-1-
ทอดมองภูมิทัศน์ มหัศจรรย์…
โลกคือฝันตื่นหนึ่งก็พึงฝัน
เรามีเช้าที่ชื่นฟ้าอุ่นตาวัน
มีค่ำคืนที่เงียบงัน นวลจันทรา
‘ดาวทั้งหลายไม่เคยสร้างคุกขังตนเอง’*
เปล่งแสงเปล่งเท่าหนึ่งดาวจะพราวค่า
คนกลับสร้างกรอบติดปิดดวงตา
อยากเป็นดาวอนาถาของฟ้าใด?
ผลักไสความสุขไกลไปจากสุข
รับเอาความร้าวรุกทุกข์พอไหม?
นาฬิกาชีวิตติดกลไก
ไขลานไปสู่วันอันทรมา
เปิดสิเปิดดวงตา แย้มหน้าต่าง
ให้แสงสว่างส่องไล้อุ่นใบหน้า
สัมผัสสายลมบ้างในบางครา
ดอกไม้เช้าแตกช่อช้า เงยหน้าบาน
-2-
เงียบ มืด หนาว ราวนรกหนอโลกนี้
วาวแสงสียังไล่ส่งลงสุสาน
เริงระบำตามจังหวะคีตวาร
วอลซ์แห่งการจากลา ท่าสุดท้าย
มีแต่มุมเศร้าเศร้า เคล้าเพลงโศก
ใช่ไหมโลกคือกับดักความหักสลาย?
กักขังคนในหล่มต่ำดิ่งน้ำตาย
หรือแขวนคอกับความหมายของข่ายใย
โยงสัมพัทธ์จัดสรร พันธนาการ
ผลักวิญญาณเหยียดแขนกล้าออกคว้าไขว่
คว้าต่ำระส่ำทรุดลงจุดใด
เอื้อมสูงขึ้นคว้าไกลถึงไหนกัน
ขับโลกเคลื่อนด้วยอาฆาตแห่งปรารถนา
เพิ่มบาดแผลแห่งเวลา ใบหน้าหวั่น
ดวงหน้าหนึ่งจ้องอีกหน้า ดวงตานั้น
ประกายแห่งความฝัน บรรลัยแล้ว!
-3-
โลกไม่ใช่ทั้งสุข และทุกข์เศร้า
ความว่างเปล่าคือตรงกลางที่ร้างแผ่ว
เห็นไหมเล่าในมืดดับอันลับแวว
ยังพบแก้วก่ำสุกดั่งมุกสกาว
อยู่ในโลก ง่ายและเรียบ เหยียบโลกเล่น
อย่าเผลอเป็นผู้แบกหามและสามหาว
นอนดูดาวร่วงดับลับอีกดาว
ไม่ร้อนหนาวอนาทรช่วงตอนใด
อยู่เหนือกรอบคุกขังสองฝั่งฟาก
เหนือคมขวากและขอบข่ายเส้นสายไหน
เฝ้ามองโลกเคลื่อนคลารุดหน้าไป
เท้ากระดิกไร้สั่นไหวในอารมณ์
-4-
ความถูกต้องไม่เคยมีที่สิ้นสุด
หากหนึ่งชุดความเชื่อเหลือจะข่ม
ประหารฆ่ากันได้แค่ผายลม
เพียรลับคมถ้อยคำใช้ทำลาย
โลกสวยงาม ต่างทิวทัศน์ เหมือนจัดสรร
คลื่นขุนเขา เงาจันทร์ ตะวันฉาย
ความมืดหนาวราวนิรันดร์อันเปลี่ยวดาย
เมฆพร้อยสายรายเรื่ออยู่เหนือฟ้า
ชีวิตหนึ่งซึ่งลี้ลับและซับซ้อน
ต่างบทตอนแห่งชีวิต ปริศนา
ทอทัศนียภาพขึ้นทาบทา
สุข เศร้า เปล่าค่า มาจากใคร?
หลากพื้นปูม ภูมิทัศน์ มหัศจรรย์
โลกคือฝันตื่นหนึ่ง ฝันถึงไหน?
ยืนเดียวดายบนหอร้างอ้างว้างใจ
กอดความเชื่อความใช่ ไม่รับรู้!?
-5-
พลีวิญญาณเป็นโจรร้ายลักสายลม
ปักใจจมหล่มความเชื่อเหนือที่อยู่
ฉวยความเชื่อหนึ่งแล้ว ยกแก้วชู
รู้ทั้งรู้ไม่ควรใครปักใจครอง
ครอบครองความชื่นพรายสายลมพรู
มิเคยรู้ความฉิบหายจากสายลม
หมายเหตุ: *วรรคหนึ่งจากบทกวีของ ติช นัท ฮันห์
โกศล สิทธากร