คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อ 28 มิถุนายน 2565 ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เตรียมดำเนินการอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชใต้ดินที่จังหวัดอุดรธานี แหล่งอุดรใต้ บนพื้นที่ 26,446 ไร่ 1 งาน 49 ตารางวา ตามคำขอประทานบัตรทำเหมืองใต้ดินที่ 1-4/2557 จำนวน 4 แปลง โดยอารัมภบทว่าเป็นโครงการที่ อก. โดยความเห็นชอบของ ครม. ได้ออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเมื่อ 11 มิถุนายน 2523 เชิญชวนบริษัทต่างๆ ยื่นขอสิทธิ ‘สำรวจ’ และ ‘ผลิต’ แร่โปแตชในภาคอีสาน ซึ่งบริษัท ไทยอะกริโกโปแตช จำกัด ที่มีบริษัทสัญชาติแคนาดาเป็นเจ้าของ ได้ยื่นขอรับสิทธิดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ต่อมา ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2527 อนุมัติร่างสัญญาให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองโปแตชในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี อก. จึงได้ลงนามในสัญญาดังกล่าวกับบริษัท ไทยอะกริโกฯ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2527 ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยมีบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งประธานบริษัทเป็นผู้ฆ่าเสือดำในป่าทุ่งใหญ่ฯ เข้ามาเป็นเจ้าของถือหุ้นเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์แทน
‘สัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โปแตชในจังหวัดอุดรธานี’ คือชื่ออย่างเป็นทางการของสัญญาดังกล่าว เป็นสัญญาที่ให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โปแตชครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่มากถึง 2,333 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1.5 ล้านไร่ เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทฯ ดำเนินการ ‘สำรวจ’ และ ‘ผลิต’ แร่โปแตช หรือแร่ชนิดอื่นๆ อีกหากสำรวจพบ บนพื้นที่ขนาดใหญ่มากๆ ซึ่งเป็นการทำสัญญาจับจองพื้นที่แหล่งแร่เพื่อการ ‘สำรวจ’ และ ‘ผลิต’ (หรือทำเหมืองแร่) ล่วงหน้าไว้ก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับอาชญาบัตรให้สำรวจแร่และประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่แต่อย่างใด
จึงมีคำถามที่สำคัญตามมาว่า การทำสัญญาบนพื้นที่ขนาดใหญ่ลักษณะนี้กระทำภายใต้บทบัญญัติใดของกฎหมายแร่ฉบับเก่า (พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510) รวมถึงกฎหมายแร่ฉบับใหม่ (พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560) ด้วย อันเป็นกฎหมายหลักในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและคุณสมบัติการให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ทุกชนิด ขนาดและประเภท
เพราะเมื่อดูลงไปในรายละเอียดรายมาตราของกฎหมายแร่ฉบับเก่า (รวมถึงกฎหมายแร่ฉบับใหม่ด้วย) จะพบเพียงว่ากฎหมายได้เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนในกิจการเหมืองแร่ต้องดำเนินการขอสัมปทานเพื่อสำรวจและผลิต/ทำเหมืองแร่เป็นขั้นเป็นตอน กล่าวคือ ผู้ลงทุนในกิจการเหมืองแร่ต้องเริ่มขอ ‘สัมปทานสำรวจแร่’ หรือที่เรียกว่าขอ ‘อาชญาบัตร’ เสียก่อน และเมื่อได้รับอนุญาตอาชญาบัตรแล้วได้ทำการสำรวจพบว่ามีแร่ที่ประสงค์ในเชิงพาณิชย์ คุ้มค่าในการลงทุน ก็จะต้องดำเนินการขอ ‘สัมปทานทำเหมืองแร่’ หรือที่เรียกว่าขอ ‘ประทานบัตร’ เพื่อให้ได้รับอนุญาตประทานบัตรในลำดับขั้นต่อไป ซึ่งถือเป็นสาระสำคัญของกฎหมายแร่ทั้งฉบับเก่าและใหม่ที่วางระบบสัมปทานปกติเอาไว้
จึงไม่มีบทบัญญัติมาตราใดเลยทั้งกฎหมายแร่ฉบับเก่าและใหม่ที่อนุญาตให้ทำสัญญาลักษณะนี้ ซึ่งอาจจะเรียกว่าระบบสัญญาผูกขาด ครอบลงไปในระบบสัมปทานปกติอีกชั้นหนึ่ง
ดังนั้น จึงมีปัญหาตามมาว่าคำขอประทานบัตรทำเหมืองใต้ดินที่ 1-4/2557 ทั้ง 4 แปลง ของบริษัทฯ ที่ ครม. มีมติไปเมื่อ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา ให้ อก. เตรียมดำเนินการอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชใต้ดินที่จังหวัดอุดรธานี แหล่งอุดรใต้ บนพื้นที่ 26,446 ไร่ 1 งาน 49 ตารางวา เป็นคำขอที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?
เมื่ออ่านสัญญาฉบับนี้ทั้งฉบับ มองลึกเข้าไปข้างใน จะพบว่าสิ่งที่บริษัทฯ จะได้ ไม่ใช่เพียงแค่การทำเหมืองแร่โปแตชตามคำขอประทานบัตรทั้ง 4 แปลงดังกล่าว (หาก อก. จะดำเนินการอนุญาตประทานบัตรตามมติ ครม. เมื่อ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา) แต่ยังมี ‘แหล่งอุดรเหนือ’ อีกที่คาดว่าพบแร่โปแตชในเชิงพาณิชย์แล้วในปริมาณใกล้เคียงกับแหล่งอุดรใต้ และยังสามารถครอบครองพื้นที่ 1.5 ล้านไร่ ไว้ได้ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวเพื่อหาประโยชน์ในการขอสัมปทานสำรวจและผลิตแร่โปแตชและแร่ชนิดอื่นๆ ในบริเวณอื่นๆ ของพื้นที่ 1.5 ล้านไร่ ได้อีกยาวนานด้วย เพราะเป็นสัญญาที่ไม่กำหนดวันสิ้นสุดสัญญา (สัญญาเป็นนิรันดร์กาล)
ดังนั้น สัญญาดังกล่าวจึงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าเป็นสัญญาที่ขยายอำนาจในการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจแร่และสัมปทานทำเหมืองแร่ของเจ้าหน้าที่รัฐมากเกินไปกว่าขอบเขตที่กฎหมายแร่ทั้งฉบับเก่าและใหม่ได้บัญญัติไว้ โดยใช้อำนาจฝ่ายบริหารผ่านมติ ครม. เพื่อเอารัฐและราชการ (ซึ่งมีประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ) ไปรับประกันความเสียหายไม่ว่ากรณีใดๆ ว่ารัฐและราชการจะเอื้อประโยชน์ให้ถึงที่สุดให้บริษัทฯ ได้รับสัมปทานที่เป็นอาชญาบัตรเพื่อการสำรวจแร่และประทานบัตรเพื่อทำเหมืองแร่อย่างแน่นอน
หากแม้ยังไม่ได้รับสัมปทานที่เป็นอาชญาบัตรเพื่อการสำรวจแร่หรือประทานบัตรเพื่อทำเหมืองแร่ ไม่ว่าด้วยเหตุผลหรือกรณีใดๆ ก็ตาม สัญญาดังกล่าวจะทำการคุ้มครองพื้นที่ให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โปแตช 1.5 ล้านไร่ ไว้ให้กับบริษัทฯ แต่เพียงผู้เดียวโดยไม่กำหนดวันสิ้นสุดสัญญา