ครูคะ เด็กชายณัฏฐพลมาสาย
เเทนที่จะมาถึงที่นัดหมายในเวลา 15.00 น. แต่ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางมาถึงที่ชุมนุมในเวลา 17.15 น. ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของกลุ่มนักเรียนว่า “อย่างนี้ต้องวิ่งรอบสนาม 8 รอบ”
เขาขึ้นเวทีดีเบตกับตัวแทนกลุ่มนักเรียนเลว มิน-ลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ โดยมี ครูทอม-จักรกฤต โยมพยอม รับหน้าที่ดำเนินรายการ และเปิดประเด็นจาก 3 ข้อเรียกร้อง คือ 1. หยุดคุกคามนักเรียน 2. ยกเลิกกฎระเบียบล้าหลัง และ 3. ปฏิรูปการศึกษา กับ 1 เงื่อนไข คือ หากรัฐมนตรีทำไม่ได้ ให้ลาออกจากตำแหน่ง
การถาม-ตอบบนเวทีฯ มีการให้คำสัญญาจากรัฐมนตรีว่าการฯ อย่างน้อย 8 ข้อที่สมควรแก่การบันทึกไว้ เวลาผ่านไปมีอะไรเปลี่ยนแปลง นี่คือหลักฐาน
คำสัญญาที่ 1: ถ้าครูลงโทษโดยใช้ความรุนแรงจะถูกลงโทษตามระเบียบวินัยของกระทรวงฯ แน่นอน
ณัฏฐพล: ผมให้ความมั่นใจว่า กระทรวงศึกษาธิการต้องการให้โรงเรียนมีความปลอดภัยมากที่สุด ผมรับเรื่องมา 109 โรงเรียน สืบหาข้อเท็จจริงแล้วต้องยอมรับว่า แม้มีคุณครูที่ไม่เข้าใจในการแสดงออก แต่ยังมีครูอีก 5 แสนคนที่เข้าใจและพยายามบริหารจัดการเรื่องนี้
ประเด็นต่างๆ ที่ได้รับการร้องเรียน วันนี้น้อยลง แต่ถ้ามีมาก ผมเปิดช่องทางให้น้องๆ ร้องเรียนและส่งข้อมูลมา หาแนวทางป้องกันข้อมูลให้ปลอดภัย ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่คุ้นเคยในประเทศไทย และต้องปรับตัว
ครูทอม: ทำไมถึงต้องชูประเด็น ‘หยุดคุกคามนักเรียน’ ขึ้นมา
ลภนพัฒน์: การคุกคามนักเรียนไม่ใช่แค่เรื่องการแสดงออกทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่มันกินความถึงการตี การทำร้าย และลงโทษนักเรียนอย่างไม่สมเหตุสมผล เราเรียกว่าการคุกคามทั้งหมด มันไม่ใช่เรื่องใหม่ นักเรียนถูกตีมาหลายสิบปีแล้ว
109 โรงเรียนที่รัฐมนตรีว่ามา ถูกรวบรวมมาโดยองค์กรเดียว แล้วเอามายื่นให้กระทรวงฯ เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จริงๆ แล้วอาจมีมากกว่านั้น การที่บอกว่าเปิดรับเรื่องร้องเรียนเพื่อปกป้องนักเรียนไม่ให้ถูกคุกคาม ผมว่าลำดับความสำคัญค่อนข้างผิด เพราะกระทรวงฯ มีศักยภาพในการปกป้องนักเรียนมากกว่านั้น เช่น การประเมินโรงเรียน กระทรวงฯ สามารถทำได้หลายสิบรูปแบบ ไม่ว่าจะโรงเรียนสีขาว สีเขียว โรงเรียนปลอดบุหรี่ ฯลฯ แต่ทำไมการคุกคามนักเรียน กระทรวงเลือกใช้วิธีรับเรื่องร้องเรียนจากนักเรียนมากกว่าจะส่งตัวแทนจากกระทรวงฯ ไปประเมินว่าโรงเรียนยังมีการคุกคามนักเรียนอยู่หรือไม่
มาตรการที่ออกมาแสดงถึงความใส่ใจว่า ท่านรัฐมนตรีและตัวกระทรวงศึกษาฯ ให้ความใส่ใจปกป้องนักเรียนมากขนาดไหนถึงใช้มาตรการที่ไม่เด็ดขาดในการปกป้องนักเรียนไม่ให้ถูกคุกคามในโรงเรียน
ณัฏฐพล: การคุกคามอยู่ๆ มันจะหายไปเลย เป็นไปไม่ได้ ผมขอยกตัวอย่าง เรื่องคุกคามหรือการละเมิดทางเพศ มีมาหลายสิบปี ครูที่คุกคามไม่เคยโดนไล่ออก ถูกไหมครับ 6 เดือนที่ผ่านมา รวมแล้ว 15 ราย มันเหมือนการแก้ปัญหาปลายเหตุ แต่เราต้องจัดกระบวนการใหม่ทั้งหมดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
โรงเรียนไม่ปลอดภัยไม่ได้ครับ แต่เรากำลังพูดถึงครู 5 แสนคน กับนักเรียนอีก 10 ล้านคน วันนี้เราอยากให้เปิดสวิตช์เลย ผมอยากทำอย่างนั้นครับ แต่วันนี้เราต้องมาพูดความจริง
ผมไม่ได้ภูมิใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถึงมานั่งพูดคุยกัน ว่าวันนี้ปัญหาทั้งหมดเรารับฟังความคิดเห็น หลายๆ เรื่อง 90 เปอร์เซ็นต์ของปัญหาเกี่ยวกับการศึกษา และเราต้องร่วมกันแก้ ถ้าผมไม่รับทราบข้อมูลทั้งหมด ผมก็แก้ไม่ได้ ผมจึงเปิดช่องทางให้ท่านให้ข้อมูลโดยที่ไม่ต้องกังวลถึงครู ผู้ปกครอง การเปิดรับฟังข้อมูลเช่นนี้ก็มีข้อมูลอื่นๆ ที่ครู ผู้บริหาร ก็สามารถส่งมาได้ เราต้องแฟร์กับทุกๆ ฝ่าย
ครูทอม: นักเรียนจะมั่นใจความปลอดภัยของตัวเองได้อย่างไร
ณัฏฐพล: ผมถึงใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการเทสต์ระบบ ผมแฮคระบบของผมเอง ถ้าท่านแฮคได้ก็ลองดู ถ้าท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับผม ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่านั่นคือข้อเท็จจริง อาจกลั่นแกล้งกันก็ได้ เราต้องเอาความจริงมาพูด
ครูทอม: ครูตามหาว่าใครเอาคลิปมาปล่อย แทนที่จะหาว่าทำไมครูถึงละเมิดนักเรียน ท่านมีความเห็นอย่างไร
ณัฏฐพล: แล้วไงต่อครับ ครูไปหาตัวนักเรียนที่ถ่ายคลิปนั้น ถ้ามีช่องทาง น้องๆ ก็แจ้งมาสิครับ แปลว่าครูทำผิดจรรยาบรรณของการเป็นครู เราต้องลงโทษไปตามระเบียบวินัยของกระทรวงฯ
ครูทอม: ท่านได้ดูคลิปไหม (คลิป Tik Tok ที่นักศึกษาฝึกงานลงโทษนักเรียนให้เอาโต๊ะเทินหัว)
ณัฏฐพล: ถ้าส่งมาผมก็จัดการให้
ครูทอม: แปลว่าตอนนี้ท่านยังไม่เห็นคลิปนั้น อย่างกรณีครูลงโทษนักเรียนด้วยวิธีที่ขัดต่อระเบียบ ทางกระทรวงฯ มีวิธีจัดการอย่างไร
ณัฏฐพล: ผิดทางวินัย เราดำเนินการแน่นอน ผมคิดว่าครูส่วนใหญ่เข้าใจการแสดงออกทางสัญลักษณ์ตรงนี้แล้ว ครูลดแรงกดดันไปถึงน้องๆ ว่าห้ามปฏิบัติอย่างนู้นอย่างนี้แล้ว ถ้าเรายอมรับ แปลว่าเรากำลังทำความเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ กับสถานการณ์ปัจจุบัน
คำสัญญาที่ 2: การแสดงออกทางการเมืองของนักเรียนไม่ผิด ถ้าโรงเรียนห้าม ให้ถือว่าขัดต่อระเบียบ
ครูทอม: มีประกาศให้โรงเรียนเปิดโอกาสให้น้องๆ แสดงออกทางการเมือง แปลว่าถ้าโรงเรียนไหนห้ามน้องๆ แสดงออก ถือว่าขัดต่อระเบียบ
ณัฏฐพล: ครับ ตราบใดที่การแสดงออกตรงนั้นอยู่ในบริเวณของโรงเรียน ไม่ก้าวร้าว ไม่ก้าวก่ายสิทธิของคนอื่น
ครูทอม: ถ้าโรงเรียนไหนห้าม ปิดรั้ว ไม่ให้นักเรียนเข้าไป น้องๆ สามารถร้องเรียนได้ไหม
ณัฏฐพล: ในแต่ละโรงเรียนเขามีกฎระเบียบของเขา ถ้าเขาไม่อยากให้คนนอกเข้า ก็สามารถควบคุมไม่ให้คนนอกเข้าได้ นั่นคือความปลอดภัย
ครูทอม: อย่างกรณีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ ถือว่าเป็นบุคคลภายนอกไหมครับ
ณัฏฐพล: ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาเข้าไปทำอะไร ถ้าเขาเข้าไปตรวจยาเสพติด เขาจะเข้าไม่ได้เหรอครับ
ลภนพัฒน์: กระบวนการในการร้องเรียนมันไม่มีประสิทธิภาพมากพอ พอร้องเรียนก็ต้องมานั่งตรวจสอบ ขอข้อมูลคนร้องเรียน ซึ่งความปลอดภัยมันก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ขนาดนั้น
จริงๆ แล้วกระทรวงฯ ควรใส่ใจประเด็นนี้ด้วยการลงพื้นที่ไปตรวจสอบทุกโรงเรียนเลย เพราะกระทรวงฯ ส่งศึกษานิเทศก์มาตรวจสอบอยู่แล้ว มีประเมินนู่นนั่นนี่ แต่ตอนแรกที่ท่านพูดมาว่า การประเมินอยู่ในแผนยกเลิก จริงๆ แล้วการประเมินโรงเรียนไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป แต่สิ่งที่มันเลวร้ายคือวัฒนธรรมในการประเมิน มันกลายเป็นการที่ครูต้องมาหั่นผักชีเอาไปโรยหน้าตอนมีคนมาประเมิน แต่ถ้าเป็นการประเมินที่แท้จริง คนประเมินเข้าไปไม่ต้องบอกก่อน ไม่ต้องต้อนรับ เข้าไปประเมินเลยโดยไม่ต้องรบกวนการเรียนการสอนของครู การประเมินก็ถือว่าเป็นวิธีการที่น่าสนใจในการตรวจสอบ ปกป้องนักเรียนในประเด็นต่างๆ
ประเด็นนี้ผมเคยเสนอไปที่นิติการของกระทรวงศึกษาธิการ เขาตอบผมว่า ทำไม่ได้หรอกครับ เพราะโรงเรียนมีจำนวนมากเกินไป เราไม่มีทีมงานพอ เป็นที่น่าสงสัยว่าทำไมประเมินอย่างอื่นถึงสามารถส่งตัวแทนไปได้ แต่การละเมิดสิทธิมนุษยชน กระทรวงฯ ไม่สามารถส่งตัวแทนไปประเมินได้
ครูทอม: หากโรงเรียนไม่ให้เด็กเอาโทรศัพท์เข้าไป เด็กจะหาหลักฐานได้อย่างไร
ณัฏฐพล: เรื่องโทรศัพท์ เป็นเรื่องของแต่ละโรงเรียนที่จะบริหารจัดการ อันไหนที่ผมคิดว่าทำไม่ได้ทันที ต้องใช้เวลา ผมก็จะบอก
คำสัญญาที่ 3: นักเรียนเอาความจริงที่ถูกคุกคามในโรงเรียนมาเผยแพร่ได้
ครูทอม: บางโรงเรียนบอกว่าห้ามเอาเรื่องราวของโรงเรียนไปเผยแพร่
ณัฏฐพล: ไม่ต้องซุกครับ เอาข้อมูลนั้นออกมา เราซุกหลายๆ อย่างไว้ใต้พรมมากเกินไปแล้วครับในระบบการศึกษาไทย เราต้องยอมรับความจริง ถ้าหนูๆ อยากบอกอะไรเกี่ยวกับการกระทำไม่ดีของบุคลากรทางการศึกษา เราพร้อมรับฟัง แต่ในขณะเดียวกันหนูก็ต้องยอมรับว่า ครูดีๆ ก็มีอีกมากมาย ฉะนั้นต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน เราต้องขจัดคนไม่ดีออกไป
ลภนพัฒน์: ผมขอยกตัวอย่าง ปีที่แล้วมีโรงเรียนแห่งหนึ่งในยโสธร ครูตบหน้านักเรียน มีคลิปเต็มอินเทอร์เน็ต ทางกระทรวงฯ แก้ไขจัดการครูท่านนั้นไปเรียบร้อย แต่ว่าเราลองย้อนและเช็คประวัติครูท่านนี้ พบว่าครูเคยก่อคดีเอาเข็มขัดฟาดหลังนักเรียนเมื่อประมาณปี 54 ครูท่านนั้นถูกตั้งทีมสอบสวน แต่ทีมสอบสวนคือครูด้วยกันในโรงเรียน ทำให้ครูท่านนั้นรับผิดด้วยการขอโทษขอโพยเพียงเท่านี้ และสอนในโรงเรียนเดิมจนก่อคดีอีกครั้งเมื่อปีที่ผ่านมา
นี่คือมาตรการจัดการครูที่ผิดวินัย มาตรการยังหละหลวมและปล่อยปละอยู่มาก ถ้าไม่มีใครออกมาเรียกร้องมันก็จะหละหลวมอยู่ ท่านควรดำเนินการด้วยความจริงใจมากกว่านี้โดยที่ไม่ต้องให้ใครออกมาบอก เรียกร้อง แล้วบอกท่านว่าเรากำลังถูกคุกคาม ท่านต้องปกป้องเราไม่ให้ถูกคุกคามตั้งแต่แรก
คำสัญญาที่ 4: ล่วงละเมิดทางเพศ ยาเสพติด การทำร้ายร่างกายในโรงเรียน เขตพื้นที่ไม่ปฏิบัติ ศึกษาธิการไม่ปฏิบัติ ผู้อำนวยการโรงเรียนไม่ปฏิบัติ ถือเป็นความผิด
ครูทอม: ถามถึงข้อเรียกร้องที่ 2 ขอให้ยกเลิกกฎระเบียบที่ล้าหลัง
ลภนพัฒน์: ประเด็นนี้ไม่ต่างจากประเด็นคุกคาม พอมีเรื่องของกฎระเบียบที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้ามาในระบบนี้ สิ่งที่ตามมาคือการคุกคามนักเรียนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎข้างต้น
กฎที่มีเนื้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เห็นได้ชัดเจน คือ ทรงผม มีคนเคลื่อนไหวมานานมากเป็นสิบปี แต่ไม่ได้รับการแก้ไขเป็นรูปธรรมเสียที ต่อให้ไม่พูดถึงตัวระเบียบทรงผม ระเบียบอื่นๆ ก็ยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะบังคับใช้ทุกโรงเรียนได้ เช่น ระเบียบการลงโทษนักเรียนนักศึกษา ที่ประกาศตั้งแต่ปี 2548 จนถึง 2563 ก็ยังมีนักเรียนถูกตีอยู่
นี่ไม่ใช่ 109 โรงเรียน มันมากกว่านั้นมาก ท่านต้องกลับไปทบทวนดูว่า ทำไมโรงเรียนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน ทำไมถึงยังเลือกที่จะละเมิดคำสั่งเหล่านั้นมาโดยตลอด
จริงๆ ระเบียบที่ยกเลิกการตีไปนั้น การเกิดขึ้นของระเบียบนี้ต้องมีผู้ปกครองไปฟ้องศาลว่าลูกถูกตี จนศาลบอกว่า การตีมันผิดกฎหมาย กระทรวงศึกษาธิการจึงยอมออกระเบียบมาปกป้องนักเรียน จริงๆ นอกจากกฎระเบียบที่ล้าหลัง การทำงานของกระทรวงฯ ก็ยังล้าหลังด้วย
ครูทอม: ท่านคิดว่าเพราะอะไรโรงเรียนถึงไม่ทำตามกฎ
ณัฏฐพล: เพราะเราไม่ได้เข้มงวดพอกับกฎระเบียบต่างๆ ครับ เราต้องเอาความจริงมาพูด ท่านต้องเข้าใจในกระบวนการของโรงเรียน ระบบการศึกษาทั้งหมด เราอยู่ในระบบที่เรารู้จักซึ่งกันและกัน หาทางประนีประนอมกัน แต่เรื่องที่เกี่ยวกับระเบียบวินัย เรื่องของความปลอดภัยในโรงเรียน เรื่องสุขลักษณะของนักเรียน โรงเรียน เรื่องเหล่านี้เรายอมไม่ได้
เช่น เรื่องล่วงละเมิดทางเพศ ที่ไม่เคยมีการไล่ออกก่อนเลยเพราะคุณครูรู้จักผู้ปกครอง สามารถเจรจากันได้ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่วันนี้กระทรวงศึกษาธิการไม่ยอมแล้วครับ ถ้าเกิดเหตุแบบนี้ที่ไหน เราไม่ยอมความ ที่ผ่านมาเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ วันนี้เราต้องไล่กระบวนการไปตั้งแต่ต้น เขตพื้นที่ไม่ปฏิบัติ ศึกษาธิการไม่ปฏิบัติ ผอ.โรงเรียนไม่ปฏิบัติ นี่คือความผิด
เรื่องล่วงละเมิดทางเพศ ยาเสพติด การทำร้ายร่างกายในโรงเรียน เป็นเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นไม่ได้ และปล่อยให้คนที่ทำเรื่องแบบนี้อยู่ในวงจรการศึกษาไม่ได้ครับ
ครูทอม: ท่านมีมาตรการอย่างไรให้เข้มงวดมากขึ้น
ณัฏฐพล: ผมคิดว่าทั้งกระทรวงฯ ทราบแนวปฏิบัติแล้วว่าเราเข้มงวดเรื่องต่างๆ อย่างไร ถ้าไม่ปฏิบัติต้องถูกคณะกรรมการพิจารณาทางวินัยเรื่องต่างๆ แต่ก็ต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหา ไม่ใช่ว่ามีเรื่องขึ้นมาแล้วจะสอบสวนโดยไม่รอบคอบ แต่ที่ผ่านมาเราใช้เวลาไม่นานในการสอบสวน ที่ผ่านมาอาจเป็นอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วครับ
ลภนพัฒน์: ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ คำพูดของผู้ใหญ่ในกระทรวงฯ มักเป็นแพทเทิร์นเดียวกัน ผมคุยกับผู้ใหญ่ในกระทรวงฯ คำตอบจะคล้ายกันว่า เหมือนจะปกป้องนักเรียน แต่ถ้าเราลงจากเวทีนี้ไป นักเรียนทั้งหมดนี้เขาจะถูกคุกคามไหม นักเรียนแนวร่วมในการจัดเวทีนี้ 50 โรงเรียนจะถูกคุกคามไหม? จริงๆ มีมากกว่า 50 แต่ถูกโรงเรียนถอนรายชื่อไม่อนุญาต
เหล่านี้มันคือชีวิตประจำวันที่นักเรียนต้องเจอตลอดเวลา รวมทั้งกฎระเบียบล้าหลัง ท่านอ้างระเบียบวินัย จริงๆ แล้ว ใครๆ ก็อ้างคำนี้ได้ เราต้องไปดูเหตุผลของการกระทำสิ่งนั้นๆ ว่าทำแล้วส่งเสริมให้มีระเบียบวินัยมากขึ้นหรือไม่ นักเรียนที่ตัดผมเกรียน กับนักเรียนที่ไม่ตัดผม เขาถูกตีตราว่า ถ้าตัดผม เขาจะมีระเบียบวินัย ถ้าไม่ตัด เขาจะไม่มีระเบียบวินัยทันที สิ่งนี้มันคือทัศนคติของผู้ใหญ่ต่อเด็ก ไม่ใช่เรื่องของหลักการและเหตุผลจริงๆ
สิ่งที่ผมรู้มาอีกอย่างคือ โรงเรียนทุกโรงเรียนที่มียูนิฟอร์มของตัวเอง ต้องมาเขียนดีเทลรูปแบบยูนิฟอร์มกับกระทรวงฯ แต่ดีเทลที่เขียน ละเอียดไปถึงว่า เนื้อผ้าแบบไหน เสื้อเชิ้ตแบบไหน ความยาวเท่าไหร่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมโรงเรียนต้องจู้จี้จุกจิกกับการแต่งกายเรา เพราะเขาไปให้คำมั่นสัญญากับกระทรวงฯ ว่านักเรียนต้องแต่งกายแบบนี้ เนื้อผ้าแบบนี้ เป๊ะๆ ตามที่ส่งให้กระทรวงฯ นี่คือต้นเหตุของปัญหา ถ้าท่านคิดจะแก้ที่ต้นเหตุ ท่านต้องแก้ตรงนั้น ท่านพูดแต่ปลายเหตุ แต่ไม่พูดถึงต้นเหตุเลย ผมมีเวลาตรงนี้ไม่นานนะครับท่าน
คำสัญญาที่ 5: กฎระเบียบต่างๆ ที่ตราไว้ 2-5 ปีขึ้นไป และไม่มีประสิทธิภาพ ต้องปรับปรุง แต่ชุดนักเรียนควรใส่เพราะปลอดภัย
ครูทอม: สมมุติว่าประเทศไทยอนุญาตให้นักเรียนใส่ชุดอะไรก็ได้ จะดีกว่าไหมครับ
ณัฏฐพล: ความเห็นส่วนตัวของผม หนึ่ง – ถ้าเราไม่ใส่ชุดนักเรียน มันจะมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย ถ้าใส่จะมีความปลอดภัยเพราะเราสามารถแยกแยะได้ว่าวันนี้เด็กกลุ่มนี้ออกมาทำกิจกรรมต่างๆ สอง – ความเหลื่อมล้ำที่เราต้องยอมรับว่าถ้าเราเปิดให้มีการแต่งตัวตามธรรมชาติ ฟังแล้วเหมือนดูดี แต่จริงๆ แล้วมันจะเกิดการแข่งขันเรื่องการแต่งตัว ความเหลื่อมล้ำจะมากขึ้น เราต้องฟังทุกๆ ฝ่ายครับ และดูความเหมาะสม ถ้าเรื่องไหนยังแตกแยก หาทางออกที่เหมาะสมไม่ได้ ก็ต้องรอก่อน
ครูทอม: ถ้าใส่ชุดไปรเวทไม่ปลอดภัย อะไรทำให้ไม่ปลอดภัย
ณัฏฐพล: อย่างน้อยวันนี้ผมก็แยกแยะได้ ว่าน้องๆ ที่อยู่ที่นี่คือน้องๆ ในโรงเรียนมัธยม หรือพี่น้องประชาชนทั่วไป
ครูทอม: การที่ท่านแยกแยะได้ มันเกี่ยวกับความปลอดอย่างไรครับ
ณัฏฐพล: เมื่อนักเรียนเดินเป็นกลุ่ม ผมมั่นใจว่า คนไทยถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แล้วกลุ่มนั้นคือนักเรียน ผมคิดว่าคนไทยไปปกป้องนักเรียนก่อนคนอื่นๆ
ลภนพัฒน์: การที่ว่าใส่ชุดนักเรียนแล้วปลอดภัย เป็นเหตุผลที่พอยอมรับได้ แม้จะมีเหตุผลไม่มากเท่าไหร่
ครูทอม: แต่ผมว่าไม่เสมอไป บางคนมีอารมณ์ทางเพศกับคนในชุดนักเรียนด้วยซ้ำ
ลภนพัฒน์: ที่นักเรียนถูกคุกคาม ทำร้ายร่างกาย กระทำทางเพศ ทุกอย่างนี้ถูกกระทำในคราบชุดนักเรียนตลอด เราเห็นข่าวน้อยมากที่เด็กและเยาวชนถูกทำร้ายร่างกายโดยไม่ได้ใส่ชุดนักเรียน ณ ขณะนั้น แต่ข่าวที่ออกมาในสถานศึกษาเองก็ดี ก็มีการทำร้ายและละเมิดร่างกายนักเรียนอยู่ตลอดเวลา แม้นักเรียนจะใส่ชุดนักเรียนอยู่ตลอดเวลา ชุดนักเรียนไม่ใช่เสื้อเกราะ ไม่ได้ทำให้นักเรียนปลอดภัยได้
ณัฏฐพล: ผมยืนยันว่ากฎระเบียบอะไรก็แล้วแต่ที่ตราไว้ 2-5 ปีขึ้นไป แล้วไม่มีประสิทธิภาพ ต้องมีการปรับปรุง ทางผมกำลังให้ทีมงานไล่ดูอยู่เพื่อแก้ไขปัญหา เราต้องทันสมัยในทุกๆ เรื่อง กฎหมาย กฎระเบียบทำให้เราเดินหน้าไปได้
คำสัญญาที่ 6: ครู นักเรียนเข้าร่วมพิจารณาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของกระทรวงฯ ได้
ครูทอม: ในกระบวนการที่ว่ามานี้ มีน้องๆ รุ่นใหม่ร่วมด้วยไหม
ณัฏฐพล: ไม่มีครับ
ครูทอม: ถ้ามีน้องๆ อยากเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการ จะเป็นไปได้ไหม
ณัฏฐพล: ไม่มีปัญหาอะไร ขั้นตอนที่เราทำคือ มาดูว่ากระบวนการที่ติดขัด ล้าช้า คือเรื่องอะไร จากนั้นจะมีการทำประชาพิจารณ์ ครู น้องๆ ในโรงเรียน ถึงตอนนั้นผมยินดีจะเอาน้องๆ มาเป็นตัวแทนดูกฎระเบียบด้วย
คำสัญญาที่ 7: นักเรียนหญิง ไว้ผมหน้าม้าได้ แต่นักเรียนชายไว้ผมยาว นักเรียนหญิงตัดผมสั้นแบบผู้ชาย ไม่ได้
ลภนพัฒน์: ผมอยากให้ท่านพูดถึงแนวทางไว้ทรงผมของนักเรียนทั้งประเทศ จะมีแนวทางอย่างไร
ณัฏฐพล: วันนี้มีประกาศออกมาชัดเจน ผู้หญิงสามารถไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้ แต่ถ้ายาวต้องรวบ ผมทั้งหมดต้องสะอาด ผู้ชายไว้รองทรงได้ และไม่เปิดโอกาสให้ผู้อำนวยการสถานศึกษาตัดสินหรือวางกฎระเบียบเป็นอย่างอื่นได้ ณ ขณะนี้
ครูทอม: ถ้าน้องเพศชายอยากไว้ผมยาว น้องผู้หญิงอยากไว้ผมสั้นแบบผู้ชาย ทำได้ไหม
ณัฏฐพล: ณ วันนี้ทำไม่ได้
ลภนพัฒน์: ถ้าเขามีความหลากหลายทางเพศล่ะครับ
ณัฏฐพล: ณ วันนี้ยังไม่ได้ครับ หลังจากนี้เราจะมาพิจารณากัน รับฟังกัน เพราะน้องๆ ที่อยากไว้ผมยาว ก็อาจจะมีน้องๆ อีกหลายคนไม่อยากให้เกิดสิ่งนั้นในโรงเรียน ก็เป็นไปได้ (มีเสียงโห่จากด้านล่างเวที) ทำไมเหรอครับ ถ้าเขาคิดเห็นแตกต่างจากเรา จะรับไม่ได้เลยเหรอครับ
ครูทอม: การที่น้องๆ ผู้มีความหลากหลาย อยากไว้ผมยาว ใครเดือดร้อนครับ
ณัฏฐพล: ก็เป็นสิ่งที่ต้องพูดคุยกันครับ น้องๆ ทราบไหมว่า รัฐบาลได้อนุมัติ พ.ร.บ.สมรสฯ ให้กับคนที่มีความหลากหลายทางเพศแล้ว
ลภนพัฒน์: ประเทศไทยยังไม่มีสมรสเท่าเทียมนะครับ ที่มีคือ พ.ร.บ.คู่ชีวิต ซึ่งไม่เท่ากับสมรสเท่าเทียม ผมอยากให้ท่านอ่านไลน์กรุ๊ปรัฐมนตรีนิดหนึ่งว่าเขาประกาศอะไรมา
ณัฏฐพล: พ.ร.บ.คู่ชีวิต เมื่อเข้าสภาผู้แทนราษฎร ก็สามารถเพิ่มเติมเป็น พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมได้ ถ้าหากเราคิดว่าเรื่องไหนจำเป็นต้องใส่เข้าไป นี่คือกระบวนการตรากฎหมายของประเทศครับ
ครูทอม: ไว้ผมหน้าม้าได้ไหมครับ
ณัฏฐพล: เชิญครับ ฝากไว้นิดหนึ่ง คำนึงถึงคุณครูด้วย สิ่งต่างๆ ที่เราพูดกันไป เป็นเรื่องที่ครูต้องทำความเข้าใจและใช้เวลา เพราะในระบบการศึกษาก็อาจจะไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้ ต้องเห็นใจทุกคน ทุกๆ เรื่องเราสามารถพูดคุยกันได้
คำสัญญาที่ 8: ผมปฏิบัติได้หลายๆ อย่างที่เราพูดถึงในวันนี้ วันที่ผมคิดว่าไม่สามารถทำคุณประโยชน์ให้ประเทศได้ ผมจะพิจารณาตัวเอง
ครูทอม: ท่านคิดว่าระบบการศึกษาสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองใคร
ณัฏฐพล: ถ้าวันนี้ยังคิดว่าการศึกษาไม่ตอบสนองนักเรียน เราก็ต้องร่วมกันทำ และจะพยายามทำให้เกิดให้ได้ เพราะนักเรียนคืออนาคตของประเทศชาติ อนาคตของผมก็อยู่ในมือของพวกเขา
ครูทอม: ลูกเสือ และ รด. เรียนไปเพื่ออะไรครับ
ณัฏฐพล: เป็นกิจกรรมที่สร้างการมีส่วนร่วมอย่างหนึ่ง มีทักษะอะไรหลายๆ อย่างจากการเรียนลูกเสือ ยุวกาชาด เนตรนารี หรือ รด. ในขณะที่หลายๆ คนมองว่าไม่เป็นประโยชน์ หลายๆ คนก็อาจมองว่ามีประโยชน์ ผมพร้อมรับฟังครับ
ครูทอม: การมีเครื่องแบบ สิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุไหมครับ ทักษะต่างๆ จากการเรียนลูกเสือ รด. ก็หาได้จากกิจกรรมอื่นๆ เหมือนกัน ทำไมไม่ให้เด็กเลือกทำกิจกรรมตามใจชอบ
ณัฏฐพล: ก็ว่ามาสิครับ ว่ากิจกรรมต่างๆ ที่อยากทำในโรงเรียนคืออะไร วันนี้เรากำลังพิจารณาหลักสูตรว่าลดเวลาในการเรียนได้หรือไม่ เลิกเรียนเร็วขึ้นได้หรือไม่ เวลาที่เหลือเอามาทำการบ้าน เวลาที่เหลือเอามาทำกิจกรรมที่น้องสนใจ เสริมสร้างบุคลิก สมรรถนะของแต่ละคน ก็ว่ากันมาครับ
ครูทอม: ทางท่านอยากร้องขออะไรจากนักเรียนทุกคนตรงนี้บ้างไหม
ณัฏฐพล: พูดอะไรก็ได้เหรอครับ?
ถ้าหากว่าขอได้ ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องมานั่งในเวที สร้างความกดดันแบบนี้
ผมไม่ได้ว่าอะไร ท่านให้ผมขอ ผมก็ขอ เพราะบางอย่างที่เราทำ มันมีผลกระทบในภาพใหญ่ ผมผ่านกระบวนการนี้มาแล้ว ผมทราบดี เวลานี้ประเทศไทยเปราะบางที่สุดในเรื่องของการลงทุนจากต่างประเทศ
ถ้าหากเราเป็นคนไทยที่ตั้งใจทำให้ประเทศมีศักยภาพอย่างที่ท่านร้องเพลงชาติเมื่อสักครู่ ถ้าเราเรียนรู้อะไรจากอดีต จะเห็นว่าอดีตที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จ วันนี้เป็นโอกาส อย่างน้อยในเวทีการศึกษา ผมฟังจากท่าน รับฟังจากครู ผู้ปกครอง ที่ตั้งใจทำให้การศึกษาดีขึ้น
วันนี้ผมพร้อมรับฟัง อะไรที่มีเหตุผล ผมพร้อมนำไปปฏิบัติ และผมคิดว่าผมปฏิบัติได้หลายๆ อย่างที่เราพูดถึงในวันนี้ วันที่ผมคิดว่าไม่สามารถทำคุณประโยชน์ให้ประเทศได้ ผมจะพิจารณาตัวเองครับ
แต่วันนี้ก็ยังปฏิบัติหน้าที่นี้อยู่ การพูดคุยกันด้วยสันติวิธี น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ที่ผ่านมาทำไมเราถึงไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ เพราะไม่มีการพูดคุยกัน ไม่มีเวทีอย่างนี้ วันนี้เวทีเปิด ขอบคุณอีกครั้งครับสำหรับการพูดคุยวันนี้