทุกรัฐบาลแหละ เขาเป็นพ่อค้า คุยได้กับทุกคนอยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้จากหลายๆ เหตุการณ์คือ ไม่ใช่แค่นายทุนหรอกที่กลัว แต่มันคือความกลัวของคน 0.1 เปอร์เซ็นต์ที่กุมอำนาจประเทศนี้อยู่ เขาคิดว่าถ้าปล่อยให้ผมทำแบบนี้ได้ เขาคงเสียเครดิต เสียความน่าเชื่อถือ เพราะอยู่ดีๆ นายเท่าพิภพเข้ามาในสภา เป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ได้จบเมืองนอก ครอบครัวก็ไม่ได้มีตังค์อะไร แต่มันมาเขย่าระบบนี้ได้ อันนี้คือสัญญาณของความรู้สึกไม่มั่นคงที่ฝ่ายอนุรักษนิยมไม่คุ้นเคย เขาไม่อยากให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มทหาร กลุ่มอำนาจนิยม เขากลัวมาก เพราะเหมือนผมไปดิสเครดิตเขา

แต่ผมภูมิใจนะ ที่อาจารย์วิษณุ เครืองาม (รองนายกรัฐมนตรี) ถึงกับออกมาชี้แจงเองเรื่องที่รัฐบาลแก้กฎกระทรวงใหม่ คือเขาเป็นกุนซือที่สุดแล้วในรัฐบาลนี้ ถ้าไม่เพลี่ยงพล้ำจริงคงไม่ออกมาพูด ผมรู้สึกเหมือนเราเป็นนักรบแล้วเราได้เจอกับคนระดับ legend ของฝ่ายเขา ก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ทำให้อาจารย์วิษณุต้องเหนื่อย ก็ขออภัย ท่านอายุเยอะแล้ว น่าจะได้มีเวลาพักผ่อนมากกว่านี้ รบกวนเวลาพักผ่อนท่านจริงๆ นั่งอมภูมิอยู่ตั้งนาน 

มีข้อกังวลอยู่ว่า สุราก้าวหน้าจะนำไปสู่เหล้าเสรีไหม 

มันต่างกันอยู่แล้ว เหล้าเสรีคือไม่มีกฎหมายควบคุมเลย ก็เหมือนกัญชาในช่วงสุญญากาศ ใครทำอะไรก็ได้หมด แต่ของเราต้องขอยืนยันอีกครั้งว่า เด็กต่ำกว่า 18 ปี ซื้อเหล้าไม่ได้ 

เอาเข้าจริง ถามว่าร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ก้าวหน้าไหม ผมเองยังไม่กล้าพูดเต็มปาก ผมว่ามันไม่ได้ก้าวหน้าอะไรเลย โคตรปกติ แต่ความปกตินี่แหละคือความไม่ปกติของประเทศนี้ ที่ผ่านมาทำไมต้องกำหนดเงื่อนไขมากมายกว่าจะได้ใบอนุญาต ผมก็แค่ต้องการทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนควรจะเข้าถึงได้ 

ผมบอกเลยว่าก้าวไกลไม่ใช่พวกซ้ายสุดโต่ง หัวรุนแรง ทุกคนก็ทราบดีว่าก้าวไกลแค่ต้องการนำความปกติมาสู่ประเทศไทย เราแค่พูดเรื่องที่ทุกคนในโลกนี้มองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่คนมีอำนาจกลับมองว่ามันล้ำเส้น มันเป็นไปได้ยังไง อย่างกฎหมายสมรสก้าวหน้า คนรักกัน แต่งงานกัน แล้วคุณไปเสือกเหี้ยอะไร แล้วมาหาว่าเราสุดโต่ง งงจริงๆ

กับคำพูดที่ว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ เหล้าเบียร์ทั้งหลายเป็นอบายมุข จะมีคำอธิบายกับคนกลุ่มนี้ยังไง

ถามว่าเหล้าเบียร์เป็นอบายมุขมั้ย ก็ใช่นะ แต่เป็นบาปหรือเปล่า บางศาสนาก็ว่าใช่ บางศาสนาก็ไม่ใช่ อันนี้ก็ต้องเคารพความเชื่อของแต่ละคนก็แล้วกัน แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเราเคารพความเชื่อของกันและกัน เราก็ต้องเคารพความเป็นปัจเจกของแต่ละคนด้วยเช่นกัน มันเป็นหลักใหญ่ใจความในโลกสมัยใหม่ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ทุกคนควรได้รับการเคารพในสิทธิส่วนบุคคลตรงนั้น 

แต่ถ้าใครจะมองอย่างนี้ ผมก็ไม่เถียงหรอก หรือถ้าคุณอยากจะต่อต้านเหล้ามากๆ คุณก็มาลง ส.ส. แบบผมก็ได้ แล้วก็เสนอ พ.ร.บ. แบนเหล้าในประเทศไทยไปเลย สุดท้ายผมไม่ใช่คนตัดสินอยู่แล้ว แต่อยู่ที่สภา ทุกคนใช้อำนาจผ่านความเป็น ส.ส. ของตัวเองเท่านั้นเอง ใครมีความคิดแบบนี้ผมก็เคารพนะ แต่ผมคิดอย่างนี้ก็ช่วยเคารพผมด้วย เรามีกลไกที่ทำให้คนที่มีความเห็นต่างสามารถมานั่งคุยกันได้ เรามีสภา มีเวทีต่างๆ แล้วสุดท้ายก็มาตัดสินกัน ก็แค่นั้นเอง 

ตัวคุณเองนับถือศาสนาพุทธมั้ย

ผมน่ะพุทธแบบ philosophy ผมศึกษาศาสนาจริงจังตั้งแต่ 11 ขวบ ผมตั้งคำถามว่าทำไมต้องไหว้พระ ตื่นเช้าก่อนไปโรงเรียนผมก็ดูรายการอาจารย์นิติภูมิ นวรัตน์ ตอนตีห้า เป็นรายการเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ผมก็ฟังนะ ผมก็เปิดใจว่าศาสนาอื่นเป็นยังไง แต่มีช่วงหนึ่งตอน ม.ปลาย ผมเป็นคนไม่มีศาสนา จนเข้ามหาวิทยาลัยก็ลองกลับมาศึกษาพุทธแบบที่ไม่ใช่พิธีกรรม พออ่านหนังสือเยอะขึ้นก็ทำให้เห็น core value บางอย่าง เช่น การปล่อยวาง ทางสายกลาง หรืออะไรต่างๆ 

คือผมจะบอกว่าผมเป็นพุทธแบบ philosophy คือมองว่าการกินเหล้าไม่ได้บาป แต่จะผิดแน่นอนถ้าคุณกินเยอะเกินไปจนขาดสติ ที่จริงพระพุทธเจ้าให้ดื่มเหล้าได้ 1 องคุลีฝาบาตรนะ ดื่มเป็นโอสถ แต่สุดท้ายคือคุณครองสติได้หรือเปล่า ถ้าดื่มแล้วไม่มีสติก็ไม่สมควร คำสอนของพระพุทธเจ้ามีลักษณะเหมือน common law นะ คือต้องดูว่าหลักธรรมนั้นเอามาใช้อธิบายกับเหตุการณ์อะไร แต่บางคนยึดถือคำสอนเป็นสรณะ เป็น civil law แล้วตีความคำสอนแบบเคร่งครัด 

การเอากรอบศีลธรรมมาสร้างเงื่อนไข ส่งผลยังไงบ้างต่อสิทธิในการกินดื่ม 

การนำเรื่องศีลธรรมมาใช้กับเหล้าเบียร์ ส่งผลเสียอย่างมากกับตัวองค์กรทางศาสนาเหล่านั้น ลุกลามไปถึงตัวศาสนาเองในการอ้างอะไรที่ไม่เมกเซนส์เท่าไร ผมว่าอย่างนี้เป็นผลร้าย คืออย่างที่เราเห็น ศาสนาทรุดโทรมลงก็ด้วยคนที่อยู่ในนั้นทั้งนั้นแหละ อยู่ที่ว่าจะตีความยังไง มันก็เป็นพลวัตของศาสนาเหมือนกัน 

ก็เหมือนเรื่องสถาบัน คือบางทีคุณมาแอบอ้างเยอะเกินไป สุดท้ายผลเสียก็ตกอยู่ที่สถาบันเองหรือเปล่า นี่คืออีกสิ่งหนึ่งที่พรรคก้าวไกลตั้งใจจะทำ คืออย่าแอบอ้างสถาบันเลย สถาบันจะเข้มแข็งได้ ก็ต้องพูดกันบนโต๊ะให้ได้ 

ในเมื่อประเทศไทยไม่ใช่รัฐศาสนา แต่ทำไมยังห้ามจำหน่ายเหล้าเบียร์ในวันพระหรือจำกัดเวลาจำหน่าย ประเด็นเหล่านี้ต้องแก้ไขยังไง

แน่นอนว่า ตราบใดที่มีคำถามของประชาชนที่ตั้งข้อสงสัยกับกฎระเบียบแบบนี้ สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยน หรืออย่างน้อยก็ต้องมาคุยกันว่ามันจำเป็นจริงๆ หรือเปล่า แล้วคุณลิดรอนสิทธิของคนอื่นหรือไม่ 

กฎหมายนี้ออกโดยคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คือมันไม่มีความเป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว เพราะมีแต่คนที่ต่อต้านเหล้านั่งอยู่ในคณะกรรมการ มันเป็นแค่การสำเร็จความใคร่ทางศีลธรรมของคุณเอง หรือคิดว่านี่คือตั๋วผ่านทางไปสวรรค์ที่คุณคิดว่ามีจริงและจะได้ไป สุดท้ายก็ต้องมาคุยกันในฟอร์แมตที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด 

ถ้ามองในมุมผู้ประกอบการ คุณรับผิดชอบบาร์แทนผมได้มั้ยล่ะ จ่ายค่าเช่าแทนผมได้มั้ยล่ะ วันพระใหญ่มี 5-6 วัน แล้วคุณเอารายได้ของผมไป ผมจ่ายค่าเช่า 30,000 คุณจ่ายให้ผม 5,000 ไหมล่ะ ไม่มีใครจ่าย ไม่มีใครรับผิดชอบทั้งนั้น ทุกคนขึ้นสวรรค์กันไปหมดแล้ว

ในความเห็นผม การห้ามกินเหล้าหนึ่งวัน หรือมาบอกว่ากินได้ทุกวันอยู่แล้ว ขอวันหนึ่งไม่ได้เหรอ เฮ้ย…คุณมาขอทำไม เขาเป็นญาติคุณเหรอ ยุ่งอะไรวะ นี่คือการไม่เคารพปัจเจกขั้นสุดเลย สะท้อนถึงระบบราชการที่มองว่าประชาชนคิดเองไม่ได้ นี่เป็นอันตรายที่สุดแล้ว พอคุณมองว่าประชาชนคิดเองไม่ได้ แล้วคุณทำตัวเป็นพ่อรู้ดี สั่งทุกอย่าง แต่ไม่ได้รู้จริงเลย อันนี้อันตรายและเป็นเมล็ดพันธุ์ที่บั่นทอนประชาธิปไตย ถ้าคุณไม่เชื่อว่าคนอื่นมีความคิด คุณก็จะสามารถรัฐประหารได้อย่างนั้นเหรอ บอกว่าคนอื่นโง่ ก็ต้องจนต้องเจ็บต่อไป ความคิดแบบนี้อันตรายมาก คือไม่มี logic อะไรที่เข้าใจได้เลย 

ในมุมของฝ่ายต่อต้านเหล้า อาจไม่ได้มีแค่เรื่องเชิงศีลธรรมหรือศาสนา แต่มีผลกระทบต่อสุขภาพด้วย ประเด็นนี้มีข้อโต้แย้งยังไงบ้าง เพราะความรู้ทางการแพทย์อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยขนาดนั้น 

จริงๆ ก็โต้แย้งอะไรไม่ได้ มันเป็นวิทยาศาสตร์และมี fact พอ แอลกอฮอล์เป็นสารพิษอยู่แล้ว ตับต้องขับออก ทำให้ตับทำงานหนัก อันนี้ไม่เถียง แต่ถ้าพูดกันจริงๆ ก็เหมือนเรื่องน้ำอัดลม หวานเกินไป เค็มเกินไป รบกวนไปแบนด้วยละกัน แบนน้ำปลา น้ำอัดลม ทุกคนจะได้สุขภาพดีหมด ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ไง สุดท้ายคุณก็ไม่สามารถปฏิเสธเหล้าที่อยู่คู่กับโลกใบนี้มานานมากแล้ว มากกว่าการแพทย์สมัยใหม่ด้วยซ้ำ 

โอเค ในแง่การควบคุมการบริโภคไม่ให้เกินพอดี เราก็มีกลไกทางภาษีสรรพสามิตที่ทำให้เหล้าเบียร์ไทยแพงมาก บุหรี่เองก็แพงมาก จนทุกคนหันไปดูดบุหรี่เถื่อนหรือบุหรี่ไฟฟ้าแทน ทำให้เห็นว่าบางครั้งการควบคุมมากไปหรือปล่อยมากไปก็ไม่ดี คุณหมอส่วนใหญ่ก็เข้าใจความจริงตรงนี้อยู่ เขารู้ว่าไม่สามารถทำให้เหล้าทุกหยดหมดไปจากประเทศไทยได้ ถึงแม้จะออกกฎหมายเข้มงวดแค่ไหนก็ยังเกิดเหล้าเถื่อนอยู่ดี เหมือนในอเมริกาที่เคยออกกฎหมายแบนเหล้า ก็เลยทำให้เกิดคนอย่าง อัล คาโปน (ผู้มีอิทธิพลในวงการสุราเถื่อน) ถ้าเป็นอย่างนั้นผมอาจจะไม่เป็นนักการเมืองแล้วก็ได้ อาจจะไปเป็นมาเฟียต้มเหล้าเถื่อนไปเลย ซึ่งก็คงสร้างปัญหาให้สังคมมากกว่าเดิมอีก ดังนั้น ผมคิดว่าทุกฝ่ายต้องรับฟังกัน เหมือนที่ผมฟังทุกคนแล้วมาหาจุดตรงกลางร่วมกัน 

การต่อสู้ที่ผ่านมา คุณเคยถูกคุกคามหรือรู้สึกตกอยู่ในความเสี่ยงบ้างไหม

ถ้าตอบว่าไม่มีจะดูผิดหวังหรือเปล่า (หัวเราะ) ไม่มีหรอก คือจริงๆ ก็คุยกับฝ่ายเขาอยู่บ้าง หลายครั้งก็เข้าไปคุยกับคนที่ทำงานกับเจ้าใหญ่ เขาก็ไม่ได้อะไรกับเราหรอก นายทุนเขาก็เอากับทุกรัฐบาลแหละ แต่ไม่ใช่ทุกรัฐบาลที่จะเอานายทุน รวมถึงรัฐบาลก้าวไกลด้วย 

ในอนาคตถ้าแก้กฎหมายปลดล็อกเหล้าเบียร์ได้สำเร็จ สภาพสังคมไทยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

แน่นอน อย่างแรกก็ต้องเกิด economic system แบบใหม่ เพราะเมื่อมีผู้ผลิตมากขึ้น ก็ต้องมีการนำเข้าวัตถุดิบมากขึ้น หรือมีการปลูกทดแทนในประเทศมากขึ้น มันคือการสร้างมาร์เก็ตในแต่ละชั้นของ supply chain แน่นอนก็ย่อมมีคนกลุ่มต่างๆ ได้ประโยชน์ไปด้วย นอกเหนือไปจากคนทำเหล้าทำเบียร์ ประโยชน์ที่เถียงไม่ได้เลยคือ มันสร้างความเท่าเทียมในการทำธุรกิจ เปิดโอกาสให้คนเข้าถึง แต่ผมไม่รับประกันนะ และผมเชื่อว่ามีหลายคนที่จะทำแล้วเจ๊ง เพราะธุรกิจนี้ไม่ง่าย ทั้งด้วยข้อจำกัดต่างๆ ทั้งด้วยฝีมือ มันไม่เหมือนโรงงานที่ปั๊มสินค้าออกมาแล้วจะเหมือนเดิมทุกอย่าง มันเป็นงานคราฟต์ 

ในช่วงแรกอาจจะชุลมุนอยู่บ้าง เหมือนกรณีกระท่อม กัญชา แต่ก็เชื่อว่าสัก 3 ปี เราจะเห็นผู้เล่นที่ไปไกลระดับโลกได้ หรือไม่เกิน 10 ปี ไทยอาจจะมีฟุตปรินท์บนเวทีโลก สามารถสู้กับญี่ปุ่นหรือสกอตแลนด์ได้เลย แต่ถ้าเราไม่เริ่มตอนนี้ เราก็จะเสียต้นทุนไปเรื่อยๆ 

ช่วยเล่าเรื่อง ‘Taopiphop Bar Project’ ที่เพิ่งเปิดใหม่นี้ให้ฟังหน่อย มันคือการสานต่อความฝันยังไงบ้าง

ถ้านับกันจริงๆ โปรเจกต์นี้เปิดเป็นร้านที่ 5 แล้ว แต่เดิมที่ตรงนี้เราเปิดเป็นศูนย์ประสานงานพรรค แล้วก็ย้ายไปอยู่ชั้นบน ส่วนชั้นล่างเปิดเป็นบาร์เบียร์ เป็นการหารายได้มาเลี้ยงตึก เพราะเราทำการเมือง แต่เราไม่มีตังค์ เวลาเราไปพบปะประชาชน บางทีเราก็ต้องออกเงินช่วยเหลืองานบุญต่างๆ ก็เลยลองคิดกลับด้านว่า ทำยังไงให้ประชาชนมาหาเราและจ่ายเงินให้เราบ้าง ก็เลยเกิดบาร์นี้ขึ้นมา (หัวเราะ) 

จริงๆ ก็อยากให้มีบรรยากาศคล้ายกับสภากาแฟ อยากให้เป็น free space เหมือนบาร์อื่นๆ ของผมนั่นแหละ ให้ทุกคนมาคุยเรื่องการเมืองได้ ต่อไปก็อาจจะมีการจัดเสวนา เปิดฟรีไมค์ให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น เป็นสภาเบียร์ที่ทุกคนได้มาคุยกัน

อีกเหตุผลหนึ่งคือ ต้องยอมรับว่าอาชีพนักการเมืองไม่มั่นคงอย่างยิ่ง เพราะไม่ได้มีผมคนเดียว แต่มีทีมผมและผู้ช่วยต่างๆ ด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นโปรเจกต์นี้ก็จะเป็นแหล่งรายได้ที่ช่วยให้ทุกคนได้ทำงานกันต่อ เป็นช่วงเวลาหน่วงเหนี่ยวให้มีอะไรทำถ้าหากไม่ได้เป็นผู้แทน

บาร์ที่ผมทำก็โตขึ้นทุกบาร์ บาร์แห่งแรกเกิดจากความสิ้นหวังในการจะหาค่าเช่าหลังจากโดนจับ แต่บาร์นี้สำคัญมาก ผมมองไกลและคิดว่าต้องจริงจัง คือนอกจากคราฟต์เบียร์แล้ว เรายังจะมีสุราพื้นบ้าน สุราชุมชนต่างๆ เราอยากยกระดับไปสู่พรีเมียม ซึ่งไอเดียนี้เกิดจากการที่ผมได้ไปลงพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทย ได้เจอคนทำเหล้าเก่งๆ มากมาย เหมือนเป็นการเซอร์เวย์ทางความรู้ และพบว่าหลายเจ้าขายยากมากเลย เพราะไม่มีช่องทาง ถึงจะทำเหล้าดีมาก แต่ก็ต้องขายในราคาเดียวกับเจ้าใหญ่ๆ เพื่อให้คนในหมู่บ้านได้กิน ทั้งที่เขาสู้ในสเกลเดียวกับเจ้าใหญ่ไม่ได้อยู่แล้ว แต่เขาก็ต้องเสียภาษีเท่ากัน คือผลิตได้น้อย แต่ต้องขายแพง ถึงจะอยู่ได้ 

ผมก็หวังว่าบาร์นี้จะทำให้คนได้มาลองรู้จักเหล้าไทย สาโทไทยต่างๆ แล้วก็คิดจะทำบริษัทต่อยอดและพาพวกเขาส่งออกไปต่างประเทศ ไปยังร้านอาหารไทยที่มีอยู่กว่า 30,000 แห่งทั่วโลกให้ได้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่เราทำได้ เพื่อจะยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน แม้กฎหมายจะยังไม่เปลี่ยนก็ช่าง 

หลายครั้งที่ผมได้นั่งล้อมวงฟังชาวบ้านที่ทำเหล้า เขาก็บอกว่าอยากให้ ส.ส. ช่วยเรื่องภาษีหน่อย ผมก็อธิบายไปตามเรื่องตามราวว่าประยุทธ์ไม่ให้ แล้วผมก็ถามเขาว่า ถ้าลดค่าอากรแสตมป์จากดวงละ 45-50 บาท เหลือสัก 30 บาท โอเคไหม เขาก็บอกว่าดี แต่ผมว่าเอาอย่างนี้ไหม ถ้าคุณขายเหล้าได้ขวดละ 700 บาท มันจะดีกว่าไหม เพราะต่อให้ลดค่าแสตมป์ก็ยังแข่งขันกับเจ้าใหญ่ได้ยาก ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านก็ไม่ได้ดีขึ้น แต่ถ้าทำให้เขาไปได้ไกลขึ้น นั่นคือโซลูชันที่แท้จริง และนี่คือเป้าที่ผมวางไว้ และเป็นความฝันของหลายๆ คนเช่นกัน

นับจากวันที่หนุ่มนิติศาสตร์ถูกจับข้อหาต้มเบียร์เถื่อน เหตุการณ์วันนั้นให้บทเรียนกับชีวิตยังไงบ้าง

ผมชอบเบียร์จริงๆ หลายคนก็ชอบ มันอธิบายยาก ถ้าถามว่าทำไมผมถึงมาทำอย่างนี้ ก็ผมชอบเบียร์ ก็เลยทำเบียร์ ผมว่าเป็นคำตอบที่เมกเซนส์ที่สุด ถ้าคุณอยากทำอะไรก็ทำ เพราะนั่นคือชีวิตคุณ แล้วถ้าผมลองถามกลับบ้างว่า ทำไมคุณมาเป็นสรรพสามิตครับ เขาคงไม่ตอบหรอกว่าชอบสรรพสามิต หรือชอบมาจับคน แต่คงเป็นเพราะเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นมากกว่าผมหรอก 

เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่ทำให้ผมได้รู้จักผู้คนมากมาย แล้วคราฟต์เบียร์ก็มีความหลากหลายมาก เหมือนการเดินทางไปทั่วโลกที่เราจะได้ไปเจอที่ใหม่ ได้ฟังเพลงใหม่ๆ ดูหนังใหม่ๆ 

จะบอกว่าทุกคนมีเป้าหมายกันทั้งนั้นแหละ การเดินเป็นเส้นตรงก็ไม่ผิดนะ แต่ผมรู้สึกว่าผมได้ประสบการณ์อะไรเยอะมากจากการออกนอกลู่นอกทางของผม และการออกนอกลู่นอกทางตรงนี้ก็สอนให้ผมแข็งแกร่งขึ้น ผมเลยคิดเสมอว่าเมื่อเจอความผิดพลาดก็ต้องมีทางออก ถ้าก้าวข้ามได้ คุณก็จะได้บทเรียน แต่ถ้าก้าวข้ามไม่ได้ มันคือความล้มเหลว พอล้มเหลวแล้วคุณก็จะมีภูมิคุ้มกัน 

ตอนนี้ผมมีเบียร์เป็นของตัวเองอย่างถูกกฎหมาย ไปผลิตที่เวียดนามแล้วส่งกลับเข้ามาไทย แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า อย่ามากินเลยครับ เบียร์ผมมันห่วย เบียร์ผมมันแย่ นี่ผมกำลังด่าเบียร์ตัวเองอยู่นะ ถ้าคิดว่านี่เป็นการโฆษณาก็เชิญมาฟ้องผมได้เลย (หัวเราะ)

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

ศิริโชค เลิศยะโส
อดีตกองบรรณาธิการ National Geographic Thai มีผลงานกว่า 20 เรื่องทั้งรูปแบบงานเขียนและภาพถ่าย ปัจุบันเป็นช่างภาพสารคดีอิสระ สนใจงานเชิงสังคม-มานุษยวิทยา ศิลปวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า