เรื่อง: ณิชากร ศรีเพชรดี
ภาพ: อารยา คงแป้น
9 กันยายน 2559 คือคิวเสวนาหัวข้อ ‘กลางเมืองไม่ได้มีแค่โปเกม่อน: ซอกหลืบของแรงงานที่ไม่มีใครออกตามหา’ หนึ่งในซีรีส์เสวนาประวัติศาสตร์แรงงานไทย-เยอรมัน
ทำไมต้องมีโปเกม่อนอยู่ในประเด็นด้วย?
ผู้จัดชี้แจงเป็นการส่วนตัวว่า หนึ่ง-ก็ต้องการเรียกร้องความสนใจ… สอง-เกี่ยวพันกับกรณีที่หนึ่ง เพราะเราต่างก็ใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ทุกวัน แต่พวกเขา ‘แรงงานนอกระบบ’ กลับถูกปฏิบัติราวกับว่าไม่มีตัวตน ไม่มีใครมองเห็น ไม่มีใครออกตามหาและให้ความสำคัญ
แอบได้ยินผู้จัดงานเขาคุยกัน
“นี่เราต้องเรียกร้องความสนใจ ขนาดว่าต้องหยิบโปเกม่อนมาเชื่อมให้คนรู้สึกว่าประเด็นนี้ใกล้ตัวพวกเขา และเรียกร้องให้เขาฟังมากขนาดนี้เลยหรือ?”
แรงงานเพื่อนบ้าน ‘ฉันถูกทำให้เป็นอื่น’
“ปัญหาประการแรก แรงงานเพื่อนบ้านไม่ใช่คนไทย ฉะนั้นจึงไม่มีสิทธิ์”
อดิศร เกิดมงคล ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงานข้ามชาติ เสนอประเด็นที่ติดอยู่ในใจคนไทยหลายคนว่า เพราะคนส่วนใหญ่เห็นว่าแรงงานข้ามชาติเข้ามาใช้ทรัพยากรของประเทศไทย พวกเขาได้รับประโยชน์จากบ้านเมืองของเราอยู่แล้ว แรงงานเหล่านี้จึงถูกบอกให้ ‘เป็นอื่น’
อดิศรตั้งคำถามต่อไปว่า
แล้วใครบ้างที่ไม่ใช้ทรัพยากรที่ถูกผลิตมาจากแรงงานเหล่านี้?
ไม่นับความเชื่อที่ว่า แรงงานข้ามชาติเป็นต้นกำเนิดของอาชญากรรมในบ้านเรา หลักฐานคือสมมุติฐานบนหน้าหนังสือพิมพ์ ทุกครั้งที่เกิดเหตุอาชญากรรมใหญ่ๆ หน้าหนังสือพิมพ์มักจั่วหัวว่า ‘ผู้ต้องหา’ คือแรงงานเพื่อนบ้าน
ในมุมมองของอดิศร กระบวนการคิดแบบนี้ยิ่งฉายซ้ำให้เราเห็นคนไม่เท่ากัน ความสำคัญของแรงงานเพื่อนบ้านยิ่งต่ำชั้นไปกว่าแรงงานนอกระบบที่เป็นคนไทยมากขึ้นไปอีก
“ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นแรงงานที่ถูกต้องถามกฎหมายหรือไม่ เราก็มองว่าเขาเป็นแรงงานเพื่อนบ้านอยู่ดี หากมองกลับไปในประวัติศาสตร์ แรงงานกลุ่มแรกที่เข้ามาทำงานสร้างเศรษฐกิจให้บ้านเรา ก็คือแรงงานเพื่อนบ้าน คือแรงงานจีน ซึ่งตอนนั้นพวกเขาก็ถูกมองว่าไม่ใช่คนไทย เป็นคนอื่นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ชาวจีนไม่ถูกเรียกว่าเป็นแรงงานเพื่อนบ้านแล้ว
“เรื่องนี้มองได้ว่า แรงงานข้ามชาติก็มีลำดับชั้นในตัวเองเหมือนกัน”
แรงงานไม่มีประวัติศาสตร์ และคนไทยก็ไม่สนใจจะศึกษามัน
ก่อนที่อดิศรจะวางไมค์ เขาจุดประเด็นเรื่อง ‘ลำดับชั้นของแรงงาน’ และยกปรากฏการณ์การถูกเหมารวมว่าเป็น ‘คนไม่ดี’ ที่เห็นได้ตามข่าวว่า ทุกครั้งที่เกิดเหตุอาชญากรรม แรงงานข้ามชาติมักถูกตีตราจากสังคมไปแล้วว่าเป็นผู้ก่อเหตุนั้น
ภาสกร จำลองราช อดีตผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มติชนประจำสายแรงงานและผู้สื่อข่าวสำนักข่าวชายขอบ ขยายประเด็นดังกล่าวในมุมมองของสื่อมวลชนว่า
“ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราละเลย เหมารวม และไม่ยอมทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้านเลย”
ในฐานะสื่อมวลชนที่เกาะติดประเด็นคนชายขอบในสังคม ภาสกรอธิบายว่า นอกจากการเหยียดชาติพันธุ์แล้ว เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังเหยียดชาติพันธุ์อะไรอยู่
“คือเราไม่รู้ ไม่ได้ทำความเข้าใจเสียทีว่า พม่าไม่ได้มีแค่พม่า แต่มีรัฐฉาน กะฉิ่น และชาติพันธุ์อื่นๆ ซึ่งมีความใกล้ชิดและเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน เราเหมารวมว่าทั้งหมดคือ ‘พม่า’ พอเป็นพม่า พวกเขาจึงเป็นผู้เผาบ้านเผาเมืองเรา มองเขาเป็นศัตรู พวกเขาไม่ใช่คน ฉะนั้น จึงจะกดขี่เอาเปรียบเท่าไรก็ได้”
การเหมารวมนี้ยังมีการผลิตซ้ำไปวนมา มันคือการสร้างและตอกย้ำความเชื่อนี้ผ่าน ‘ภาษา’ ของสื่อมวลชน รวมทั้งการรายงานข่าวที่อธิบายแบบเหมารวมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น การรายงานโดยการใช้คำว่า ‘ต่างด้าว’ เป็นผู้ก่ออาชญากรรม แต่ไม่ได้อธิบายถึงที่มาหรือชวนให้คิดต่อว่า มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ หรือแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนเชื้อชาติอะไร มองให้ลึกไปมากกว่านั้น ภาสกรเห็นว่า สื่อมวลชนเองก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่นำเสนอเลย
ประเด็นสืบเนื่องของการที่แรงงานชาวพม่า–ตามสัญชาติ เข้ามาทำงานในบ้านเรา ทำให้แรงงานเหล่านี้สามารถพูดภาษาไทยได้ เมื่อรวมกับสถานการณ์สื่อมวลชนในประเทศพม่าตอนนี้ที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นอย่างมาก ทำให้พวกเขาสามารถสื่อสารได้หลายภาษา ทั้งภาษาท้องถิ่นของเขาเอง ภาษาพม่า ภาษาอังกฤษ มากกว่านั้นเขายังเข้าใจสิ่งที่สื่อไทยกำลังนำเสนอด้วย
สื่อพม่าขณะนี้น่าสนใจมาก เพราะเขาเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และการที่เขาเข้าใจภาษาไทย นั่นหมายความว่าเขาก็รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ขณะที่เราไม่เข้าใจอะไรเขาเลย
แรงงานนอกระบบไม่ใช่ผู้สร้างชาติ
“คุณคิดว่าตัวเองเป็นแรงงานหรือเปล่า? คนที่ทำงานฟรีแลนซ์ หรือ startup คุณเป็นแรงงานหรือเปล่า? อย่าลืมว่าที่ผ่านมาแรงงานนอกระบบไม่เคยถูกนับรวมว่าเป็นส่วนหนึ่งของผู้ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศนี้ เป็นฟันเฟืองหนึ่งของประเทศนี้เลย
“มีใครใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งพาแรงงานนอกระบบบ้าง?”
ในประเด็นนี้ พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ผู้ศึกษาวิจัยเรื่องแรงงานนอกระบบ อธิบายให้เห็นภาพว่า ถ้าพื้นที่รอบๆ โรงงานผลิตสินค้า A ไม่มีมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไม่มีคนขายอาหารราคาถูก ไม่มีผู้ที่ทำงานเหล่านี้รองรับการใช้ชีวิตของคนทำงานในระบบ มันจะเป็นอย่างไร
“มันคือการมองปัญหาแบบแยกส่วน” พูลทรัพย์อธิบายถึงข้ออ้างของรัฐในการกำหนดสวัสดิการที่แตกต่างกันระหว่างแรงงานในระบบและนอกระบบ แต่หากถอยออกมามองระบบเศรษฐกิจในภาพใหญ่ พูลทรัพย์เห็นว่าแรงงานเหล่านี้คือจุดเชื่อมต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าไปได้โดยไม่สะดุด
และแท้จริงแล้ว แรงงานนอกระบบต่างหากที่เป็นผู้เล่นสำคัญที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล
พูลทรัพย์ยกตัวเลขตามรายงานสถิติแห่งชาติปี 2558 ที่รายงานว่า 22 ล้านคน คือจำนวนแรงงานนอกระบบ และหากเปรียบเทียบกับผู้ที่ทำงานในระบบจำนวนกว่า 16 ล้านคนนั้น ผู้ที่ทำงานนอกระบบถือเป็นสัดส่วนที่มากกว่า
“กว่า 22 ล้านคนที่ทำงานเพื่อรองรับระบบเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้รับการคุ้มครองในฐานะแรงงานคนหนึ่ง เพราะพวกเขาเป็นคนขับแท็กซี่ ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ขายอาหารราคาถูกข้างทาง แม่บ้าน พวกเขาถูกมองว่าเป็นแรงงานอิสระ แน่นอนว่าปัจจุบันก็มีกฎหมายคุ้มครองผู้ที่รับงานไปทำที่บ้าน แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับการปฏิบัติ คือการขูดรีดแรงงานอย่างถึงที่สุด และก็ไม่มีมาตรการใดๆ มาตรวจสอบด้วย”
ก่อนที่วงสนทนาจะจบลง พูลทรัพย์ทิ้งท้ายไว้ว่า สิ่งที่อยู่บนเวทีนี้อาจเป็นสิ่งที่ต้องออกมาพูดกันร่ำไป ถ้าภาคประชาชนยังไม่เชื่อว่า
รัฐไม่ใช่เจ้านาย รัฐเป็นประชาชนที่เราสร้างขึ้น
และขบวนการต่อสู้ ยังย่ำอยู่เพียงการขอความเป็นธรรมจากรัฐ