หลังจากลุ้นกันจนตัวโก่งระทึกขวัญตลอดช่วงเช้าวันนี้กับการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐที่แปลกที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่ผู้ลงคะแนนเสียงออกไปเลือกตั้งผู้ที่ตัวเองเกลียดน้อยกว่า ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ฮิลลารี คลินตัน หมดโอกาสที่จะได้เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐ เสียงสนับสนุนจากคนขาวยากจนการศึกษาน้อย พวกเหยียดเพศ-เหยียดผิว พวกคลั่งอาวุธ และผู้นำเผด็จการทั่วโลก และการละเลยที่จะตรวจสอบความจริงและการโกหกของสื่อมวลชนกระแสหลัก ก็ทำให้ มหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ในอีกไม่ช้าไม่นานนี้
ยอดขายหน้ากากวันฮัลโลวีนที่หลายสำนักพึ่งพิงเป็นดัชนีทำนายผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่แม่นยำที่สุดในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ยังทำหน้าที่ได้สมศักดิ์ศรี เพราะหน้ากากทรัมป์ทำยอดแซงหน้ากากคลินตันไปมากทีเดียว แม้จะถูกขาเชียร์คลินตันอย่างนิตยสาร Forbes อ้างว่า คนซื้อมากเพราะเกลียดและต้องการล้อเลียนทรัมป์
อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจที่สุด ที่นักวิเคราะห์การเมืองและอิทธิพลทุนกับการเมืองต้องหันมาศึกษากันใหม่เลยทีเดียว คือ ยอดเงินสนับสนุน ซึ่งเคยเป็นดัชนีชี้ผลการเลือกตั้งได้ตรงเผงทุกรอบ
ครั้งนี้ นายทุนวอลล์สตรีทและบรรดาล็อบบียิสต์ของอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่จำนวนมาก หันหลังให้ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันที่เคยมีใจให้กันมาตลอด หันมาเชียร์ฮิลลารีแบบเต็มตัว
ปลายเดือนตุลาคม โต๊ะการเมือง Washington Post ได้ทำรายงานสืบสวนขนาดยาวเจาะลึกจำนวนเงินและผู้สนับสนุนทางการเมืองของผู้สมัครประธานาธิบดีทั้ง 2 คน
ขณะที่ทรัมป์สามารถรวบรวมเงินจากผู้สนับสนุนได้ 712 ล้านดอลลาร์ บวกกับเงินตัวเองอีก 56 ล้านดอลลาร์ ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งชิงตำแหน่งผู้นำประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลกครั้งนี้ แต่ตัวเลขนี้เทียบไม่ได้เลยกับคลินตันที่ใช้สายสัมพันธ์กับทุนยักษ์ใหญ่ วาณิชธนกิจ และบรรดาสมาคมการค้านายหน้าล็อบบียิสต์ที่สานสัมพันธ์กันมากว่า 40 ปีตั้งแต่ บิล คลินตัน เริ่มงานการเมืองที่เมืองลิตเติลร็อค ได้เหนาะๆ เบ็ดเสร็จมากถึง 1,140 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง 1 ใน 5 ของเงินจำนวนนี้มาจากบรรดาคนรวยแค่ 100 คนที่เคยถูกกลุ่มยึดวอลล์สตรีทขนานนามว่า 1 เปอร์เซ็นต์ (ซึ่งอันที่จริงน่าจะแค่ 0.1 เปอร์เซ็นต์) ที่ครอบครัวทรัพย์สินมหาศาลบนยอดสุดของสังคม
ไม่เพียงเท่านั้น จากคลังอีเมลที่ wikileaks ปล่อยออกมาแม้ FBI จะชี้ก่อนการเลือกตั้งเล็กน้อยว่า ไม่พบความผิดด้านความมั่นคงจากการใช้อีเมลส่วนตัว แต่รายงานของ Washington Post ชิ้นดังกล่าวพาผู้อ่านไปคุ้ยว่า ผู้ให้เงินสนับสนุนคลินตันนั้นมีอิทธิพลแทรกแซงการกำหนดนโยบายของเธอมากขนาดไหน ถึงขั้นที่บรรดากลุ่มทุน ล็อบบียิสต์ ลามไปถึงรัฐบาลประเทศผู้บริจาครายใหญ่ผ่านมูลนิธิคลินตัน (The Clinton Foundation) สามารถมีอิทธิพลร่วมกำหนดนโยบายต่างๆ ของคลินตันได้
แต่ถึงข้อมูลจะแน่นหนาขนาดนี้ที่ทำให้รู้เช่นเห็นชาตินักการเมืองอย่าง ฮิลลารี คลินตัน ฝ่ายก้าวหน้าก็ยังจำต้องขุดหาเหตุผลมาเชียร์เธอ เพราะหากไม่เลือก ‘แม่ฮิลลารี’ แล้ว ‘พ่อมหาจำเริญทรัมป์’ มาแน่ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นหายนะที่ร้ายแรงกว่าการปล่อยให้นักการเมืองในบงการของทุนยักษ์ใหญ่เข้ามามีอำนาจสูงสุดของประเทศ
ฝ่ายก้าวหน้าถึงขั้นยกการ์ดสูง เตรียมวางแผนรุกคืบ ฮิลลารี คลินตัน ทันทีที่ผลชี้ว่าเธอได้เป็นประธานาธิบดี
จากการสำรวจความตื่นตัวของฝ่ายก้าวหน้าในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา ช่วงที่โพลต่างๆชี้ว่า เสียงของคลินตันชัดเจน สามารถเอาชนะทรัมป์ได้แน่ๆ พลังการตรวจสอบแบบกัดไม่ปล่อยจากพวกเดียวกันเริ่มมีให้เห็น เพราะระหว่าง คนบ้าถือปุ่มระเบิดนิวเคลียร์ กับ กระสือสาวและกลุ่มทุนที่เตรียมออกดูดเลือดแบบที่คนถูกดูดเลือดอาจเพลินกับการตายช้าๆ แบบออร์กัสซั่มกันนั้น พวกเขาวางแผนจัดการกับกระสือสาวและพลพรรคนักลงทุนก่อน
ทีมปู่ เบอร์นีย์ แซนเดอร์ส เริ่มส่งสัญญาณปลุกไฟ revolution กันตั้งแต่ผลการเลือกตั้งออกเลยทีเดียว นั่นคือการรุกกดดันและทวงสัญญาจากคลินตัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ไขเนื้อหา TPP (Trans-Pacific Partnership) ที่เอาใจทุนและให้ประโยชน์กับทุนยักษ์ใหญ่บนชีวิตประชาชน การแก้ไขปัญหายาราคาแพงที่ต้องปฏิรูปเชิงโครงสร้างการผูกขาดและกฎหมายที่เอื้อให้พวกนี้หากำไรอย่างบ้าเลือด การควบคุมและเอาผิดกับวาณิชธนกิจ การแก้ปัญหาหนี้สินของนักศึกษา การเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาโลกร้อน ซึ่งต้องเริ่มจากการยุติโครงการท่อส่งก๊าซดาโกตา (Dakota Access Pipeline) ที่กำลังทำลายพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งน้ำของชนอเมริกันพื้นเมือง
เช่นเดียวกับป๋า ไมเคิล มัวร์ ที่กล้ำกลืนหาข้อดีของคลินตัน (ที่เขาเรียกว่า ‘นางเหยี่ยว’) เพื่อปลุกปลอบใจตัวเองว่าต้องช่วยเธอ ไม่เช่นนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นประธานาธิบดีคนสุดท้ายของสหรัฐ มัวร์ได้ให้สัมภาษณ์กับ Democracy Now โดยยกบทเรียนที่ผิดพลาดของฝ่ายก้าวหน้าที่ฝากความหวังไว้กับโอบามา เมื่อสามารถส่งเขาให้ถึงฝั่งนั่งตำแหน่งผู้นำประเทศ ก็สบายใจเฉิบ นั่งชิลๆ ไม่ลุกขึ้นมากดดันตรวจสอบ จนโอบามาไปขนทีมเศรษฐกิจทุนจ๋าอย่าง ทิโมธี การ์ทเนอร์ และ ลาร์รี ซัมเมอร์ส เข้ามาร่วมทำงานด้วย จนขนงบประมาณแผ่นดินมากมายไปอุ้มทุนธนาคารแต่ทอดทิ้งประชาชน ไล่เรื่อยมาจนกระทั่งการก่อสงคราม รวมถึงการที่ปล่อยให้คนดำถูกกระทำอย่างไร้ความหมาย
ไมเคิล มัวร์ ย้ำว่า ผู้คนที่ร่วมก่อกระแสการปฏิรูป (revolution) ที่มาจาก เบอร์นีย์ แซนเดอร์ส และกระแสเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องหนี้สิน เรื่องชีวิตคนดำก็มีความหมาย (Black Lives Matter) ต้องสนับสนุนคลินตันเมื่อเธอทำสิ่งที่ถูก และต้องท้าทายเมื่อเธอไม่ทำในสิ่งที่รับปากไว้ โดยจะต้องไม่นั่งชิลอีกต่อไป
ไม่เพียงเท่านั้น สื่อทางเลือกยังมีรายงานน่าสนใจหลายชิ้น อาทิ การไปสำรวจสภาพปัญหาที่คนขาวยากจนการศึกษาน้อยเผชิญที่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้คนเหล่านี้ลุกขึ้นมาสนับสนุนทรัมป์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นผลสืบเนื่องจากการอุ้มทุนใหญ่และทอดทิ้งคนเล็กคนน้อย ซึ่งต้องยอมรับว่า โอบามาไม่ได้แก้ปัญหานี้อย่างจริงจังเลย นี่จึงเป็นโจทย์ที่ฝ่ายก้าวหน้าที่สนับสนุนคลินตันต้องผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหา
‘นักการเมืองไม่ใช่สิ่งที่ฟ้าประทาน แต่พวกเราทุกคนมีหน้าที่ทำให้พวกเขาทำงานโดยการผลักดัน กดดัน ขัดขวาง ให้กำลังใจ ต่อสู้ และรวมตัวจัดตั้งเพื่อทำทั้งหมดนี้’ นี่คือสิ่งที่ทีมปู่แซนเดอร์สส่งข้อความถึงผู้สนับสนุนเขา กับบททดสอบที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตยของโลก
ฝ่ายก้าวหน้าเหล่านี้ มิพักเสียเวลาที่จะเตรียมแผนบีรองรับหากทรัมป์เป็นประธานาธิบดี (เพราะใน scenario นี้ อพยพไปทวีปอื่นน่าจะดีกว่า เอ…รอดไหมนะ เพราะน่าจะเละกันไปทั้งโลก)
มาถึงวินาทีนี้ ทุกฝ่ายคงต้องรีบฟื้นจากการหลบเลียแผลใจแล้วหันมาจัดการกับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่ใช่มีแค่พวกทุนที่หนุนหลังแต่ยังออกแนวบ้าทะลุพิกัดด้วย!
อ้างอิงข้อมูลจาก: Alternet / alternet.org
Common Dreams / commondreams.org
Democracy Now! / democracynow.org
NBC / nbcnews.com
The Guardian / theguardian.com
The Washington Post / washingtonpost.com
WAY Magazine / waymagazine.org
Yes! Magazine / yesmagazine.org