อีกหนึ่งวงดนตรียอดนิยมที่แฟนเพลงชาวไทยตั้งตารอคอยการมาเยือนของพวกเขาอีกครั้ง โดยที่การมา 2 ครั้งก่อนหน้านี้ของ KODALINE เป็นลักษณะเทศกาลดนตรี แต่ความพิเศษในครั้งนี้ ก็คือพวกเขามาโชว์ในฐานะคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกที่มีชื่อว่า ‘KODALINE LIVE IN BANGKOK’ ที่อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 5 เมืองทองธานี ในวันที่ 16 กันยายน 2023 ที่ผ่านมา
ถือได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของ 4 หนุ่มศิลปินชาวไอริชนับจากที่ผ่านมา รวมถึงในทัวร์เอเชียด้วย หากไม่นับรวมคอนเสิร์ตอะคูสติกที่เมืองดับลิน (Dublin) ดินแดนบ้านเกิดของพวกเขาในประเทศไอร์แลนด์ เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา
ช่างเป็นโอกาสพิเศษสำหรับ WAY ที่ได้สัมภาษณ์สมาชิกวง 2 คนสำคัญ นั่นก็คือ มาร์ค เพรนเดอร์กาสต์ (Mark Prendergast) มือกีตาร์ลีด คีย์บอร์ด และคอรัส และ เจสัน โบแลนด์ (Jason Boland) มือเบส และคอรัส ในวันที่ 17 กันยายน ที่โรงแรมพาร์ค ไฮแอท แบงค็อก (Park Hyatt Bangkok) ในขณะที่ วินเซนต์ เมย์ (Vincent May) มือกลอง และคอรัส และ สตีฟ การ์ริแกน (Steve Garrigan) นักร้องนำ มือเปียโน กีตาร์ริธึม และฮาร์โมนิกานั้น ไม่ได้มาร่วมพูดคุยด้วย เพราะต้องพักรักษาตัวจากอาการป่วย
-1-
บทเพลงแสนเศร้าที่เติบโตไปด้วยกัน
ความเศร้าที่เข้าใจโลก อกหักแบบไม่โวยวาย เพราะชีวิตยังต้องไปต่อ ความเจ็บปวดเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต และถ่ายทอดมันออกมาเป็นบทเพลง – นิยามสไตล์เพลงในแบบของ KODALINE
KODALINE เป็นที่รู้จักในฐานะวงดนตรีอินดี้ อัลเทอร์เนทีฟ ร็อก ที่เต็มไปด้วยเพลงเศร้า หากไม่ใช่ความเศร้าที่สิ้นหวัง แต่เป็นความเศร้าที่เข้าใจโลก ความเศร้าที่มาพร้อมกำลังใจให้สู้ต่อ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้าจากชีวิต การงาน ความฝัน หรือความรัก ก็จัดว่าเป็นเพลงประเภทอกหักแบบผู้ใหญ่ อกหักที่ไม่โวยวาย แบบนั้น
แต่ละเพลงในแต่ละอัลบั้มของ KODALINE สะท้อนการเติบโตของพวกเขา และสำหรับผู้ที่ติดตามมาอย่างยาวนาน จึงพลันให้รู้สึกสนิทสนมกับพวกเขาเสมือนผูกสัมพันธ์ผ่านบทเพลง ชักชวนให้เติบโตไปด้วยกัน
ที่จริงแล้วพวกเขาก่อตั้งวงดนตรีขึ้นตั้งแต่สมัยปี 2005 ในชื่อวงเดิมคือ ทเวนตี้วัน ดีมานด์ส (21 DEMANDS) ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็น KODALINE เมื่อปี 2012
โดยครั้งหนึ่งในปี 2014 สตีฟ การ์ริแกน เคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่มาของชื่อ KODALINE ว่า “คุณสามารถหาชื่อที่มีความหมายกับคุณ แต่พอไปกูเกิ้ลดู กลับพบชื่อที่คล้ายๆ กันเต็มไปหมด เราแค่พยายามหาชื่อที่ยังไม่มีใครเอาไปใช้ ในค่ำคืนหนึ่งกับเบียร์อีกปริมาณมาก เราก็ผุดชื่อ ‘โคดาไลน์’ (KODALINE) ขึ้นมา ผมก็จำไม่ได้ว่าใครเป็นคนคิด แต่พวกเราชอบใจกัน เลยตกลงว่าจะใช้ชื่อนี้ล่ะ”
สตีฟยังเสริมอีกว่า “ฉะนั้นชื่อ โคดาไลน์ ไม่ได้มีความหมายอะไรกับพวกเราเลย แต่มันเป็นสิ่งที่เราต้องการ เราเพียงหวังว่าผู้คนจะมีส่วนร่วมกับวงของเราผ่านดนตรีที่เราทำเสียมากกว่า”
ไม่แน่ใจว่า วันนี้ความคิดนี้ของสตีฟเปลี่ยนไปรึยัง แต่สำหรับใครต่อใคร ชื่อของ KODALINE ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา และเข้าไปนั่งอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ในหัวใจหลายต่อหลายคนไปเสียแล้วล่ะ
เพราะหลังจากอัลบั้ม In a Perfect World ในช่วงปี 2012-2014 พวกเขาได้สร้างปรากฏการณ์เพลงฮิตขึ้นมาหลายเพลง โดยมี 2 เพลงติดหู จนปัจจุบันหลายคนเปรียบให้เป็นเพลงประจำชาติของ KODALINE นั่นก็คือ ‘High Hopes’ และ ‘All I Want’ ซึ่งทั้ง 2 เพลง ขึ้นไปติดท็อปชาร์ตในประเทศไอร์แลนด์อันดับ 1 และอันดับ 15 ตามลำดับ และเริ่มเป็นที่รู้จักในแถบประเทศสหราชอาณาจักรอย่างกว้างขวาง ส่วนตัวในอัลบั้มนี้เราชอบเพลง ‘One Day’ ที่สุดเลย โดยเฉพาะประโยคที่พูดว่า “อายเกินไปที่จะพูดว่าเธอต้องการความช่วยเหลือ เธอและทุกๆ คน” (Too shy to say that you need help, you and everybody else)
หลังจากนั้นช่วงปี 2015 บทเพลง ‘The One’ และ ‘Honest’ กลายเป็นอีก 2 เพลงฮิตในอัลบั้มใหม่ของพวกเขาที่มีชื่อว่า Coming Up for Air รวมไปถึงเพลงอย่าง ‘Moving On’ หรือ ‘Love Will Set You Free’ ก็เป็นที่พูดถึงในแง่ของการยึดมั่นในความรัก และมองแง่บวกไปกับมัน ไม่ว่ามันจะจบลงอย่างไรก็เป็นสิ่งสวยงาม ซึ่งในบทเพลงพยายามจะยืนยันว่า นี่มันไม่ใช่เพลงเศร้านะ แต่เป็นเพลงของชีวิตที่ต้องเป็นไปต่างหากล่ะ
หนึ่งในช่วงเวลาสุกงอมที่พวกเขาแสดงออกถึงพัฒนาการในมุมมองด้านชีวิตอย่างชัดเจน นั่นก็คือช่วงปี 2017-2019 กับการทยอยปล่อยเพลงในอัลบั้ม Politics Of Living ด้วยบทเพลงอย่าง ‘Follow Your Fire’, ‘Shed A Tear’, ‘Brother’ และ ‘Head Held High’ ซึ่งเป็นอัลบั้มที่พูดถึงการเมืองของชีวิต
ในปี 2021 มาร์คเคยให้สัมภาษณ์ว่า “สำหรับชีวิตส่วนตัว บางครั้งมันก็เต็มไปด้วยความหดหู่ Brother จึงเป็นเพลงที่ให้อารมณ์เหมือนกับเวลาที่เราวางมือบนไหล่เพื่อน แล้วบอกว่าเราอยู่ตรงนี้กับนายนะ เพลง Head Held High ก็คล้ายกัน เป็นเพลงที่ให้พลังบวก เมื่ออะไรไม่เป็นดั่งใจ ก็อยากให้เราเงยหน้าตั้งมองสูงเข้าไว้ (Keep your head held high)”
ต่อมาในช่วงต้นปี 2020 หลังจากโลกเผชิญกับโรคระบาดโควิด-19 ทำให้พวกเขาตกผลึกถึงปรัชญาชีวิตของการค่อยเป็นค่อยไป จนกระทั่งออกมาเป็นเพลง ‘Wherever You Are’ ตามมาด้วย ‘Sometimes’ และ ‘Saving Grace’ ทั้งหมดนี้อยู่ในอัลบั้ม One Day At a Time โดยที่บางเพลงที่กล่าวมาก็ได้รับแรงบันดาลใจในช่วงที่พวกเขาออกทัวร์ในประเทศแถบเอเชียครั้งก่อนเสียด้วย
-2-
KODALINE LIVE IN BANGKOK: สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง
พูดถึงโชว์ในครั้งนี้ ทีแรกนั้นเราได้รับนัดหมายให้สัมภาษณ์ศิลปินก่อนจะเริ่มการแสดง แต่ทันทีที่ไปถึงพวกเราก็ได้รับข่าวว่า สมาชิกบางส่วนของวงนั้นมีอาการป่วยตั้งแต่มาถึงเมืองไทย วินาทีแบบนี้เราทำได้เพียงส่งกำลังใจให้พวกเขา อยากให้พวกเขาได้ใช้เวลาพักฟื้นและเตรียมความพร้อมสำหรับโชว์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ภาวนาให้มันออกมาดี ในขณะที่สมาชิกวงก็แสดงสปิริตนักดนตรีผู้กระหายการแสดง แม้จะไม่สบาย แต่พวกเขาก็ยืนยันจะทำการแสดงให้ได้ต่อไป
ด้วยความจำเป็นต้องเดินทางไปถึงก่อนโชว์จะเริ่มหลายชั่วโมง ทำให้เราพานพบความน่าประทับใจที่สัมผัสได้จากแฟนเพลงของ KODALINE ที่มานั่งรอต่อคิวอยู่ก่อนแล้ว หลายคนมารอตั้งแต่เช้าแล้วด้วย นับรวมแล้วมีคนดูมากถึงกว่า 6,000 คน ถือเป็นตัวเลขสถิติใหม่ของ 4 หนุ่มศิลปิน นอกเหนือจากโชว์ในเมืองดับลิน
1 ทุ่มตรง ประตูเปิดให้เข้าชม ผู้คนเริ่มทยอยกันมา บางส่วนยังต่อแถวซื้อน้ำซื้อเบียร์กันอยู่ข้างนอก กระทั่ง 2 ทุ่มตรง เวลาแห่งการรอคอยจึงสิ้นสุดลง บนเวทีปรากฏแสงไฟสลัวค่อยๆ เผยเงาศิลปินที่เข้าประจำตำแหน่ง อึดใจต่อมา เสียงขับร้องของสตีฟในบทเพลงแรกก็ดังสนั่น “You say you love me…” เนื้อร้องของเพลง ‘Wherever You Are’ นั่นเอง ตามมาด้วยเพลง ‘Brand New Day’ ต่อเนื่องด้วย ‘Ready’ สลับกันไปมาทั้งเพลงหนักเพลงเบา เคล้าคลอพอให้โยกและได้พัก หลายเพลงผ่านไปโดยที่ผู้ชมแทบไม่รับรู้ถึงเข็มวินาทีที่เคลื่อนผ่านไป
ทั้งมาร์คและเจสันโบกมือทักทายแฟนเพลง แสดงออกถึงการรับรู้ถึงพลังงานจากผู้ชม ส่วนวินนีหาจังหวะโชว์ไฮไลต์ของตัวเองด้วยการรัวกลองโดยพลังไม่มีตก ทำให้รับรู้ได้ถึงการซักซ้อมและเตรียมความพร้อมมาอย่างเต็มที่ ทั้งเพลง ‘Sometimes’, ‘Love Like This’ หรือเพลงเร็วอย่าง ‘Raging’ ก็ดี ส่วนสตีฟแม้จะสัมผัสได้ถึงอาการไม่ฟิตเต็มร้อย แต่สปิริตของเขาเกินร้อย โดยรวมแล้วไม่มีใครเด่นเกินใคร แต่ส่งเสริมกันเป็นทีมเวิร์กที่สง่างาม
เมื่อบทเพลงถูกถ่ายทอดบนเวทีดนตรีสดในฮอลขนาดใหญ่ ลำโพงที่ก้องเสียงกังวาน แสงไฟวาบวับ บรรยากาศทั้งหมดนี้สร้างประสบการณ์ทางดนตรีที่ตราตรึง
อีกสิ่งที่น่าประทับใจไม่แพ้กันคือ การร่วมสนุกกับคนดูอย่างเป็นธรรมชาติ สตีฟแหย่มุกกับผู้ชมว่า “ถ้าคุณร้องเพลงนี้ได้ ร่วมร้องกันนะ แต่ถ้าคุณร้องไม่ได้… (หันมายิ้มกับผู้ชมสักครู่ ก่อนจะพูดว่า) ก็แสร้งทำเป็นร้องได้ก็แล้วกันนะ” หรือจะเป็นในช่วงท้ายของโชว์ เมื่อสตีฟเผยว่า สมาชิกคนสำคัญของวงอย่าง เดฟ เพรนเดอร์กาสต์ (Dave Prendergast) ผู้ผลิตและผู้กำกับด้านดนตรีของวง ไม่สามารถมาร่วมทัวร์ในครั้งนี้ได้ เนื่องจากภรรยาของเดฟเพิ่งให้กำเนิดบุตรสาวนามว่า เซซา-ฟีอา (Cesa-Fiadh) สมาชิกครอบครัวคนใหม่ของวง ก่อนที่สตีฟจะหยิบกล้องมือถือขึ้นมาพร้อมชวนให้ทุกคนพูดพร้อมกันว่า “เซซา-ฟีอา ยินดีต้อนรับสู่โลกนะ” (Cesa-Fiadh, Welcome to the World)
นับเป็นอันสิ้นสุดโชว์กับบทเพลงทั้งหมด 14 เพลง กินเวลารวมทั้งสิ้น 1 ชั่วโมงครึ่ง เป็นเวลาที่หมดไปอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่เป็นความเหนื่อยกายที่ฉ่ำใจ ก่อนที่สุดท้ายเราคงต้องแยกย้ายกลับไปใช้ชีวิตกันต่อ
-3-
หลังม่านคอนเสิร์ต หลายคำถามที่แฟนเพลงอยากรู้
เอาล่ะ และแล้วก็มาถึงช่วงที่หลายคนรอคอย กับบทสัมภาษณ์สุดพิเศษจาก 2 ศิลปิน มาร์คและเจสัน ในเช้าวันถัดมาหลังจบคอนเสิร์ต
นี่คือโชว์โซโล่ครั้งแรกของพวกคุณในประเทศไทย แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกคุณมาเยือน รู้สึกอย่างไรบ้าง
มาร์ค: นี่เป็นครั้งที่ 3 ที่พวกเรากลับมา มันบ้ามาก รู้สึกเหมือนเป็นบ้านหลังที่สองเลยล่ะ
ถ้าอย่างนั้น ยินดีต้อนรับพวกคุณกลับบ้านนะ!
มาร์ค: ขอบคุณครับ คุณรู้ไหม พวกเราชอบมากที่จะได้เดินทางมาฝั่งทางนี้ของโลก มันเป็นการเปิดโลกที่แท้จริงสำหรับพวกเรา เสมือนว่าเราได้เดินทางมาครึ่งทางของอาชีพเราแล้ว และบางทีเราอาจจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในเอเชีย มันมหัศจรรย์มาก พวกเราได้รับการยอมรับอย่างมากที่นี่
พวกคุณรู้สึกอย่างไรกับโชว์เมื่อวานนี้
เจสัน: โชว์เมื่อวานนี้เป็นโชว์ที่ใหญ่ที่สุดของพวกเราเลยล่ะ เราขายตั๋วไปมากกว่า 6,000 ใบ ใหญ่ที่สุดรองจากที่เมืองดับลิน ที่นั่นก็มีผู้ชมเยอะไม่แพ้กัน
มาร์ค: ใช่ มันใหญ่ที่สุดเลยล่ะ กับผู้ชมกว่า 6,000 คน มันมีความหมายมาก คุณสัมผัสสิ่งนี้ได้เลย
เจสัน: แม้แต่ตอนเราอยู่บนเวที พวกเรายังรู้สึกว่า “ว้าว! ดูผู้ชมสิ นี่มันบ้ามากกับการเดินทางจากบ้านไกลแสนไกล เพื่อจะได้มาเห็นกลุ่มคนจำนวนมหาศาลที่มารวมตัวรับชมเรา”
ผมได้ยินว่าพวกคุณขายตั๋วเพิ่มก่อนโชว์จะเริ่มด้วย
เจสัน: โอ้ ใช่ เมื่อเรามาถึง ทางผู้จัดงานแจ้งกับเราว่า พวกเราสามารถขายตั๋วเพิ่มได้นะ และพวกเขาก็ดำเนินการต่อเลย มันสุดยอดมาก ผู้คนเนืองแน่นน่าดูเลยล่ะ
พวกคุณเคยพูดถึงการมาทัวร์เอเชียรอบก่อน ทำให้พวกคุณกลับไปด้วยเพลงใหม่?
มาร์ค: (พูดแทรกขึ้นมาอย่างติดตลกว่า) แล้วตอนนี้มีเพลงใหม่บ้างไหมล่ะ …แต่นั่นเป็นคำถามที่ดีนะ
พอจะบอกเล่าแรงบันดาลใจเบื้องหลังการเขียนเพลงของพวกคุณได้บ้างไหม โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ได้มาทัวร์
เจสัน: ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ ผมว่าเพลงทั้งหลายมันมาจากประสบการณ์ชีวิตที่เราผ่านพบมา มันไม่เคยมาจากเหตุการณ์ใดเฉพาะ มันพูดยากมากว่าเพลงเหล่านั้นมาจากวันไหน มันเป็นเรื่องราวที่เชื่อมต่อ และรวบรวมมาตามทางของชีวิต แต่มันชัดเจนมากว่า ทุกครั้งที่เราได้ออกทัวร์ เราได้เพิ่มเติมเรื่องราวทีละเล็กทีละน้อย เราบอกไม่ได้จริงๆ ว่ามันมาจากเรื่องไหนโดยตรง มันเป็นเหมือนของแถมในชีวิต มันมักจะโผล่มาตอนหัวถึงหมอน แบบนั้น
มาร์ค: เพลงของพวกเราโดยทั่วไปมักจะเป็นเพลงเศร้า และเกี่ยวกับความสัมพันธ์ หรืออะไรก็ตามที่คุณกำลังเผชิญอยู่ในชีวิต แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามาที่นี่ คือพวกเราก็มีแต่ช่วงเวลาดีๆ อะนะ (ทั้งคู่ตบเข่าแล้วก็ขำออกมา) ถ้าเราจะเขียนเพลงอะไรตอนนี้ มันคงเป็นเรื่องของการหมกมุ่นกับตัวเอง (self-indulgence) ซึ่งมันก็คงน่าเบื่อ
เจสัน: ใช่ พวกเราเพิ่งมีอัลบั้มใหม่ และนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ทัวร์หลังจากอัลบั้มก่อน ฉะนั้นมันจึงเยี่ยมมากที่เราสามารถเล่นเพลงใหม่ และผู้ชมก็ช่วยส่งแรงได้ดีจริงๆ ผมจะบอกว่าทั้งหมดนี้มันช่างมหัศจรรย์ เราเริ่มต้นโชว์ด้วยเพลงใหม่ และทุกคนก็อินไปด้วยตั้งแต่เริ่มโชว์เลย มันอบอุ่นมาก
มีวงดนตรีหรือศิลปินคนไหนที่พวกคุณกำลังสนใจ หรือเป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลงบ้างไหม
มาร์ค: ผมคิดว่า พวกเราต่างคนก็มีสิ่งที่ตัวเองชอบนะ เราไม่เคยนั่งรวมกันแล้วบอกว่า วงนี้มีอิทธิพลต่อเรานะ หรือเราลองมาทำเพลงแนวนี้กันนะ พวกเราทุกคนมีอิทธิพลในแบบของตัวเอง และมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างในช่วงนี้ผมก็ฟัง สตีฟ เลซี (Steve Lacy) ค่อนข้างเยอะ ซึ่งคงบอกว่าพวกเราไม่มีอะไรเหมือนเขาเลย และคงไม่มีทางเหมือน มันก็แค่เป็นอะไรที่ผมชอบฟังในช่วงนี้ ผมติดเลยล่ะ
เจสัน: ของผมก็จะเป็น เฟรด อเกน (Fred Again) นั่นเป็นสิ่งที่ผมฟังในช่วงนี้ เขาเป็นนักเต้น แล้วก็ดังเป็นพลุแตกที่อเมริกา สหราชอาณาจักร และยุโรป หมอนี่เก่งมากเลยนะ
คุณเคยพูดถึงความสำคัญของการบอกเล่าเรื่องจริงในชีวิตผ่านบทเพลง แล้วช่วงหลังมานี้มีหัวข้ออะไรที่พวกคุณอ่อนไหวเป็นพิเศษบ้างไหม
มาร์ค: ผมว่าเพลงที่สะท้อนถึงผู้คนได้ดีที่สุด โดยปกติก็จะเป็นเพลงที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ เพลงเกี่ยวกับความรัก เพราะผมคิดว่ามันค่อนข้างสากล หลายเพลงของพวกเรามีพื้นแบบนั้น มันเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติ
เจสัน: ใช่ มันเป็นเรื่องไอเดียรวมๆ ที่รวบรวมเรื่องราวของพวกเรามากกว่าจะเป็นเรื่องอะไรอย่างเจาะจง อย่างในตอนนี้ชีวิตพวกเรากำลังดำเนินไป และมันค่อยๆ ถูกห่อหีบให้เราเดินเข้าสู่สภาวะใหม่ๆ ของชีวิต อย่างผมก็กำลังจะมีลูกคนแรก วินนีก็มีลูกสองแล้ว บางทีพวกเราก็อาจจะมีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น ชีวิตกำลังเปลี่ยนแปลง
เอาล่ะ นี่จะเป็นคำถามเชิงเทคนิคละกันนะ
มาร์ค: อู้ว นี่จะทำให้เสียงแตกแน่เลย ฮ่าๆ
พวกคุณพอจะพูดอะไรเกี่ยวกับการจัดวางรายการเพลง (setlist) ของทัวร์ครั้งนี้ได้บ้าง
มาร์ค: มันยากเสมอเลย เพราะก่อนทัวร์ครั้งนี้ เราทำทัวร์อะคูสติกที่ดับลิน แล้วค่อยๆ กลับมาทัวร์แบบร็อกมากขึ้น พวกเราพยายามรักษาโมเมนตัมจากโชว์ครั้งก่อนๆ เสมอ แล้วคุณก็ต้องคอยดูปฏิกิริยาของผู้ชมในโชว์นั้นๆ บางทีคุณก็ต้องเอาบางเพลงออก แล้วนั่นแหละก็กลายเป็นรายการเพลง เราพยายามปล่อยให้มันเติบโตและมีจุดเชื่อมโยงกันเอง
ตามบรรยากาศไป ว่าอย่างนั้นใช่ไหม?
เจสัน: อย่างยิ่งเลย พอเราปล่อยเพลงใหม่แล้วเราก็ออกทัวร์ ทุกครั้งที่เรากลับมา สิ่งแรกที่ทำในคืนนั้นก็คือ เราจะตัดรายการเพลงออก แบบว่า “โอ้ นั่นมันไม่ได้ผล ไม่เวิร์กเลย”
ผมคิดว่า สำหรับผู้ชมตรงนั้น บางทีเขาก็อาจจะรู้สึกเฉยๆ ก็เป็นโชว์ทั่วไป แต่สำหรับเรา มันมีรูปแบบของเพลงบางเพลงอยู่ พวกเราพยายามจะอธิบายมันออกมา เป็นสิ่งแรกที่ทำในคืนแรกๆ แบบว่า “โอ้ เราทดลองแล้ว เอาเพลงนั้นไว้ตรงนี้ เพลงนี้ไว้ตรงนั้น” เราลอง แล้วก็พบว่ามันไม่เวิร์กแฮะ (แล้วทั้งคู่ก็ขำออกมา) มันก็จะเป็นแบบนี้อยู่เรื่อยๆ
มาร์ค: มันเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก คุณต้องหาตรงไหนที่มันใช่ระหว่างกัน บางครั้งก็มีการเปลี่ยนแปลงกระทันหัน แต่เราไม่เคยส่องลงไป ไม่เคยคาดเดามัน มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์น่ะนะ
ตอนนี้พวกคุณยังเหลืออะไรที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำบ้างไหม
มาร์ค: ไปใช้ชีวิตอยู่ในนั้นละมั้ง (ตอบแบบติดตลก และชี้ไปที่ตึกระฟ้าฝั่งตรงข้าม)
พวกเรามีเส้นทางอาชีพที่สุดยอดมาก พวกเราโชคดีมากจริงๆ เราพยายามจะหาทางไปทัวร์ในอเมริกาเพื่อให้การเดินทางมันครบถ้วน นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่อยู่บนสุดของลิสต์เลย แต่พวกเราก็ขีดฆ่าออกไปหลายรายการแล้ว ณ ตอนนี้เราแค่พยายามจะไปที่ดิสนีย์แลนด์ในแต่ละประเทศที่เราเดินทางไป (พูดแบบอมยิ้ม) มันเหมือนกับค่อยๆ เก็บทีละเล็กทีละน้อยตลอดเส้นทางล่ะมั้งนะ
แล้วถ้าหากพวกคุณได้ทำคอนเสิร์ตในดิสนีย์แลนด์จริงๆ ล่ะ
มาร์ค: โอ้! นั่นมันอยู่ในลิสต์แน่นอน
เจสัน: นั่นอยู่บนสุดเหนือกว่าในลิสต์เสียอีก
พวกคุณเชื่อไหมว่าดนตรีเปลี่ยนแปลงโลกได้ แล้วโลกแบบนั้น KODALINE จะเป็นเช่นไร
มาร์ค: โอ้ คำถามนี่… (เขาหยุดครุ่นคิดครู่หนึ่ง) ผมคิดว่า ดนตรีเปลี่ยนแปลงโลกตลอดเวลาอยู่แล้ว ก็ใช่อย่างคุณว่าล่ะนะ
เจสัน: แบบว่า มันมีเพลงไม่กี่เพลงที่ปล่อยออกมาในโลกนี้ ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลกอย่างเช่น จอห์น เลนนอน (John Lennon) ปล่อยเพลง ‘Imagine’ ออกมา เขาเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ อย่างแท้จริง ผมว่ามันต้องเป็นเพลงที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นแหละที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้
แต่ขณะเดียวกัน ผมว่าคุณก็สามารถเปลี่ยนแปลงโลกของใครบางคนได้ด้วยเพลงบางเพลง อย่างเช่นเอาเป็นว่า ใครบางคนอาจได้ยินเพลงสักเพลง แล้วรู้สึกว่า “โอ้ เพลงนี้มันเขียนเกี่ยวกับฉันรึไงนะ” คุณรู้ไหม สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผมนับครั้งไม่ถ้วน ฟังเพลงพวกนี้แล้วก็คิดว่า นี่คนแต่งเพลงมันมาส่องชีวิตฉันอยู่หรือเปล่า อะไรอย่างนั้น
ฉะนั้น ผมก็อยากพูดว่า เพลงบางเพลงได้เปลี่ยนชีวิตของใครบางคนจริงๆ
มาร์ค: ใช่ พวกเราเองก็เปลี่ยนชีวิตของเราด้วยดนตรีที่พวกเราสร้างขึ้น มันช่างเป็นการเดินทางที่เหลือเชื่ออย่างแท้จริง พวกเราเปลี่ยนไปเยอะมากจริงๆ
เจสัน: พวกเราต่างก็เปลี่ยนชีวิตของกันและกัน ฉะนั้นมาเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันนะ
(คนที่อยู่ในห้องสัมภาษณ์วันนั้นต่างอุทานออกมาพร้อมกันว่า “โอว…ช่างอบอุ่นหัวใจเสียจริง”)
ขอขอบคุณ: ทีมผู้จัด LIVE NATION TERO
อ้างอิง:
- Kodaline Bio.
- Kodaline Share ‘Sometimes’ Video
- . . . What’s so special about Kodaline anyway? – The Irish Times
- ‘ใช้ชีวิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป’ ให้เสียงเพลงเป็นกำลังใจ กับอัลบั้มใหม่ของ Kodaline
- Kodaline : วงดนตรีที่เปลี่ยนเรื่องจริงเป็นเพลงเศร้า และเปลี่ยนเพลงเศร้าเป็นความสุขในชีวิต
- ให้เสียงเพลงอยู่เคียงข้างในทุกความรู้สึก คุยกับ Steve Garrigan ก่อนคอนเสิร์ตใหญ่ Kodaline
- ชวน Mark กับ Jay จาก Kodaline มาคุยกันถึงความรู้สึกที่ได้มาเล่นที่ไทยถึงสองครั้ง