วิกฤตอิสราเอล เนทันยาฮูเจอศึกรอบด้าน

ตลอดเดือนเมษายน 2023 ชาวอิสราเอลยังคงเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านแผนปฏิรูประบบยุติธรรมของ เบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) นายกรัฐมนตรี แม้จะมีความตึงเครียดจากเหตุการณ์ความรุนแรงทั้งในดินแดนอิสราเอลและปาเลสไตน์

สำนักข่าว Al Jazeera คาดว่า มีผู้คนประมาณ 145,000 คน เข้าร่วมการประท้วงเมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา โดยมีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกแผนการปฏิรูป และเนทันยาฮูต้องลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที  

ทั้งนี้ แผนปฏิรูปของรัฐบาลอิสราเอลมีสาระสำคัญคือ

  1. จำกัดอำนาจของศาลฎีกาในการทบทวนหรือยกเลิกกฎหมาย ผ่านเสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติสามารถลบล้างคำตัดสินของศาลได้
  2. รัฐบาลมีอำนาจตัดสินใจในการคัดเลือกผู้พิพากษา ตลอดจนผู้พิพากษาศาลฎีกา โดยเพิ่มตัวแทนรัฐบาลในคณะกรรมการแต่งตั้งผู้พิพากษา
  3. รัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องยอมรับคำแนะนำของที่ปรึกษาทางกฎหมายจากอัยการสูงสุดอีกต่อไป (ปัจจุบัน รัฐมนตรีต้องปฏิบัติตามคำแนะนำนั้นๆ ตามกฎหมาย)

ฝั่งรัฐบาลให้เหตุผลว่า สถาบันศาลและตุลาการแย่งชิงบทบาทจากรัฐสภามากขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องยกเครื่องใหม่ เพื่อคืนสมดุลที่เหมาะสมระหว่างอำนาจตุลาการกับนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ฝั่งรัฐบาลยังมองว่า ความพยายามที่จะหยุดยั้งแผนการปฏิรูปนี้ เป็นสิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

ทางด้าน BBC รายงานว่า การปฏิรูปจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เนทันยาฮูรอดพ้นจากการพิจารณาคดีในข้อหาคอร์รัปชัน และช่วยให้รัฐบาลสามารถผ่านกฎหมายในรัฐสภาได้โดยไม่หยุดชะงัก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฝั่งตรงข้ามและประชาชนนัดชุมนุมประท้วงเพื่อต่อต้านการเคลื่อนไหวดังกล่าวยาวนานกว่าสามเดือน

สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ประท้วงในอิสราเอลหลายแสนคนไม่เพียงประกอบไปด้วยภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และนักวิชาการ แต่ยังรวมไปถึงทหารกองหนุนซึ่งเป็นกำลังหลักของกองกำลังติดอาวุธอิสราเอล ที่ประท้วงโดยการปฏิเสธที่จะรายงานตัวต่อกองทัพเพื่อปฏิบัติหน้าที่

The New York Times วิเคราะห์ว่า ความแตกแยกในสังคมอิสราเอลหนนี้ทวีความรุนแรงจากการเพิ่มขึ้นของคนสองกลุ่ม ได้แก่ หนึ่ง-กลุ่มที่ต้องการรัฐฆราวาสและรัฐพหุนิยม (secular and pluralist state) สอง-กลุ่มศาสนาและชาตินิยม (religious and nationalist vision)

นักวิจารณ์หลายคนเห็นว่า ศาลฎีกาเป็นเครื่องมือทางการเมืองชิ้นสุดท้ายของฝ่ายฆราวาส หรือกลุ่มชนชั้นนำสายกลาง (centrist elite) ที่สืบเชื้อสายมาจากชาวยิวในยุโรป ในขณะที่ฝั่งชาวยิวที่เคร่งศาสนา โดยเฉพาะกลุ่มอัลตร้าออร์โธดอกซ์ (the ultra-Orthodox) มองว่า ระบบศาลเป็นอุปสรรคต่อวิถีชีวิตของพวกเขา เพราะศาลมักคัดค้านสิทธิพิเศษและเงินอุดหนุนของกลุ่มอัลตร้าออร์โธดอกซ์ และยังปฏิเสธการอนุญาตให้ชาวยิวอัลตร้าออร์โธดอกซ์ได้รับการยกเว้นการรับราชการทหารเพื่อสนับสนุนการศึกษาศาสนา ทำให้ผู้นำทางศาสนามองศาลเป็นศัตรู

ขณะที่การประท้วงกำลังดำเนินไป ก็เกิดการปะทะระหว่างกองกำลังอิสราเอลกับกองกำลังอาหรับในหลายบริเวณ ได้แก่ เยรูซาเล็มตะวันออก เวสต์แบงก์ ฉนวนกาซา เลบานอน และซีเรีย

ความรุนแรงครั้งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน เมื่อกองกำลังอิสราเอลบุกโจมตีมัสยิดอัล-อักซอ โดยใช้กระสุนยางและระเบิดแฟลช ในขณะที่ชาวปาเลสไตน์กำลังละหมาด ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย กระนั้น กองกำลังอิสราเอลก็เข้าโจมตีอีกครั้งในคืนวันที่ 6 เมษายน โดยให้เหตุผลว่า มีคนกลุ่มหนึ่งในมัสยิดพยายามก่อเหตุจราจล และปาก้อนหินใส่เจ้าหน้าที่

แม้เหตุรุนแรงจะถูกจุดชนวนจากการปะทะในมัสยิดอัล-อักซอในกรุงเยรูซาเล็ม แต่ The Economist รายงานว่า หลังจากเหตุการณ์นั้น มีจรวดยิงเข้าใส่อิสราเอลจากพื้นที่ข้างเคียง เช่น ฉนวนกาซา เลบานอน และซีเรีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า นี่คือการต่อสู้ของอิสราเอลกับข้าศึกหลายกลุ่มที่มีการประสานงานกัน ไม่เพียงเฉพาะแค่ความขัดแย้งกับองค์กรติดอาวุธชาวปาเลสไตน์เท่านั้น

จรวดเหล่านั้นสร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือนของอิสราเอลและทำให้พลเรือนบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เพราะส่วนใหญ่ถูกระบบป้องกันขีปนาวุธขัดขวางหรือมิฉะนั้นจรวดเหล่านั้นก็ระเบิดในพื้นที่โล่ง อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 7 เมษายน การโจมตีของกลุ่มติดอาวุธชาวปาเลสไตน์ในอิสราเอลและเขตเวสต์แบงก์ ก็ทำให้สองพี่น้องชาวอังกฤษ-อิสราเอล ถูกสังหาร แม่ของพวกเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ในวันเดียวกันนั้น มีรถพุ่งชนกลุ่มคนบนทางเท้าในเมืองเทลอาวีฟ ทำให้ชายชาวอิตาลีเสียชีวิต 1 คน และนักท่องเที่ยวอีก 5 คนได้รับบาดเจ็บ

แม้อิสราเอลจะตอบโต้ประเทศเพื่อนบ้านด้วยการโจมตีทางอากาศต่ออาคารและแท่นยิงที่ไม่มีคนอยู่ แต่อิสราเอลก็ต้องเผชิญกับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นจากชาวปาเลสไตน์ภายในพรมแดนของตนและเขตเวสต์แบงก์ 

“สำหรับความท้าทายนี้ เราจะยืนหยัดด้วยกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน และมั่นใจในความชอบธรรมของเรา” เนทันยาฮูแสดงความคิดเห็นออกอากาศทางโทรทัศน์ หลังการเสียชีวิตของครอบครัวชาวอังกฤษ-อิสราเอล “เราจะร่วมกันสนับสนุนกองกำลังของพวกเราอย่างเต็มที่”

เบธาน แมคเคอร์แนน (Bethan McKernan) ผู้สื่อข่าวของ The Guardian วิเคราะห์ว่า แม้เนทันยาฮูจะแสดงท่าทีว่า ‘เอาอยู่’ กับสถานการณ์รอบด้าน แต่แรงกดดันจากสาธารณชนทำให้เขาต้องประกาศเลื่อนแผนปฏิรูปศาลออกไปจนกว่ารัฐสภาจะเปิดประชุมอีกครั้งหลังเทศกาลปัสกา กอปรกับความไม่แน่นอนของตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของโยอาฟ แกลลันต์ (Yoav Gallant) และการแต่งตั้งอิตามาร์ เบน-กเวียร์ (Itamar Ben-Gvir) รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ ผู้ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ก็ไม่ได้สื่อถึงความแข็งแกร่งหรือสร้างความมั่นคงของรัฐบาลได้แต่อย่างใด

“ผมรับราชการในกองทัพมาหลายสิบปี และไม่เคยเห็นพฤติกรรมไม่คิดหน้าคิดหลังเหมือนอย่างเนทันยาฮูในตอนนี้” โมเช ยาอาลอน (Moshe Ya’alon) อดีตรัฐมนตรีกลาโหมและเสนาธิการ IDF (Israel Defense Forces) ปราศรัยในการประท้วงในกรุงเทลอาวีฟ คืนวันที่ 8 เมษายนที่่ผ่านมา

“แผนการของเขาจะล้มล้างระบอบประชาธิปไตยของอิสราเอล และเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของอิสราเอลในทันที … ศัตรูของเรากำลังจับตามอง และการป้องปรามของเราก็เสื่อมถอยลง”

The Guardian รายงานว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 69 เปอร์เซ็นต์ ไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล ในช่วง 100 วันแรก นับจากที่เนทันยาฮูเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีวาระที่ 3 เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2022 นอกจากนี้ สื่อยังรายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงในรัฐบาลว่า หลังสิ้นสุดเทศกาลปัสกาและเดือนรอมฎอน พวกเขาจะถูกบังคับให้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อสร้างความชอบธรรมของรัฐบาลในสายตาของประชาชน

อ้างอิง

Author

ยสินทร กลิ่นจำปา
ผู้ปกครองของแมวน้อยวัยกเฬวราก จิบเบียร์บ้างตามโอกาส จิบกาแฟดำเป็นครั้งคราว จิบน้ำเปล่าเป็นกิจวัตร เชื่อว่าสิ่งร้อยรัดผู้คนคือเรื่องราวและความหวัง พยายามเขย่าอัตตาตนเองด้วยบทสนทนากับคนรอบข้าง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า