เรื่อง : วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์
ภาพ : อนุช ยนตมุติ
เป็นบรรณาธิการนิตยสารปาจารยสาร เป็นบรรณาธิการผู้ก่อตั้งจุลสารปรีดี เป็นอาสาสมัครสอนหนังสือแก่เด็กๆ ที่ไม่มีโอกาสเรียนกวดวิชา เป็นเลขาธิการสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฎิวัติระบบการศึกษาไทย ที่เกิดจากการรวมตัวของนักเรียนไทยหลายโรงเรียนเพื่อขับเคลื่อนการปฎิรูประบบการศึกษา ประเด็นแรกที่เคลื่อนไหวคือยกเลิกระเบียบบังคับนักเรียนชายตัดผมเกรียน นักเรียนหญิงสั้นเสมอติ่งหู
นอกจากหลายสิ่งที่เขาเป็นที่เขาทำ วันนี้ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เป็นเด็กหนุ่มวัย 16
………………………………………………..
ถ้ากระทรวงศึกษาธิการออกระเบียบให้กลับไปใช้ กฎกระทรวงปี พ.ศ. 2518 ที่ให้นักเรียนชายไว้รองทรง ส่วนนักเรียนหญิงไว้สั้นหรือยาวก็ได้ คุณบอกว่าอย่าเพิ่งดีใจไป อิสรภาพยังไม่บังเกิด คำถามก็คือคุณไม่คิดจะประนีประนอมเลยใช่ไหม
ต้องเข้าใจก่อนว่ามันเป็นสิทธิ์ของเด็กคนนั้นอยู่แล้วในการเลือกตัดเกรียนหรือไม่ก็ตาม ประเด็นมันไม่ใช่การตัดเกรียน ประเด็นคือเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิ์ในการตัดผมบนหัวของนักเรียนคนนั้น คุณไม่สามารถไปละเมิดได้ ประเด็นอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาประนีประนอมกับเรื่องแบบนี้ เพราะมันเป็นหัวของเขา ไม่ต้องออกกฎ เขาต้องมีอิสรภาพในการเลือกอยู่แล้ว
การรณรงค์ให้ยกเลิกระเบียบทรงผมในโรงเรียนเป็นการรณรงค์ของ สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย ซึ่งคุณเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นเลขาธิการ เหตุใดจึงเลือกหยิบประเด็น ‘ลานบิน’ มาเคลื่อนไหวจุดประเด็น
มันใกล้ตัวนักเรียนและเป็นรูปธรรมที่สุด เราทำแคมเปญ ล่ารายชื่อในเว็บ change.org เพื่อให้ได้ 3,000 รายชื่อ แต่บังเอิญสรยุทธ (สุทัศนะจินดา) เขาเรียกไปออกทีวี ก็เลยกลายเป็นประเด็นใหญ่
ตอนนี้ถึง 3,000 รายชื่อหรือยัง
คิดว่ายังไม่ถึง เพราะตอนนี้คนในสมาพันธ์ฯก็กลัวกันมากเลย คนในสมาพันธ์ฯที่ไปออกรายการในเย็นวันนั้นกับผม เขาก็กลัวกัน เขาบอกว่าได้ระเบียบให้ไว้รองทรงก็พอแล้ว สังคมไทยยังไม่ยอมรับ ยังไม่เปิดกว้าง…พอแล้ว ประนีประนอมกันเถอะ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสิทธิ์ในหัวกบาลของคนนั้น เราต้องสู้ต่อไป
เพื่อนกลัวอะไร
กลัวคนเขาแต่งรูปล้อเลียน เยอะแยะไปหมด ผมบอกว่าปล่อยเขาไปเถอะ พวกเขากลัวกระแสสังคมที่ต่อต้าน
มีเพื่อนในสมาพันธ์ฯที่ไม่กลัวเหมือนคุณไหม
มีครับ เขาไม่ได้ออกทีวีนี่ เขาก็ไม่กลัว คนออกทีวีมันก็ต้องกลัวอยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดา
มีคนตั้งข้อสังเกตเรื่องยกเลิกทรงลานบินว่า เวลาที่คุณอ้างถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพหรือสิทธิมนุษยชน คำใหญ่คำโตเช่นนี้กลับทำให้ไม่เชื่อ แต่ถ้าคุณให้เหตุผลตรงไปตรงมาว่าเพื่อจะเอาไปจีบหญิง เขาพร้อมจะเชื่อและสนับสนุน คุณจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร
ก็อาจจะมีทัศนคติที่เห็นแก่ตัวไปหน่อย…เท่านั้นเอง ผมก็พูดตรงๆ อยู่แล้ว ไม่ได้ต้องการประนีประนอมอะไร เมื่อเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เราก็ต้องพูด
เท่าที่สังเกต นักเรียนในเขตกรุงเทพฯจะสะพายกระเป๋าที่มีตราสัญลักษณ์ของโรงเรียน โรงเรียนของคุณล่ะ
ผมอยู่สมุทรปราการ กระเป๋าของนักเรียนทุกคนจะต้องเป็นกระเป๋าของโรงเรียน นักเรียนไม่สามารถสะพายกระเป๋าอะไรก็ได้ ต้องเป็นกระเป๋าของโรงเรียน เมื่อก่อนโรงเรียนของผมอนุญาตให้ใช้กระเป๋ายี่ห้ออย่างจาค็อบได้ แต่เดี๋ยวนี้ห้าม นักเรียนต้องใช้กระเป๋าตราโรงเรียนหมดเลย ผมคิดว่ามันไม่ต่างจากประเด็นเรื่องทรงผม แม้กระทั่งเครื่องแบบ เรื่องเหล่านี้ต้องให้อิสระแก่นักเรียน โรงเรียนควรเน้นการเรียนการสอนมากกว่าจะมองแค่เปลือกนอก มันไม่ได้พัฒนาให้นักเรียนมีมันสมองที่ดีขึ้นหรือมีความฉลาดมีวิจารณญาณอะไรเลย มันไม่สามารถสร้างอะไรได้ทั้งนั้น
มีบทลงโทษไหม ถ้าคุณสะพายกระเป๋าที่ซื้อจากสวนจตุจักร
มีสิครับ ซึ่งขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของแต่ละโรงเรียน…ผมก็ไม่รู้ แต่กฎระเบียบของโรงเรียนผม นักเรียนคนนั้นต้องโดนริบกระเป๋าไปเลย เพราะคุณไม่ทำตามกฎระเบียบที่เขาตั้งไว้
สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย เกิดขึ้นได้อย่างไร
เริ่มจากจดหมายเปิดผนึกที่ผมส่งไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พงศ์เทพ เทพกาญจนา หลังจากนั้นผมก็โพสต์จดหมายเปิดผนึกฉบับนั้นลงเฟซบุ๊ค ก็ทำให้เกิดกระแสตามมา ในเฟซบุ๊คผมก็เรียกร้องเพื่อนนักเรียนอยู่ข้อหนึ่งคือ เราจำเป็นต้องออกมา แทนที่จะวิพากษ์วิจารณ์อย่างเดียว เราต้องออกมาลงมือทำ ร่วมกันหาแนวความคิด ก็มีคนส่วนมากเห็นด้วย เราก็รวมเอานักเรียนที่มีความคิดแบบนี้มารวมตัวกันก่อตั้งเป็นสมาพันธ์ฯ
ตอนนี้ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ เดือนมีนาคมที่จะถึงนี้น่าจะมีผลงานออกมาเป็นรูปธรรม เราจะจัดตั้งเป็นองค์กร มีเสวนาทางวิชาการที่ชัดเจน เราจะต้องหาคนที่เห็นด้วยกับเราให้มากที่สุด เครือข่ายนักวิชาการ เครือข่ายนักกิจกรรม เหล่านี้จะมาเชื่อมโยงกับเรา และเราต้องมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาระบบการศึกษาให้มากที่สุด อย่างน้อย แม้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่เราก็มีฐานข้อมูลที่เขาไม่อาจโต้แย้งได้ เขาจะไม่มีข้ออ้างที่จะดักดานอยู่กับระบบที่เป็นอยู่แบบนี้ต่อไป
ถ้าเรื่องระเบียบทรงผมเป็นเป้าหมายระยะสั้นของสมาพันธ์ฯ ระยะยาวจะไปสู่จุดไหน
เราต้องแก้ฐานคิดของสังคมไทย ฐานคิดของผู้บริหารการศึกษาไทย ให้เห็นประเด็นเรื่องความเป็นมนุษย์ ปรัชญาการศึกษาที่แท้จริงคือการมองเห็นนักเรียนเป็นมนุษย์ ตอนนี้พวกเขาไม่เห็นนักเรียนเป็นมนุษย์ ถ้าเห็นนักเรียนเป็นมนุษย์ เห็นทุกคนเป็นมนุษย์ ต้องให้พวกเขามีความสุขในการเรียน ไม่ใช่ไปพัฒนาอย่างอื่น ตอนนี้เขาเน้นไปที่ตัวอื่น ไม่เน้นความสุขของผู้เรียน
ผมคิดว่ามันเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ในเรื่องนี้มันต้องใช้เวลานาน ผมคิดว่าตอนนี้ผู้คนก็เริ่มตื่น กระแสมันดี อย่างวันนี้ที่มางานเสวนา แต่ละคนมีความคิดที่ดีมากๆ มีความคิดที่ดีกว่าผมทั้งนั้น แสดงให้เห็นว่าเยาวชนเริ่มตื่นตัวแล้ว เพียงแต่ว่ามันไม่มีองค์กร ไม่มีการจัดตั้งที่เข้มแข็ง มันเลยไม่เข้มแข็ง พวกเรากระจัดกระจายกันเกินไป ต้องหาวิธีรวมเข้าด้วยกัน
ในจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คุณเสนอให้มีการยกเลิกการเรียนที่เน้นแข่งขัน คุณหมายความว่าอย่างไร
ระบบการเรียนของเรามุ่งเน้นผลิตคนออกมาให้เหมือนๆ กัน เช่นคุณจะต้องเป็นหมอ คุณจะต้องเป็นเจ้าคนนายคน…เนี่ย เขาลืมสอนว่าเราจะเป็นเจ้าคนนายคนกันหมดทุกคนไม่ได้ ดังนั้นมันเป็นความเพ้อฝัน เป็นการหลอกลวงเยาวชน มันต้องสอนสิว่าเมื่อจบออกไปแล้วคุณต้องรับใช้สังคม จบออกไปรับใช้เพื่อนมนุษย์ ผมคิดว่าต้องสอนแบบนี้ ก็เพราะสอนกันแบบนี้ วิกฤติทางนิเวศวิทยาของเราจึงรุนแรงมาก ดันทุรังเน้นการแข่งขันกันต่อไป แล้วทรัพยากรทางธรรมชาติจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเราจึงต้องเลิก เลิกการแข่งขัน มิฉะนั้นแล้ว ผมเชื่อว่าสภาวะของโลกไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
ในจดหมายเปิดผนึกฉบับนั้น คุณไม่ได้เรียกร้องเพียงแค่สิทธิของนักเรียน ข้อเสนอหนึ่งคุณยังเรียกร้องให้เพิ่มเงินเดือนครูด้วย
ครับ ครูในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมองไม่เห็นศักดิ์ศรีของตัวเองเท่าไร นักเรียนส่วนมากไม่มีใครอยากเป็นครู เพราะครูเงินเดือนน้อย แล้วใช้เวลากี่ปีกว่าจะได้ตำแหน่ง ต้องทำวิจัยอะไรตั้งมากมาย ในห้องเรียนหนึ่งมีผู้เรียนตั้ง 50 คน ครูไม่มีความสุขหรอก คนเป็นครูไม่มีความสุขเลย…ไปดูก็ได้ ครูส่วนมากไม่มีความสุข เราจำเป็นต้องให้เกียรติครูมากกว่านี้ ให้เงินเดือนครูมากขึ้นกว่านี้ เพียงพอต่อการดำรงชีวิต
ไม่เท่านั้น คุณยังเขียนจดหมายถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนเช่นวิชาอย่างประวัติศาสตร์ อะไรคือปัญหาของการเรียนประวัติศาสตร์
ปัญหาในการเรียนประวัติศาสตร์ มันเยอะมาก แต่ถ้าใจความหลักก็คือมันไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนคิดตั้งคำถามกับเรื่องที่อยู่ในแบบเรียน อย่างเรื่องสมเด็จพระนเรศวร คุณต้องถามสิ มีจริงหรือเปล่า ไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม แล้วครูก็ไม่กล้าถาม ครูก็กลัวเหมือนกัน เพราะระบบมันสอนให้คนกลัวไปหมด หรือเรื่องใกล้ตัวอย่างการเคารพธงชาติ ไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม เพราะถ้าคุณตั้งคำถาม คุณก็เป็นคนไม่รักชาติคนหนึ่ง ซึ่งชาติ…คุณก็ต้องตั้งคำถามอีกว่า ชาติที่เราเคารพนับถือมาตลอดนั้น มีจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงชุดวาทกรรมชุดหนึ่ง ซึ่งทำให้คนเข่นฆ่ากัน สังคมที่แตกแยกทุกวันนี้ ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเรื่องชาตินิยมต่างๆ นานา
ผมเข้าใจถูกไหม คุณกำลังหมายความว่าไม่เฉพาะนักเรียนเท่านั้นที่ไม่กล้าตั้งคำถาม…ครูเองก็ด้วย
ใช่ครับ ครูจำนวนมากเลยเป็นคนที่มีความคิดดี แต่ระบบทำให้ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีความกล้าหาญทางจริยธรรม มันก็ส่งผลให้นักเรียนไม่มีความกล้าหาญทางจริยธรรม
‘กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท’ ที่คุณก่อตั้ง เป็นความพยายามในการแก้ไขปัญหาความกล้าหาญทางจริยธรรมที่ว่ามาหรือเปล่า
มันเป็นกลุ่มที่กระจอกมากเลย ผมก่อตั้งตอน ม.2 กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท เอาชื่อมาจากหนังสือของอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ซึ่งอาจารย์สุลักษณ์ ก็นำชื่อนี้มาจากหนังสือของอาดัม เคิร์ล อีกที (หนังสือ Education for Liberation เขียนโดย อาดัม เคิร์ล แปลโดย วิศิษฐ์ วังวิญญู) ผมเพิ่งอ่านหนังสือของเขา แนวคิดของกลุ่มเกิดมาจากแนวคิดที่มองเห็นว่าการศึกษาของเรามันไม่ดี แล้วจะทำอย่างไรให้ดีขึ้น ผมเลยทำกลุ่มทดลองสอนนักเรียน…สอนฟรี แล้วก็มีเพื่อนที่เก่งในแต่ละวิชามาเป็นอาสาสมัครสอนหนังสือ ผมก็สอนในวิชาที่ตัวเองชอบหรือเก่งในวิชานั้น สอนเด็กแถวบ้านที่ไม่ค่อยมีสตางค์ให้พวกเขาเรียนฟรี แต่สอนไปสอนมาล้มเหลวตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
ล้มเหลวในแง่ไหน เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
นักเรียนไม่มีความสุข เราเองก็ไม่มีประสบการณ์ ไม่สามารถทำให้นักเรียนมีความสุขและมีความเป็นไทได้…ล้มเหลว แต่เราก็พยายามทำ มันยากมาก ผมสอนชีววิทยา สอนสังคม
ม.2 สอนชีววิทยาแล้วหรือ
ครับ ผมชอบชีววิทยา โรงเรียนผมเรียนชีววิทยาตั้งแต่ ม.ต้น เมื่อก่อนผมเรียนกวดวิชาด้วย
เลิกเรียนกวดวิชาเพราะอะไร
เพราะผมเห็นว่าคนส่วนมากในประเทศนี้ไม่มีโอกาสในเรื่องนี้ ผมก็เลยไม่เรียนดีกว่า ปัจจัยหลักอีกอย่างคือ การเรียนกวดวิชาหมายความว่า คุณเรียนในห้องเรียนไม่รู้เรื่อง เรียนแล้วไม่มีความสุข ทำข้อสอบก็ไม่ได้ คุณจึงไปเรียนกวดวิชาเพื่อสอบให้ได้ ดังนั้นการเรียนกวดวิชาจึงไม่ใช่การหาความรู้ที่แท้จริง ผมไม่เรียนดีกว่า
หลังออกมาจากสถาบันกวดวิชา คุณเป็นไทขึ้นจริงไหม
ยาก พอผมเลิกเรียนกวดวิชา จะไปสู้คนอื่นนั้นยากเลย ผมทำแบบนี้ไม่ได้มีความสุขขึ้นนะ ผมต้องอ่านหนังสือเอง เพราะคุณไม่เรียนกวดวิชา ความรู้ของคุณก็ไม่สามารถสู้กับคนที่เรียนกวดวิชาได้ เมื่อก่อนผมเรียนกวดวิชา เมื่อเราไม่เรียน ความรู้เราก็ถดถอยลง
ถ้าอย่างนั้นการเรียนในสถาบันกวดวิชาก็เป็นการศึกษาที่มีคุณภาพมากกว่าในห้องเรียนอย่างนั้นหรือ
ก็คิดว่าอย่างนั้น นักเรียนส่วนมากเขาไม่สนใจการเรียนในห้องเรียนแล้ว แม้กระทั่งครูก็ไปเปิดกวดวิชาเสียเอง เรียนกวดวิชาดีกว่า โดยเฉพาะคนมีตังค์นะ แต่พวกไม่มีตังค์หรือเด็กต่างจังหวัด ผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเรียนกวดวิชาหรือเปล่า แต่คงไม่ได้เรียนมากเท่าไร
มองเห็นความกลัวในตัวคุณหรือเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันไหม ว่าความกลัวชนิดใดบ้าง มีที่มาจากอิทธิพลของการศึกษา
อย่างที่ผมมาพูดในงานเสวนา หรือพูดให้สัมภาษณ์อยู่ตอนนี้ ผมก็กลัวว่าครูที่โรงเรียนอาจจะไล่ออก ซึ่งความจริงเขาไม่สามารถทำได้หรอก แต่มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เรามีความกลัวเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เมื่อเราเข้ามาอยู่ในระบบการศึกษา หากเราตั้งคำถามถึงกฎระเบียบต่างๆ อย่างเรื่องทรงผม เมื่อคุณตั้งคำถาม คุณก็จะกลายเป็นเด็กมีปัญหา คุณอาจจะเป็นเด็กที่ก้าวร้าวในสังคม มันมีความกลัว สังคมมันมีความกลัว พวกที่เหลือก็กลัวกันหมด เด็กคนนี้จะทำลายความสมัครสมานสามัคคีของสังคม ซึ่งเป็นเรื่องโกหก
คุณไปทำอะไร ผู้ใหญ่จึงมองว่าเป็นบุคคลอันตรายขนาดนั้น
ตอน ม.2 ผมเขียนวิจารณ์กฎระเบียบนี่แหละ น่าจะเป็นเรื่องทรงผม เพราะมันละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรง ยังไม่ได้เผยแพร่ แต่เขาเรียกไปเทศน์ 5 ชั่วโมง เขาบอกว่า ผมมีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อโรงเรียน ซึ่งผมก็ชอบคำนี้
เชื่อในระบบอาวุโสไหม
ผมไม่เชื่อ ถ้าบุคคลนั้นไม่มีคุณธรรม เราไม่จำเป็นต้องนับถือ ถ้าเป็นพวกตีฝีปากอย่างเดียว พูดเก่งอย่างเดียว แต่ไม่ได้เป็นไปดังคำพูด ก็ไม่ควรจะไปนับถือ แต่สังคมเราเป็นแบบหน้าไหว้หลังหลอกอยู่แล้ว ก็เลยหลอกกันไปวันๆ ทำให้คนหลงผิด
ไม่เห็นประโยชน์ของการมาก่อนมาหลัง หรือประสบการณ์ของผู้มาก่อนเลยหรือ
ระบบแบบนี้มันก็ดี มันดีในสังคมเมื่อก่อน สังคมที่คนเป็นทาส นี่มันคนละยุคแล้ว เราถึงเวลาแล้วที่จะต้องยอมรับในเรื่องใหม่ๆ เราต้องเป็นประชาธิปไตย มันไม่ใช่ว่าคนมาก่อนจะถูกต้องเสมอไป แต่กระนั้นเราก็ต้องเคารพกัน ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นเด็ก คุณสามารถตบหัวผู้ใหญ่ได้…นั่นก็ไม่ถูก เราต้องเคารพกันด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่บอกว่าคุณอายุมากกว่า ประสบการณ์มากกว่า อาบน้ำร้อนมาก่อน มันเป็นข้ออ้าง
เวลาที่คุณวิพากษ์วิจารณ์เรื่องต่างๆ นานา มีบ้างไหมที่ผู้ใหญ่สวนคุณว่า “คุณเป็นเด็ก คุณจะไปรู้อะไร”
มีทั้งนั้นเลย สังคมเราไม่เติบโตด้วยเหตุนี้ เพราะกำหนดกันที่วัยวุฒิอย่างเดียว ไม่ดูกันที่คุณวุฒิ ไม่ไปดูเรื่องความคิดความอ่านเรื่องเหตุเรื่องผล คิดอย่างเดียวเลยคืออายุมากกว่า ดูกันที่ตัวเลขเท่านั้นเอง ผู้ใหญ่อาจจะไม่ฉลาดก็ได้ ถ้าผู้ใหญ่ไม่ได้ศึกษาในเรื่องนั้น แล้วมาเถียงคนที่เขาศึกษาในเรื่องนั้น ผู้ใหญ่คนนั้นจะไปรู้ดีกว่าได้อย่างไร ผู้ใหญ่อาจจะผิดก็ได้ ดังนั้นผู้ใหญ่ต้องยอมรับ รับฟังและยอมรับว่าตัวเองนั้นก็มีโอกาสผิดพลาดได้ ผู้ใหญ่ที่ดีเป็นแบบนี้ทั้งนั้นเลย แต่ผู้ใหญ่ในสังคมของเราอาจจะไม่ได้ดีมากมายอะไรนัก
มองเห็นประโยน์ของความกลัวไหม
ก็มีประโยชน์สำหรับผู้มีอำนาจ แต่ไม่มีประโยชน์สำหรับประชาชน
ทุกวันนี้เด็กยังกลัวครูไหม
กลัวกันหมดแหละครับ กลัวในห้องเรียน พออยู่นอกห้องเรียนก็ด่าลับหลัง เป็นเรื่องปกติ แต่ผมไม่เคยด่าครู ผมเป็นคนให้ความเคารพครูบาอาจารย์ แต่เวลาพูดผมก็ต้องพูด อย่างหนังสือเล่มนี้ (คนขวางโลก: การเดินทางเพื่อการเปลี่ยนแปลง) ผมจะเขียนยกย่องครูที่ผมรู้จัก
ตอนนี้ครูที่โรงเรียนผมท่านชื่อ สพรั่งพร้อม รัฐสมุทร กำลังจะเกษียณ ท่านสอนวิชาคณิตศาสตร์ ท่านเป็นครูที่ดีคนหนึ่ง เดือนกันยายนปีนี้ท่านจะเกษียณ ผมก็เลยทำกองทุนโดยลอกเลียนความคิดของ มูลนิธิเสฐียรโกเศศ นาคะประทีป มูลนิธิโกมล คีมทอง เราอยากทำให้กับครูที่ดีมีคุณค่า ก็เลยทำขึ้นมา แต่ผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องมุทิตาจิต สรรเสริญครูบาอาจารย์อย่างน่าเอียน เพราะตอนนี้สรรเสริญกันจนเอียนไปหมดแล้ว เกษียณกันที่หนึ่งอะไรก็ไม่รู้ ผมก็จัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อสรรสร้างความดี ความงาม และความจริงในโรงเรียน
ครูในอุดมคติเป็นแบบไหน
ครูในอุดมคติต้องเป็นครูที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรม ต้องเป็นครูที่มีอุดมคติ คนเป็นครูจะอยู่ได้ต้องเป็นครูที่มีอุดมคติ ซึ่งตอนนี้ครูส่วนมากไม่มีอุดมคติ สอนไปวันๆ อุดมคติของครูคืออะไร สอนให้สังคมเกิดความเปลี่ยนแปลง ทำให้นักเรียนมีความสุข ทำให้ระบบนิเวศยั่งยืน คุณต้องเห็นก่อนว่าคุณเป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากที่สุดที่จะปลูกฝังในหลายๆ เรื่องให้แก่นักเรียน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญของโลกต่อไป
มีวิธีประเมินคนเพื่อให้ความนับถือคนรุ่นก่อนอย่างไร
เราดูว่าเขามีความเป็นเลิศด้านไหน อย่างท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เราไม่สามารถปฏิเสธว่าท่านไม่ได้เป็นเลิศด้านวรรณกรรม จิตรกรรม กวีนิพนธ์ เราไม่สามารถปฏิเสธได้ เราไม่ได้ไปดูความคิดทางการเมือง นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง มันต้องดูแยกกัน เหมือนเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เขาเก่งในเรื่องกวีมากเลย เราก็ไม่อาจปฏิเสธเขาได้ เราต้องยกย่องเขาในเรื่องนั้น แต่เรื่องอื่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ความเชื่อใหม่ในยุคนี้คืออะไร คนรุ่นใหม่มักบอกว่าไม่เชื่อในคำบอกเล่าคำสอนของศาสนา พวกคุณเชื่อในอะไร
ความเชื่อใหม่ก็ยังเป็นศาสนา แต่เป็นศาสนาในรูปแบบอื่น เช่นศาสนาของ สตีฟ จ็อบส์ คนก็นับถือกันมาก เป็นศาสดาเลย ศาสนานิ้วกลม ศาสนาบริโภค ศาสนาเงิน มนุษย์เรามีหลายความเชื่อในตัวเอง มีความขัดแย้งในตัวเองอยู่ตลอด…อย่างผม จะเป็นพุทธอย่างเดียวก็ไม่ได้บางทีก็มีพราหมณ์ใช่มั้ย บางทีเราบอกว่านับถือวิทยาศาสตร์ แต่บางทีเราก็เกรงกลัวเหมือนนะถ้าไปลบหลู่ต้นไทร คนเรามันมีความกลัว บางทีเราก็ได้รับความคิดทางไสยศาสตร์ เราก็ต้องหาความพอดีให้กับมัน
สังเกตว่าคนรุ่นใหม่มักแสดงข้อคิดเห็นเชิงวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ สิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม หรือแม้กระทั่งความดี…เกิดอะไรขึ้น สิ่งเหล่านี้ไม่มีสัจจะอยู่ในตัวเลยใช่ไหม
ธรรมะ ผมมองว่าเป็นสิ่งไม่ตายตัว ธรรมะนั้นเป็นธรรมะของอะไร เป็นธรรมะของชนชั้นปกครองหรือเป็นธรรมะของผู้ถูกกดขี่ ถ้าเป็นธรรมะของชนชั้นปกครอง…ไปดูได้เลย ประเทศไทย ราษฎรไม่มีสิทธิ์อะไรเลยที่จะกำหนดธรรมะของตัวเอง ว่าธรรมะคืออะไร เรื่องการทำแท้งก็ไม่มีสิทธิ์ นักเรียนจะต้องไปเข้าค่ายศีลธรรม ซึ่งโรงเรียนก็มักจะจัดอยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเบื่อ นักเรียนไม่รู้หรือ ว่าตัวเองสามารถเป็นคนดีได้
ในความคิดของผมนะ คนดีคือคนที่มีจุดยืนในทางคุณธรรมเกี่ยวกับเพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ คนดีคือคนที่ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนคนอื่น ไม่กดขี่ข่มเหงคนอื่น นี่คือคนดี แต่ทีนี้ฝ่ายผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจ สถาบันโรงเรียนเขากำหนดความดีลงมา ความดีของเขาคืออะไร ความดีคือคุณไม่ทำผิดกฎหมาย คุณต้องทำตามกฎระเบียบโรงเรียน นี่คือความดี ทีนี้คนมันเบื่อคนมันเริ่มตั้งคำถามแล้ว ว่าแบบนี้มันตายซาก มันมีแต่จะฉุดรั้งความก้าวหน้าในสังคมไทย คนก็เริ่มตั้งคำถามกันมาก ผมรู้สึกว่าช่วงนี้เริ่มมากขึ้นนะ เมื่อก่อนไม่รู้นะว่ามีหรือเปล่า เดี๋ยวนี้มีเยอะ
ผมคิดว่าศาสนาพุทธบ้านเรานั้นแคบ คุณต้องทำแบบนี้ ถ้าทำแบบนี้ไม่ใช่พุทธ ต้องทำแบบนี้จึงเป็นพุทธ แม้กระทั่งไสยศาสตร์ คนกราบไหว้ต้นไม้มันก็เป็นพุทธแบบชาวบ้านนะ แล้วคนที่เรียนสูงๆ ก็บอกว่า ไม่ใช่พุทธ พวกเขาดูถูกพุทธชาวบ้าน
ทุกวันนี้กราบหมอน สวดมนต์ก่อนนอนไหม
ไม่กราบหมอน แต่เมื่อก่อนกราบหมอนก่อนนอน ผมสวดมนต์ก่อนนอน ผมสวดบทสวดขององค์ดาไลลามะก่อนนอน ผมนับถือหลายคน อย่างองค์ดาไลลามะ ผมชอบท่านมาก ก่อนนอนผมจะสวดว่า
‘ตราบเท่าที่อวกาศยังคงอยู่ ตราบเท่าที่สรรพสัตว์ยังมีชีวิตอยู่ ข้าฯขอดำรงคงอยู่เท่าตราบนั้น เพื่อทำลายความทุกข์ในโลกให้หมดสิ้นไป’
ผมชอบคำภาวนานี้ เพราะมันทำให้ระลึกว่า เราจำเป็นต้องมีอุดมการณ์ต่อสู้ต่อไป ผมจะหลับตาภาวนาบทนี้ 3 ครั้ง แล้วเข้านอน
(หมายเหตุ : ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับสมบูรณ์ได้ในนิตยสาร WAY ฉบับ 58)