ปรัชญาไมค์: ชีวิตไม่ใช่คำคล้องจอง ไม่ง่ายต่อการท่องจำ

“มีอีกไหมพี่” เป็นคำที่ Lazyloxy โปรดิวเซอร์รายการ Show Me The Money Thailand พูดขึ้นขณะที่ ปรัชญาไมค์ กำลังสบถถ้อยคำออกมาเป็นไรม์ ก่อนที่เขาจะตกรอบ

“เรายอมรับการตัดสินตั้งแต่ใบสมัครแล้ว ไม่คิดว่ารายการเขาจะให้แอร์ไทม์เราด้วย แค่ให้แอร์ไทม์เราก็ถือว่าเป็นพระคุณอย่างสูงเลย เราแค่ต้องการที่จะกระจายสารให้ถึงทุกคนมากที่สุด ส่วนผลแพ้ชนะเราไม่ได้คิดถึงมันเลย แค่อยากจะเล่าในเรื่องตัวเองที่อยากเล่าก็แค่นั้น ที่เหลือมันจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษก็ไม่ใช่เรื่องของเราแต่มันเป็นเรื่องของพวกคุณแล้ว”

ปรัช-ปรัชญาวัชร แก้วศรี หรือชื่อในวงการฮิปฮอปที่ทุกคนต่างพากันเรียกก็คือ ปรัชญาไมค์ หลายคนจะจดจำคาแรคเตอร์ของเขาในการแร็ปที่ใช้ภาษาไทยได้สละสลวยสวยงามคนหนึ่งในวงการ เป็นหนึ่งในแร็ปเปอร์ที่วนเวียนผ่านศึกมาหลายเวที เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ชีวิตไปผูกติดกับวัฒนธรรมฮิปฮอปตั้งแต่ เต้นบีบอย กราฟฟิตี้ หรือแร็ปเปอร์

“เราคิดว่าความฝันอันสูงสุดของเราก็คือการเป็นศิลปินแห่งชาตินะ” เขากล่าวติดตลก ต่อหน้าแก้วเบียร์ยามบ่าย

คุณเติบโตมาแบบไหน สนใจภาษาไทยตั้งแต่ตอนไหน

ผมเติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง ไม่ได้รวยและก็ไม่ได้จนเท่าไหร่ พ่อของผมเป็นคนชอบเขียน เท่าที่จำความได้จะเห็นข้อความที่อยู่ข้างประตูบ้านเขียนว่า ‘จักขออยู่อย่างมัธยัสถ์’ เราก็งง จัก แปลว่าอะไร มัธยัสถ์คืออะไร แล้วทำไมต้องอยู่อย่างมัธยัสถ์ ตอนเด็กเกิดความสงสัยเต็มไปหมดเลย

พอเริ่มโต ได้ศึกษาได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มสนใจว่าการแปลความหมายมันมีคุณค่า ตอนนั้นเราชอบเอาชื่อคนไปนั่งแปล อย่างเช่นชื่อจริงของเราชื่อ ปรัชญาวัชร เราก็ทดลองเริ่มจากอะไรเล็กๆ ก่อน ปรัชญา หมายถึงอะไร วัชร หมายถึงอะไร หลังจากนั้นก็เริ่มหลงใหลในอักษร ภาษา ความลึกล้ำของสาร เวลาเห็นอะไรก็ชอบอ่านชอบแปลงมัน

เราเติบโตมาในยุคที่แนวโอลด์สคูลเฟื่องฟู ช่วงนั้นจะมีเพจใต้ดินอันเดอร์กราวด์ดังมากเลยชื่อว่า Siam Hiphop หลายๆ คนในเพจก็จะฮิตเข้าไปพิมพ์ไรม์กันเยอะมาก ศิลปินดังๆ ก็เติบโตมาจากที่นั่นเหมือนกัน ตอนนั้นเราก็ติดเพลงอันเดอร์กราวด์ของเชียงใหม่ เช่น SO4, DC ที่อยู่แถวภาคเหนือ เราชอบแร็ปเปอร์ทุกคนเลยคนไหนมีข้อดียังไงเราก็จะหยิบมาใส่ให้เป็นตัวเอง

สิ่งที่น่าหลงใหลของเพลงแนวโอลด์สคูล มันเล่าเรื่องที่เป็นตัวเอง เราไม่รู้เหมือนกันว่าแนวเพลงสมัยนี้เป็นอย่างไรนะ แต่โอลด์สคูลที่เราเคยทำล้วนเต็มไปด้วยการเล่นคำ มีการที่ใช้ศัพท์สแลงเยอะกว่า มันแตกต่างจากเพลงสมัยนี้มาก อธิบายยากเหมือนกันแต่ก็ต้องลองนึกภาพดูเหมือนคุณฟังเพลงยุค 90s กับเพลงยุคนี้ ถึงมันจะฮิตเหมือนกันแต่ความรู้สึกก็แตกต่างกันอย่างชัดเจนเลย

ชีวิตแร้นแค้นขนาดนั้นหรือถึงต้อง represent แต่เรื่องชีวิต

เราโตมาในครอบครัวฐานะปานกลางถ้าใช้หมดก็คือหมด เราไม่ได้มีอะไรมากขนาดนั้น แต่ที่เราชอบพูดเรื่องชีวิตการดิ้นรนของชีวิต เพราะเราเห็นค่าของมัน เราเลยพูดลงในเพลงที่เราตั้งใจแต่ง

ใครให้ค่าเงินทองให้ค่าเครื่องประดับ เพชร พลอย ยาเสพติดอะไรก็ตามแต่ แต่เราให้ค่าแก่ชีวิตเรามากกว่า เราให้ค่าแก่การดิ้นรน ให้ค่าแก่ความลำบากของแต่ละคน เพราะแต่ละคนชีวิตลำบากไม่เหมือนกัน ไม่ว่าเราหรือนายออกไปจากที่นี่ก็ต้องไปเจอโลกของตัวเองต้องไปเจอกรรมของตัวเอง เพลงของเราก็พูดแต่เรื่องตรงนั้น ทุกคนมันก็สู้ด้วยกันหมด

เพลงเราที่มันฟังยากก็เพราะว่า มันไม่มีใครเข้าใจในชีวิตเราหรอก เราแค่เขียนชีวิตของเราชีวิตของปรัชญาไมค์ คุณไม่มีทางเข้าใจในชีวิตเราหรอก สิ่งที่คุณควรจะเข้าใจก็คือชีวิตคุณเอง เพลงของเราคุณแค่รู้สึกถึงมันก็พอแล้ว เพราะว่าเพลงที่เราทำไม่ได้ทำหน้าที่ของสมองซีกซ้ายแต่เป็นสมองซีกขวาที่ช่วยเติมเต็มในเรื่องจินตนาการ ความรู้สึก มากกว่าความเข้าใจ

แสดงว่าทุกวันนี้ชีวิตก็ยังดิ้นรนอยู่

ก็ยังดิ้นรนอยู่ ทุกคนก็ยังดิ้นรน นายก็ดิ้นรนอยู่จริงไหม ต่อให้มีเงิน 10 ล้านในบัญชีเราก็ยังต้องทำเพลงต่อ ก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป เพราะว่ามีแต่คนตายหรือเปล่าที่ยังอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย

สิ่งที่ผมทำผมยัดแนวคิดลงไปด้วย สมมุติถ้าพรุ่งนี้ไม่มีไฟล์เพลงเหลืออยู่ คอมพิวเตอร์ไม่มีเหลืออยู่ สิ่งที่ทุกคนจะจำผมได้ก็คือแนวคิดประหลาดๆ ที่ผมพูดไว้ แต่ถ้าเป็นเพลงเกี่ยวกับฉันรักเธอทุกคนก็จะแล้วไง ฉันรักเธอก็มีเป็นร้อยเพลง กลับกันนะ ถ้าพูดว่า ไอ้เหี้ย! มึงก็ออกมาสู้ชีวิตดิวะ ก็มึงลำบาก ก็มีแค่ปรัชญาไมค์คนเดียวหรือเปล่าที่พูดแบบนี้ เพราะเราให้ค่ากับชีวิตมากกว่าเพราะเราเห็นค่ามัน สมมุติคุณแย่คุณอยากจะฆ่าตัวตายแต่ชีวิตคุณมีค่า คุณคู่ควรกับการมีชีวิตอยู่กว่านั้น ก็แค่นั้น เพราะสิ่งที่ผมพูดแม่งเป็นเรื่องสามัญ มันปกติมากเลย

และสิ่งที่เห็น คือสิ่งที่ร่างได้สร้างวังเป็นอนุสรณ์
ความจริงและสิ่งที่เป็น คือเรามีจุดหมายของการอธิษฐาน
คือการรำลึกถึงสรรพสิ่งที่ต่างต้องสูญสลาย เพราะต่างต้องพบพาน เพื่อพลัดพรากให้ถวิลหา
ถึงนัยน์ตาไม่อาจเห็นผู้ที่จากไป แต่สิ่งที่ต่างไปคือยังรู้สึกว่าไม่ห่างไกล
เป็นไอหมอกที่เราได้สูดหายผ่านใจ กลายเป็นแสงแดดเป็นลมที่พัดซัดผ่านไป
และไม่ว่าใครก็จะเข้าใจได้ไม่ต่างกัน ต่างต้องสูญเสีย พบเจอ และจากให้จดจำ
มีเรื่องต่างๆ ให้ข้ามผ่านก่อนจะผ่านวัน but we’re not alone you need to know ว่าเราไม่ลำพัง
เพราะเกิดขึ้นตั้งอยู่ล้วนเป็นสามัญ เกิดขึ้นกับแตกดับต่างผสานกัน
แต่สิ่งที่ทำให้คนได้จำจะกล่าวยังขานกัน จะอยู่ไปเพื่ออะไรมันคงไม่ใช่แค่ปริศนาธรรม

ไรม์ที่ยังไม่มีชื่อของปรัชญาไมค์

ทั้งปรัชญาไมค์หรือวง foolest เห็นได้ว่าเป็นศิลปินอิสระ ทำไมถึงไม่ยอมสังกัดค่าย

จริงๆ อาจจะไม่มีใครมาจ้างด้วยแหละ ถึงมีค่ายมาจ้างเราก็จะไม่ยอมไปกัน ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาไมค์หรือวง foolest เพราะเราเชื่อว่าเราเป็นอยู่แบบนี้ดีแล้วไม่ต้องให้อะไรมาครอบเรา ถ้าสมมุติเรามีค่ายทุกอย่างมันอาจจะดีขึ้นก็จริงหรือยอดขายเราอาจจะเยอะขึ้น แต่ก็แล้วไงถ้าคุณไม่ได้พูดเนื้อหาที่คุณอยากพูดจริงๆ ถ้าคุณเป็นศิลปินนะตื่นมาคุณก็ต้องคิดถึงงานศิลปะของคุณแล้ว ถ้าคุณอยู่กับงานศิลปะตลอดเวลา นั่นแหละคุณคือศิลปิน

มีช่วงหนึ่งของชีวิตเราพยายามทำอัลบั้มไว้ฟังเองเรานั่งเขียนเพลง 18 ชั่วโมง คือเราจมอยู่กับมันเลย ตื่นมากินข้าวแล้วก็เขียนเพลงต่อแบบนี้ทุกวัน เราแค่ต้องทำในสิ่งที่เราชอบเราเลือกที่จะเป็นศิลปินก็ต้องอยู่กับงานศิลปะ เราก็ต้องจมอยู่กับมันให้ได้นานที่สุดเพื่อที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีออกมา

ลองมองย้อนดูนะ พ่อแม่เราไม่ได้ลำบากเราไม่ได้มีอะไรต้องห่วงอยู่แล้ว เราก็ต้องทำหน้าที่นักเขียนเพลงให้เต็มที่ แต่ถ้าพ่อแม่เราป่วยอยู่เราจะมานั่งเขียนเพลงแล้วไม่เอาเงินก็ไม่ได้ ตอนนี้เราสามารถทำอะไรได้เราก็อยากจะกระจายความคิดของเราออกมาให้มากที่สุด ถึงแม้มันจะเข้าถึงหูคนแค่คนเดียวแต่ก็มากเพียงพอแล้วสำหรับเรา

ไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องการเงินนะ แต่ว่าเราอยากได้เงินที่ซื้อเนื้อหาเราจริงๆ ไม่ใช่ซื้อชื่อเราไป มันมีหลายงานที่ขอเอาปรัชญาไมค์ไป featuring หน่อยแล้วก็ให้เงินเราแต่เราไม่อยากทำ มันน่าดีใจตรงไหนวะมันเหมือนโดนบังคับ เอาจริงๆ ไม่มีความสุขเลย

จากประเด็นที่ Lazyloxy กล่าวในรายการ Show Me The Money Thailand ว่า “ไม่อยากฟังแร็ปที่พูดเกี่ยวกับความพยายามดิ้นรนอดทนกับความลำบากเพื่อขึ้นไปยังจุดสูงสุด แต่อยากฟังอะไรที่มันจับต้องได้ เช่น วันนี้คุณไปกินข้าวที่ไหนมาก่อนมาแร็ปรายการนี้ ทุกคนพยายามพูดถึงอะไรที่เป็นนามธรรม ฟังแล้วมันย่อยยากมาก ไม่สามารถเอาไปทำเพลงได้” คำกล่าวข้างต้นนี้ปรัชมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง

ที่จริงมันอาจจะเป็นทัศนคติส่วนตัวของเขากับเพลงแบบนี้ที่่ประสบความสำเร็จ เขาอาจจะจำมาเป็นสูตรสำเร็จ แต่เราพยายามจะที่เข้าใจศิลปะจึงมาค้นพบว่ามันไม่จำเป็นต้องเข้าใจเลย กลับใช้ความรู้สึกต่างหาก ถ้าคุณรู้สึกถึงความเกรี้ยวกราด เศร้าโศก เปลี่ยวเหงา นั่นแหละมันประสบความสำเร็จในทางศิลปะ เพลงที่เราทำอยากจะพยายามสื่อถึงนามธรรมเพราะมันกว้างขวางกว่า ไม่ได้แบนราบเหมือนผ้าใบ เพลงพวกนี้ก็คือคลื่นเสียงที่จะนำไปสู่สมองเหมือนกัน

เพลงที่เราทำมันก็แค่เขียนให้เป็นนามธรรมเสมือนภาพวาดที่ถูกบิดเบือนไปจนทำให้ทุกคนได้คิดแตกฉานหลากหลายกันมากขึ้น ตอนที่เราพูดว่า “มีเครื่องเพชร พรมรองตอนที่ตบเกล้า” พวกคุณอาจจะคิดถึงทหารคนหนึ่ง แต่เราพูดถึงดาราฮอลลีวูด แต่ความเป็น abstract หรือความยิ่งใหญ่ของสาร คือคุณอาจจะคิดเป็นอะไรก็ได้ เราจึงเขียนออกมาในรูปแบบนามธรรม

ศิลปะที่กำลังทำได้ไปเชื่อมโยงถึงการเมืองบ้างหรือเปล่า

ถ้าให้พูดแบบจริงใจเลยนะ เรามองตัวเองเป็นศิลปินคนหนึ่ง เป็นนักเขียนเพลง นักวาดภาพ นักเต้น เราไม่ใช่คน ignorance เราไม่ใช่คนที่ไม่สนโลก เราพยายามและผลักดันในสิ่งที่ถูกต้อง

จุดยืนของเราก็คือเป็นศิลปินนั่นแหละครับ เราเชื่อว่า ดนตรี กวี ศิลปะ พวกนี้สามารถชักจูงใจคนได้ เราก็เชื่อในความถูกต้องเชื่อในเรื่องของความแฟร์ เรามองโลกแบบกลางๆ เราเลยเห็นคนทั้งสองฝั่งทะเลาะกัน เราจึงเขียนเพลงชื่อว่า บอดสี เพราะอยากให้ทุกคนตาบอดสีกันให้หมดเพื่อที่จะไม่แบ่งแยกกันและกัน แต่มนุษย์ก็จะหาเรื่องที่ต้องแบ่งแยกกันอยู่ดีมันอาจจะเป็นเรื่อง นายใส่กระโปรง ฉันใส่กางเกง อะไรก็ได้เพราะเราแม่งเป็นมนุษย์เว้ย ก็ต้องมาย้อนกลับในศิลปะที่เราทำมันพยายามจะพูดถึงเรื่องชีวิตเพราะมันคือสามัญที่สุดแล้วที่ทุกคนต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นซ้ายจัดหรือขวาจัด เราเป็นศิลปินเพื่อมนุษย์ทุกคน นั่นแหละคือความพยายามที่จะพูดจนถึงทุกวันนี้

แต่เห็นว่ายังไป featuring กับกลุ่ม Rap Against Dictatorship ซึ่งเพลงที่ติดหูคนมากที่สุดก็คือ ‘ประเทศกูมี’ ไปข้องแวะกันได้อย่างไร

ผมเชื่อในความถูกต้อง ที่เข้าไปเพราะเป็นโปรเจ็คต์เพลง Peace ไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรกันอยู่ เราแค่อยากไปพูดไปเป็นตัวแทนของความเป็นมนุษย์เพราะเรามีความสงสัยเต็มไปหมดว่า ทำไมเราทุกคนถึงไม่เท่ากัน ทำไมเราทุกคนถึงต้องให้อีกฝ่ายผิดเพื่อที่ตัวเองจะได้ถูกเหรอ เราแค่อยากเห็นความสงบสุข ใครที่มันเห็นคนตายแล้วมันมีความสุขวะ ก็จะมีแต่คนวิปริตเท่านั้นแหละ

เราเป็นศิลปิน เราเขียนและบันทึกธรรมชาติไม่ว่าโลกจะเกิดอะไรขึ้นเพลงเราได้บันทึกช่วงเวลา ณ ขณะนั้นไว้หมดแล้ว เพราะมนุษย์แม่งเป็นสิ่งเดียวที่เข้าใจการเข้ารหัสของสารที่มันแฝงไว้อยู่ มีภาษาพูด สามารถแฝงความหมายในสารได้อีก ที่จะพูดก็คือว่าสิ่งที่เราทำคือศิลปะของยุคนี้ถ้าเปรียบเป็นยุคก่อนก็เสมือนคนวาดรูปในผนังถ้ำ เราจารึกอักษรผ่านกระดาษผ่านบทเพลง เพื่อแปลเป็นสารให้ทุกคนได้เห็นและได้ฟัง ส่วนที่เหลือไม่ใช่หน้าที่ของเราแล้วแต่เป็นหน้าที่ของเวลาและผู้รับสาร

Author

สิทธิกร ขุนนราศัย
วิดีโอครีเอเตอร์รสมือจัดจ้านของ WAY สนใจตั้งแต่วัฒนธรรมตลาดล่างจนถึงประวัติศาสตร์กรีกโบราณ เติบโตมาในยุคสมัยที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนิยมผลิตวาทกรรมคนดี นี่อาจเป็นแรงถีบให้เขาเลือกนิยามตัวตนตรงกันข้าม และนิยมคลุกคลีกับ 'คนพรรค์นั้น' ในเพจ เดอะ ลูซเซอร์ คลับ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า