ดังนั้นเมื่อเอานโยบายการปรับขึ้นค่าแรงมาแลกกับการได้สิทธิประโยชน์ลดภาษีนิติบุคคล กลุ่ม SET50 อย่าง ปตท. ก็ถือว่าคุ้มมาก แต่คนที่จะแย่ก็มีแต่พวกเอสเอ็มอี ที่จะได้รับผลกระทบจากค่าแรงแต่ก็แทบจะไม่ได้ประโยชน์จากการลดภาษี
ภาววิทย์ กลิ่นประทุม
นักลงทุนรุ่นใหม่, 21 พฤษภาคม 2555
ก็ได้แต่ดีอกดีใจไปกับบรรดาบริษัทใหญ่ๆ ใน SET50 ที่จะได้กำไรล้นเหลือจากภาษีนิติบุคคลที่จะลดลงไปอีกจาก 23 เปอร์เซ็นต์ เหลือแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ในต้นปีหน้า หลังจากที่ได้กำไรกันถ้วนหน้าจากเมื่อคราวลดภาษีต้นปีจาก 30 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 23 เปอร์เซ็นต์ อย่าง ปตท. ฟันกำไรเหนาะไตรมาสเดียว 1,297 ล้านบาท ลดลงถึง 12.1 เปอร์เซ็นต์ แบงก์กรุงเทพ AIS จิ๊บๆ 200-300 ล้านบาท ส่วนประเทศชาติก็สูญเงินจากนโยบายลดภาษีนิติบุคคลที่แทบจะเป็นนโยบายเดียวที่รัฐบาลพูดจริงทำจริง แค่ 45,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง
อย่าไปตกอกตกใจว่าภาษีจะหมดคลัง เดี๋ยวส่งเจ้าหน้าที่ไปไล่บี้พวกดารานักแสดง ถ้าไม่พอเดี๋ยวไปกู้มาโปะเพิ่มก็ได้ สบายอยู่แล้ว
อันที่จริงรวยแล้วไม่อยากจ่ายภาษีเนี่ย มันก็เป็นกันทั้งโลกนะ ไม่ใช่เป็นเรื่องเฉพาะพี่ไทย ที่ไม่เคยแพ้ชาติใดในโลก เพราะอย่างในเยอรมนี รัฐบาลก็กุมขมับไม่รู้จะทำยังไงกับพวกรวย ช่างหลบภาษีเหมือนกัน เพราะคนพวกนี้แอบขนเอาเงินไปฝากไว้ในธนาคารสวิตเซอร์แลนด์กันหมด
แต่เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว จู่ๆ ก็มีนักเป่านกหวีด (whistleblower) ส่งข้อมูลพวกหนีภาษีชาวเยอรมันที่เอาเงินไปแอบซ่อนไว้ในธนาคารสวิสหรือธนาคารเยอรมัน หรือธนาคารสัญชาติอื่นๆ ที่มีสาขาในสวิส ไรท์ใส่ซีดีส่งมาให้สำนักงานสรรพากรของแคว้นไรน์-เวสต์ฟาเลียเหนือ (North Rhine-Westphalia) ซีดีแผ่นนั้นประกอบไปด้วยข้อมูลการเงินของลูกค้า 200 คน แต่ละรายใหญ่ๆ โตๆ ทั้งนั้น บางคนขนเอาไปฝาก บางคนแอบเปิดในรูปของมูลนิธิ สารพัดรูปแบบก็ถูกตามล่าตามล้างมาจ่ายภาษีจนหมด
ต่อจากนั้นมา กระบวนการฉกข้อมูลธนาคารสวิสใหญ่น้อยจากคนในเอามาปล่อยให้สำนักงานสรรพากรในเยอรมนี ก็เริ่มทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันมากขึ้น คราวนี้ไม่ใช่ในฐานะนักเป่านกหวีด แต่ในฐานะคนขายข้อมูลลับ
สนุกล่ะซิ เพราะซีดีแต่ละแผ่นมูลค่าหลายล้านทีเดียว แต่ก็คุ้มมาก เพราะแต่ละแผ่นมีข้อมูลลูกค้าเป็นพันคน ทำให้รัฐบาลท้องถิ่นตามแคว้นต่างๆ สามารถไล่ล่าพวกคนรวยหลบหนีภาษีได้อย่างคล่องมือ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าของแบงก์ใหญ่ๆ อย่าง Credit Suisse, Liechtenstein, HSBC Luxembourg หรือแม้แต่แบงก์ขนาดเล็กๆ
เรียกว่าจ่ายค่าซีดีแค่ 3-5 ล้านยูโร ได้เงินภาษีกลับเข้าคลังประเทศไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านยูโร และที่สนุกยิ่งกว่า คือบางครั้งเจ้าหน้าที่สรรพากรแทบไม่ต้องตั้งทีมวิเคราะห์ข้อมูลมาตามคุ้ยตามควักเงินเลย แค่รัฐบาลท้องถิ่นประกาศต่อสาธารณะว่า เราได้ซื้อ ‘ซีดีภาษี’ มาแล้วนะจ๊ะ งวดนี้หวยออกที่ธนาคารนี้ ธนาคารนั้น ไม่เกินสามวันเจ็ดวัน บรรดาอภิมหาเศรษฐีรีบเข้ามารายงานตัวสารภาพเองเลยว่า เอาเงินไปแอบไปซ่อนไปซุกที่ไหนบ้าง เพื่อจะได้ขอผ่อนผันหรือลดหย่อนบ้างเล็กน้อย ในฐานะเข้ามาแบบเต็มใจ…คุ้มมากๆ
แต่อย่างว่านะคะ คนรวยอะนะ ไม่ได้แค่รวย แต่เขามีคอนเนคชั่นด้วย จะมาถูกรัฐบาลท้องถิ่นพวกซ้ายกลางอย่างพรรคโซเชียลเดโมแครต (Social Democratic Party of Germany: SPD) หรือพรรคกรีน (Green party) รังแกเช่นนี้ ก็ใช่ที่ จึงเป็นหน้าที่ของพรรคขวากลางอย่างพรรคคริสเตียนเดโมแครต (Christian Democratic Union of Germany: CDU) ซึ่งทำหน้าที่รัฐบาลกลางขณะนั้นต้องรีบเข้ามาอุ้ม
โวล์ฟกัง ชอยเบลอ (Wolfgang Schäuble) รัฐมนตรีคลังเยอรมัน รีบไปทำความตกลงกับรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ ให้หักภาษีคนเยอรมันที่มีบัญชีเงินฝากในสวิส เพื่อยุติการซื้อขาย ‘ซีดีภาษี’ แถมยังตัดเงินงบประมาณไม่ให้ไปใช้ซื้อซีดีแบบนี้อีก ซึ่งความตกลงนี้จะมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2013 เป็นต้นไป โดยให้เหตุผลว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ควรไปรับซื้อของโจร (ซีดีภาษี) เช่นนี้ แต่ควรจัดการเก็บภาษีอย่างตรงไปตรงมา
แต่ทว่า รัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งกำลังคัดค้านความตกลงนี้อย่างเข้มข้น เพราะว่า เมื่อดูเนื้อหาของความตกลงแล้วจะพบรูหายใจให้พวกอภิมหาเศรษฐีขี้ฉ้อเต็มไปหมด โดยเฉพาะเนื้อหาที่ว่า หากพบว่าบุคคลเหล่านี้เคยหลบเลี่ยงภาษีมาก่อน อนุญาตให้จ่ายคืนได้ครั้งเดียวในอัตราที่ไม่สูงมาก ก็จะได้รับการนิรโทษกรรมทันที
เช่น ถ้าอภิมหาเศรษฐีชาวเยอรมัน ขนเงินหลบภาษีไปฝากไว้ในสวิส 1.2 ล้านยูโรเมื่อ 10 ปีที่แล้ว รวมกับดอกเบี้ยในปัจจุบัน เงินก้อนนี้จะสูงถึง 1.6 ล้านยูโร ภายใต้ความตกลงนี้ก็จะนิรโทษกรรมให้เพียงจ่ายภาษีแค่ 21 เปอร์เซ็นต์ คือ 340,000 ยูโร ทั้งที่จริงหากข้อมูลอภิมหาเศรษฐีรายนี้ถูกอัดอยู่ในซีดี เมื่อมาถึงมือเจ้าหน้าที่สรรพากรเริ่มกระบวนการตามล้างตามเช็ด คุณพี่ท่านนี้ก็อาจจะต้องจ่ายถึง 770,000 ยูโร เรียกว่าสองเท่าของที่ความตกลงผ่อนผันให้ทีเดียว แถมช่วงระยะเวลากว่าที่ความตกลงจะมีผลบังคับใช้ก็เปิดโอกาสให้ธนาคารและลูกค้าบิ๊กๆ เหล่านี้ ยักย้ายถ่ายเทเงินไปยังเกาะสวาทหาดสวรรค์ดินแดนปลอดภาษี เช่น เกาะเคย์แมน และที่กำลังมาแรงสุดๆ คือ เกาะสิงคโปร์ เพื่อนบ้านเรานี่เอง
คลิปลับที่บันทึกการสนทนาระหว่างเจ้าหน้าที่อาวุโสของธนาคาร UBS ที่กำลังแนะนำลูกค้าชาวเยอรมันถึงขั้นตอนการยักย้ายถ่ายโอนเงินจากสวิสไปสิงคโปร์ ถูกเอามาเปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหลายแคว้น เพื่อตั้งคำถามกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งว่า พฤติกรรมเยี่ยงนี้ของธนาคารควรได้รับการนิรโทษกรรมตามความตกลงนี้ด้วยหรือ เพราะความตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้จะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากทั้ง 16 แคว้นในเยอรมนีเสียก่อน แต่กว่าจะถึงเวลานั้น เงินทองปลอดภาษีคงถูกโอนไปนอนเล่นกับเจ้าเมอร์ไลอ้อนที่สิงคโปร์แล้ว
คงต้องรอซีดีล็อตใหม่มาเพื่อให้เจ้าหน้าที่สรรพากรได้ตามล่าตามล้างกันต่อไป ซึ่งก็คงอีกนาน…
แบบนี้ เขาไม่ได้เรียกคอร์รัปชันเชิงนโยบายนะจ๊ะ เขาเรียกว่า คนมีคอนเนคชั่น…ที่ทำให้รัฐเข้าใจอย่างสนิทอกสนิทใจว่า การกินดีอยู่ดีและมีความสุขของคนรวย คือโอกาสของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
น่าปลื้มใจแทนจริงๆ
[ตั้งแต่ปี 2008 สิงคโปร์ถูกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) จัดให้อยู่ในกลุ่มสีเทาของประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานภาษีของโลก แต่ไม่นานมานี้ สิงคโปร์เริ่มทำความตกลงด้านภาษีกับหลายประเทศ แต่สิงคโปร์ปฏิบัติจริงไม่ถึงครึ่งที่ลงนามไป สิงคโปร์จึงติดอันดับสวรรค์ของคนชอบหลบภาษี]