เขามีงานอะไรเหรอ พี่คนขับแท็กซี่ถามผม งานรำลึกหกตุลาครับ ผมตอบ ความเงียบแทรกตัวเข้ามาชั่วขณะหนึ่ง แล้วพี่แท็กซี่ก็ถามต่อ หกตุลานี่เรื่องเป็นยังไงนะ คราวนี้ผมไม่ได้ตอบ ความเงียบยึดอำนาจของเสียงไปแล้ว
6 ตุลา เสียงลมจะพาล่องไป ชื่องานแสดงดนตรีที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร บ่ายที่ดวงอาทิตย์ซ่อนตัวอยู่หลังเงาเมฆ มีเพียงฝนที่ร่วงพรมตลอดทั้งวัน สี่โมงเย็นแล้ว กว่าผมจะไปถึงที่นั่น ผู้คนหนาตากว่าที่คาดไว้หลายเท่า เบียดแน่นคล้ายจะถ่ายโอนความอบอุ่นและความหวังให้คนข้างๆ
ผมเร่งเดินถ่ายภาพ ลอดช่องว่างระหว่างคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง เสียงดนตรีดังเข้ามาในอก ไม่นานเส้นผมก็เปียกปอน มองดูหนุ่มสาวราวกับพวกเขาเป็นดอกไม้ไม่หวาดหวั่น ฝนบางเบามีแต่จะทำให้ดอกไม้ผลิบาน ผมมองหามุมถ่ายภาพที่พอจะสื่อสารถึงเรื่องราวหกตุลา แต่เดินเท่าไรก็ยังไม่พบ ผู้คนมากมายจวนล้นพื้นที่
กระทั่งเบียดตัวเข้าไปถึงด้านใน ผมพบคนกำลังทำกิจกรรม มีหุ่นที่ผูกคอ มีคนถือเก้าอี้ ใจคิดว่าตัวเองโชคดี จะได้เก็บภาพเชิงสัญลักษณ์ แต่กดชัตเตอร์ไม่กี่ใบ ผู้คนที่ทำกิจกรรมตรงนั้นก็ค่อยๆ เก็บของพากันเดินออกไป ผมเป็นคนสายตาไม่ดี แถมเวลารีบหูก็มักไม่รับฟัง เลยไม่รู้ว่าเขามีอะไรกัน เสียงดนตรียังคงบรรเลง ผู้คนหันหน้าไปทางเวที จากตรงนั้นผมก้าวลัดด้านข้าง ก็ยังไม่เจออะไรที่อยากถ่ายมากนัก ไม่แน่ใจว่าเป็นเวลานานเท่าใด รู้ตัวอีกทีผมก็กำลังหาที่สูบบุหรี่ แต่แล้วจู่ๆ เสียงดนตรีก็หยุดลง ถึงทีของความเงียบที่คล้ายเป็นสิ่งแปลกปลอมในงานดนตรี
มีเสียงประกาศให้ใครสักคนเอาป้ายลง ตอนนั้นผมยังแอบนึกถึงป้ายไฟในงานคอนเสิร์ต จะให้เขาเอาลงทำไมนะ ผมคิด แล้วก็มีเสียงโห่เป็นระยะ ดังจากตรงนั้นทีตรงนี้ที ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งเดินมาพบกับคนกลุ่มหนึ่งกำลังตะโกนตอบคนบนเวที ผมเข้าไปถามพี่สาวคนหนึ่งในกลุ่มนั้น จึงรู้ว่าที่เปียกปอนอยู่ไม่ใช่แค่ฝน แต่อาจรวมสิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากภายในของพวกเขา อาจจะเป็นความโกรธ น้อยเนื้อต่ำใจ หรือสิ้นหวัง แต่หลังจากที่ผมคุยกับพี่สาวคนนั้น ผมคิดเอาเองว่าสิ่งที่อยู่ลึกที่สุดคือความเศร้า ความเศร้าที่ไม่อาจแสดงความเศร้าในวันที่ควรรำลึกถึงความโหดร้ายของหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่อาจได้รับความยินยอมให้แสดงความอาลัยต่อสาธารณะ แด่นักศึกษาและประชาชนในเดือนตุลาคม 2519
ผมบันทึกเสียงของพี่สาวคนนั้นกลับห้อง และต่อจากนี้คือเสียงที่คุณไม่ได้ยิน
“ชูป้ายแบบนี้ ทำให้งานเสียหายตรงไหน เราไม่ได้ไปชกไปต่อยใคร แค่ยืนชูป้าย ขวาพิฆาตซ้าย-ประโยคนี้มันเป็นอะไร ทำไมเจ้าหน้าที่ในนั้นต้องมาไล่เรา
“ใช่ค่ะ ก็แขวนชื่อว่าหกตุลา เราก็มารำลึกงานหกตุลา รำลึกถึงวีรชนของเราที่ถูกฝ่ายขวาฆ่า เราพูดความจริงไม่ได้เหรอคะ แค่แสดงจุดยืน แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เขาบอกว่างานจะรันไปไม่ได้เลยถ้าเรามาชูป้าย แค่ป้ายที่เขียนว่าขวาพิฆาตซ้าย ยกเลิก 112 เมื่อกี้เรามากันสิบกว่าคน พอเขาไล่ก็กระจัดกระจายกัน เรามาเพื่ออยากบอกว่าหกตุลา มันเกิดอะไรขึ้นกับประชาชนบ้าง ประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย เขาถูกกระทำยังไงบ้าง แต่ตรงนี้ เขาบอกว่างานรำลึกหกตุลา ทำไมไม่ให้เราแสดงสัญลักษณ์ สงสัยแค่นั้น และตอนนี้เราออกมาข้างนอกแล้วนะ ไม่ได้อยู่ในงาน ก็ยังประกาศว่าถ้ายังชูป้ายจะไม่แสดงดนตรี มันไม่ใช่แล้ว มันรุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอ การที่พวกพี่มาถือป้ายแบบนี้ หกตุลาเป็นเรื่องที่ขมขื่น เราอยากประกาศออกไป เพราะเขาพยายามจะลบเลือนประวัติศาสตร์ เราอยากมารำลึก เขาถูกฆ่ายังไง จับไปแขวนคอ เอาเหล็กแหลมมาตอกที่หน้าอก จับไปข่มขืน และใส่ร้ายว่าเป็นกบฏ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ฆ่าได้ไม่ผิด นี่เป็นสาเหตุที่เรารู้สึกโกรธ และไม่อยากให้เกิดขึ้นกับรุ่นลูกรุ่นหลานของเรา ที่เราออกมาเพราะอยากให้มันจบ การรัฐประหารจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก
“แน่นอนว่าการต่อสู้ของเราต้องมีเสียงเพลง และมีหลายองค์ประกอบที่ต้องพูดถึง แต่ถ้าเอาเสียงเพลงมากลบชีวิตของเพื่อนเรา ชีวิตของพี่น้องเราที่เสียสละ แล้วยังไงล่ะ ไอ้ที่เราต่อสู้มาตั้งแต่ต้น มันจะเป็นยังไง
“เราไม่โทษนักสู้ด้วยกัน หรือคนที่มาร่วมชุมนุม แต่เป็นตำรวจหรือคนที่คุกคามไม่ให้รันกิจกรรม แน่นอนว่าเขาพยายามทำให้เรากลัว เราฉีกความกลัวไปด้วยกันไหม ไม่งั้นสิ่งที่เราลงมือทำมาทั้งหมดมันสูญเปล่า จากติดคุกไม่กี่คน จนมาถึงตอนนี้เจอคดีไปกี่คน และถูกล้อมฆ่าล้อมปราบ อุ้มฆ่าอุ้มหายไปกี่คนแล้ว
“อยากจะพูดทิ้งท้ายไว้ว่าคนไทยเราควรจะโกรธได้แล้ว ในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ อย่าชินชากับเรื่องที่ผิดปกติจนกลายเป็นเรื่องที่ปกติ อยากจะให้ลุกขึ้นมาทวงศักดิ์ศรีคุณค่าของความเป็นมนุษย์ในตัวของประชาชนคนไทยทุกคน ว่าถูกกดขี่กดทับ ถูกปิดกั้นทุกอย่างด้วยมาตรา 112”
สองทุ่มครึ่ง ฝนตกลงมาอีกรอบ เหมือนรู้ว่าผมไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้จนจบ เปียกปอนเดินไปรอเรียกแท็กซี่ เสียงเพลงและเสียงเฮของผู้คนยังดังอยู่ แต่ดวงไฟซีดชื้นริบหรี่ราวกับจะดับแสง
เขามีงานอะไรเหรอ พี่คนขับแท็กซี่ถามผม