วันที่ 16 สิงหาคม 2564 กลุ่ม ‘ทะลุฟ้า’ นัดชุมนุมอีกครั้งภายใต้ชื่อกิจกรรม #ม็อบ16สิงหา ไล่ล่าทรราช เราจะเดินไปบ้านประยุทธ์ โดยมีจุดรวมพลที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวลา 15.00 น.
ก่อนการชุมนุมจะเริ่มต้นขึ้น The Reporters รายงานว่า เมื่อเวลา 12.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตู้คอนเทนเนอร์มาปิดกั้นบริเวณซอยพหลโยธิน 2 เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนผ่านไปยังบ้านพักพลเอกประยุทธ์ ภายใน ร.1 รอ. โดยเจ้าหน้าที่วางตู้คอนเทนเนอร์ซ้อนกัน 2 ชั้น และล็อคไว้อย่างแน่นหนา พร้อมทั้งปิดเส้นทางเดินรถ ห้ามไม่ให้รถผ่าน
ขณะที่เพจเฟซบุ๊ค Friends Talk ถ่ายทอดสดเมื่อเวลา 13.30 น. ว่า ที่บ้านพักของกลุ่มทะลุฟ้าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบแสดงหมายค้นรถยนต์และเครื่องขยายเสียง ซึ่งเจ้าของรถได้ให้ความร่วมมือและพร้อมจะเสียค่าปรับ แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้พยายามบุกเข้าค้นบ้านพักด้วย ทำให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านพักออกมาขับไล่เจ้าหน้าที่ออกไป และตะโกนถามหาเกียรติยศศักดิ์ศรีของตำรวจว่ายังมีอยู่หรือไม่
ราวๆ 15.00 น. เจ้าของรถเครื่องขยายเสียงและเจ้าของบ้านพักกลุ่มทะลุฟ้า เดินทางไปยัง สน.ดินแดง เพื่อเซ็นเอกสารและจ่ายค่าปรับ
ส่วนที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผู้ชุมนุมกลุ่มทะลุฟ้าได้จัดกิจกรรมก่อนเคลื่อนขบวน ทั้งกิจกรรมเล่นดนตรี และกิจกรรมกองหุ่นพะเนินประหนึ่งซากศพของประชาชนที่ต้องตายเพราะพิษโควิดและเศรษฐกิจ พื้นถนนประดับด้วยดอกไม้จันทน์ ข้างๆ กองซากศพ คือหุ่นของผู้ป่วยที่นั่งบนวีลแชร์ ท่ามกลางเสียงปราศรัยของผู้ชุมนุมกึกก้องบริเวณ ล้อมรอบหุ่นนั้นคือมวลชนและผู้ปราศรัยที่ทยอยจับไมค์สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น
“ประเทศไทยเจอวิกฤติหนัก โควิดรอบแรก รัฐนิ่งเฉยเพราะคิดว่าไวรัสเป็นไข้หวัด แต่พอนานไป รัฐกลับแก้ปัญหาปลายเหตุ เศรษฐกิจพังพินาศ ไวรัสกระจายทั่วประเทศ ตอนนี้ไม่มีที่ไหนที่ไม่น่ากลัวแล้ว ในการระบาดรอบที่สอง รัฐก็ยังนิ่งเฉย ทำให้ยอดติดเชื้อพุ่งสูง แก้ปัญหาโดยการเยียวยาที่โง่เขลา นำเงินภาษีประชาชนมาฟาดหัวประชาชน และปิดประเทศ แต่กลับเยียวยาไม่ทั่วถึงสำหรับคนที่ไม่มีโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต รัฐไม่คิดเลยว่าคนที่เข้าไม่ถึงทรัพยากรเขาจะทนทุกข์ขนาดไหน ต้องตกงาน เงินเก็บก็ไม่มี เงินเลี้ยงลูกแทบจะไม่มี
“ในการทำงานของรัฐนั้นล้มเหลวและสกปรก เป็นผู้นำซะเปล่า ไม่มีความรับผิดชอบ ในรอบที่สาม รัฐก็ทำเหมือนเหมือนเดิม ปิดทุกอย่างที่จะปิดได้ แต่ไม่สนใจว่าประชาชนจะอยู่ยังไง ในการระบาดปัจจุบัน รัฐก็ไม่ได้ทำอะไร ล็อคดาวน์อย่างเดียวจนคนในประเทศไม่มีจะกิน รัฐเคยคิดบ้างไหมครับว่า การปิดประเทศยาวนานมันทำให้คนต้องเป็นหนี้ อดอยาก และฆ่าตัวตาย เด็กที่เรียนจบก็ต้องมาสมัครงานเซเว่น เพื่อทำงานให้เจ้าสัวร่ำรวยขึ้นไปอีก แต่ทำเท่าไหร่ก็ยังเป็นหนี้เหมือนเดิม”
ถัดมาคือปราศรัยของสุภาพสตรีกลุ่มทะลุฟ้า ว่าด้วยการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของรัฐบาลด้วยจุดประสงค์ทางการเมืองมากกว่าการป้องกันการแพร่ระบาด
“พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีต่อเนื่องมานาน แต่ไม่ได้ช่วยจัดการโรคระบาดแม้แต่น้อย หรือรัฐบาลใช้เพื่อควบคุมการชุมนุมเท่านั้น เพราะเขาไม่สามารถจัดหาวัคซีนดีๆ มาได้ ล็อคดาวน์รอบนี้กลับดูหละหลวมมาก ผู้ติดเชื้อไม่ลดลงเลย แถมพุ่งสูงขึ้นด้วย ไม่มีมาตรการจัดการและเยียวยาเลย ปล่อยให้พวกเรานอนรอความตายอยู่ที่บ้าน เราต้องมาลุ้นว่า ผู้ติดเชื้อแต่ละวันจะพุ่งสูงขึ้นแค่ไหน”
สิ้นสุดคำปราศรัย กองหุ่นที่ถูกวางอยู่กลางวงผู้ชุมนุมถูกจุดไฟเผาเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารของรัฐบาล ก่อนผู้ชุมนุมจะเคลื่อนขบวนและเปลี่ยนเส้นทางจากเดิมคือบ้านพักของประยุทธ์ จันทร์โอชา กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เป็น ‘ทำเนียบรัฐบาล’
ประมวลสถานการณ์ชุมนุมทะลุฟ้า
15.10 น. ป้าเป้า-วรวรรณ แซ่ตั้ง ขึ้นกล่าวปราศรัย ณ อนุสาวรีย์ชัยฯ
“ไม่มีประเทศไหนที่ชนะประชาชน มึงเอา คฝ. มาฆ่าประชาชนด้วยกัน เด็กเขาไม่กลัวแล้ว คนเรามันต้องคุยกัน ไม่ใช่อยู่ๆ จะไปฆ่ามัน เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง แต่ไอ้หน้า xxx นี่มันไม่เคยฟังประชาชนเลย มันถือว่ามันมีอำนาจ
“ตอนป้าโดนจับ คนเข้าไปถล่มตำรวจเป็นแสน มันคุ้มไหม มึงจับมาทำไมผู้หญิงอายุ 70 เนี่ย ประเทศนี้มันจะอยู่กันยังไง อดอยาก ไม่มีงานทำ ร้องเพลงก็ไม่ได้ ขายเบียร์ก็ไม่ได้ มึงคิดบ้างไหมว่าคนเขาหาความสุขไม่ได้แล้ว
“กูไม่ได้ด่า กูสั่งสอน เราเป็นคน มันก็เป็นคน ทุกคนก็มีมันสมอง แต่มึงคิดบ้างไหม มึงดูเด็กๆ ดิ เขาต้องสร้างชาติต่อ แต่นี่อะไร ถ้าเด็กมันไม่เหลืออดเหลือทน มันไม่ออกมาหรอก มึงคิดบ้างไหมประยุทธ์ ที่พวกกูออกมาทุกวันนี้ มึงรู้ไหมว่าลำบาก แต่กูก็ทน เพื่อให้ลูกหลานกูมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่มีใครไม่สู้ มึงลองคิดดูซิ ส่วนไอ้ประวิตรน่ะเหรอ โอ้ยไอ้นี้ไม่ต้องไปด่ามันหรอก มันบอกไม่รู้อย่างเดียว นั่งก็หลับ เดินก็ล้ม ถามอะไรก็ไม่รู้อย่างเดียว”
15.20 น. มีกิจกรรมแสดงดนตรีโดยนักดนตรีตกงาน บริเวณเกาะพญาไท อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
15.30 น. ภายในกิจกรรมปรากฏหุ่นศพเพื่อสะท้อนถึงชีวิตของประชาชนที่ต้องล้มตายจากพิษเศรษฐกิจและโควิด จากการบริหารงานของรัฐและการประกาศล็อคดาวน์ต่อเนื่อง
16.20 น. มีการเผาหุ่นศพที่แสดงถึงสัญลักษณ์ของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และการบริหารงานของรัฐบาล
16.25 น. กลุ่มทะลุฟ้าเปลี่ยนจุดหมายจากบ้านพักประยุทธ์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เป็นทำเนียบรัฐบาล จากนั้นเริ่มออกเดินเท้า พร้อมถือป้ายและตะโกน “ประยุทธ์ออกไป”
17.20 น. ผู้ชุมนุมกลุ่มทะลุฟ้าเคลื่อนขบวนเข้าใกล้บริเวณทำเนียบรัฐบาล และหยุดอยู่ริมรั้วลวดหนาม ประจันหน้ากับกลุ่ม คฝ. โดยผู้ชุมนุมประกาศยืนยันหลักสันติวิธี ขณะที่เจ้าหน้าที่ประกาศให้ยุติการชุมนุมโดยเร็วและอ้างถึง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 “หากไม่เชื่อฟัง เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย”
17.30 น. กลุ่มทะลุฟ้าปราศรัยที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ “นายกฯ ต้องออกมาเจรจากับประชาชน แต่ตอนนี้เขามุดหัวอยู่ไหน ให้แต่ คฝ. คอยปกป้อง”
17.40 น. แกนนำทะลุฟ้าประกาศถึงกลุ่มอาชีวะ โดยย้ำจุดยืนถึงแนวทางสันติวิธีในการชุมนุมวันนี้ “น้องๆ อาชีวะ ผมกลุ่มทะลุฟ้า อยากประกาศถึงแนวทางสันติวิธี เราจะไม่ใช้ความรุนแรง สิ่งที่เราต้องการเพียงแค่ให้ประยุทธ์ลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข”
17.48 น. มีประกาศแจ้งเตือนจากเจ้าหน้าที่ คฝ. อีกครั้ง ขอให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมโดยเร็ว
17.50 น. สำนักข่าวราษฎรรายงานว่า กลุ่มทะลุฟ้าประกาศยุติการชุมนุมเมื่อมีผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งพยายามรื้อรั้วลวดหนาม จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเริ่มปฏิบัติการสลายการชุมนุมด้วยการยิงแก๊สน้ำตาและฉีดน้ำแรงดันสูงใส่มวลชนทันที
18.00 น. หลังจากเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุมหลายสิบลูกต่อเนื่อง กลุ่มผู้ชุมนุมได้ถอยร่นมารวมตัวกันบริเวณแยกนางเลิ้ง ผู้ชุมนุมบางส่วนได้ตะโกนเพื่อประกาศว่า “ยุติการชุมนุมแล้ว”
18.10 น. ชุด คฝ. ยกระดับการกระชับพื้นที่ โดยเคลื่อนกำลังพลมุ่งตรงมาจากถนนพิษณุโลกสู่แยกนางเลิ้ง ทำให้ผู้ชุมนุมมีทางออกเพียงทางเดียวคือถนนนครสวรรค์
18.25 น. มีประชาชนจำนวนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว
18.40 น. สถานการณ์บริเวณแยกนางเลิ้งเริ่มคลี่คลายลง ผู้ชุมนุมได้แยกย้ายออกจากพื้นที่แล้ว ขณะที่ส่วนหนึ่งได้เดินทางไปรวมตัวกันที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง
19.00 น. บรรยากาศบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง เสียงปืน พลุ และประทัดยังคงดังสนั่นอยู่เป็นระยะ ควันจากแก๊สน้ำตาคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ สำนักข่าว Voice TV รายงานว่าผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักเรียนอาชีวะจากหลากหลายสถาบัน
20.00 น. เสียงปืนและเสียงพลุไฟต่างๆ เริ่มสงบลง คฝ. ตั้งแถวเคลื่อนกำลังพลเข้าเคลียร์พื้นที่ จากนั้นได้ประกาศว่าเจ้าหน้าที่จะมีการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
20.15 น. มีเสียงตะโกนจากผู้อาศัยบนแฟลตดินแดง ขอให้เจ้าหน้าที่หยุดใช้แก๊สน้ำตา เพราะลมพัดเข้าบ้าน ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
21.00 น. คฝ. เริ่มเข้าควบคุมพื้นที่ได้ เสียงพลุ ประทัด และแก๊สน้ำตา ยังมีอยู่ประปราย
พลเมืองโต้กลับ ‘ยืน หยุด ขัง 1.12 ชม.’
วันเดียวกัน นอกจากการชุมนุมของกลุ่มทะลุฟ้าแล้ว กลุ่มพลเมืองโต้กลับ (Resistant Citizen) ได้มีการทำกิจกรรม ‘ยืน หยุด ขัง 1.12 ชม.’ บริเวณหน้าศาลอาญา รัชดาภิเษก เวลา 17.00 น. เพื่อเรียกร้องปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองทั้ง 8 คนที่เหลือในคุก และยังไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว
ระหว่างทำกิจกรรมบริเวณด้านหน้าศาลอาญา รัชดาฯ ผู้ร่วมกิจกรรมยืนรวมตัวกันอย่างสงบ พร้อมป้ายคล้องคอว่า
“ปล่อยเพื่อนเรา”
“FREE OUR FRIENDS”
“ก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าไม่ผิด จะปฏิบัติเสมือนผู้ทำผิดมิได้ Innocent until proven guilt. เถิด “ตุลาการ” จงคิดอย่างอิสระ รับภาระอันหนักหนาทำหน้าที่ หากรับใช้ใบสั่งดั่งกาลี ตุลาการเช่นนี้อย่ามีเลย!” คำพูดของ ทนายอานนท์ นำภา 6 พฤศจิกายน 2553
หลังจากทำกิจกรรม ‘ยืน หยุด ขัง 1.12 ชม.’ เสร็จสิ้นแล้ว กลุ่มพลเมืองโต้กลับจึงได้แยกย้าย โดยไม่มีเหตุรุนแรงแต่อย่างใด