เรื่อง: เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์
ภาพประกอบ: antizeptic
องค์ประกอบหลักของการชุมนุมสาธารณะตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 หรือ ‘กฎหมายชุมนุมสาธารณะ’ เกี่ยวข้องอยู่สองเรื่อง
เรื่องแรกเกี่ยวข้องกับลักษณะหรือประเภทของ ‘กิจกรรม’
ตามมาตรา 3[1] ที่กำหนดว่ากิจกรรมประเภทใดบ้างอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายฉบับนี้ที่ต้องแจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งหรือเจ้าพนักงานเสียก่อนจึงจะได้รับความคุ้มครองและอำนวยความสะดวกให้เกิดการชุมนุมได้ ส่วนลักษณะหรือประเภทของกิจกรรมใดที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายฉบับนี้ก็สามารถทำได้เลยโดยไม่ต้องแจ้งการชุมนุมก่อน
เรื่องที่สองเกี่ยวข้องกับ ‘สถานที่’
ตามมาตรา 7[2] ที่ห้ามไม่ให้มีการชุมนุมในสถานที่บางประเภท ส่วนการชุมนุมในสถานที่อื่นนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในมาตรา 7 ให้ถือว่าอยู่ในบังคับที่ต้องได้รับความคุ้มครองและอำนวยความสะดวกตามกฎหมายฉบับนี้ โดยมีเงื่อนไขไม่กีดขวางทางเข้าออก หรือรบกวนการปฏิบัติงานหรือการใช้บริการสถานที่สำหรับสถานที่บางประเภทตามมาตรา 8[3] แต่ไม่ได้ห้ามการชุมนุมในสถานที่บางประเภทตามที่ระบุไว้ในมาตรา 8 แต่อย่างใด
ดังนั้น ถ้าการชุมนุมใดไม่ใช่กิจกรรมและสถานที่ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 3 และมาตรา 7 ก็ควรได้รับความคุ้มครองและอำนวยความสะดวกให้ชุมนุมได้ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ โดยเฉพาะกิจกรรมที่ถูกยกเว้นให้ไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายฉบับนี้ตามมาตรา 3 ยิ่งสามารถทำได้เลยโดยไม่ต้องแจ้งการชุมนุมตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายฉบับนี้
ประเด็นสำคัญต่อเนื่องมาคือ เมื่อพิจารณาในแง่ของ ‘กิจกรรม’ และ ‘สถานที่’ อันเป็นองค์ประกอบหลักตามกฎหมายฉบับนี้แล้ว จะพบว่าบทบัญญัติทุกตัวอักษรของกฎหมายฉบับนี้ไม่มีคำว่า ‘การเมือง’ หรือคำที่มีความหมาย/นัยยะเดียวกันหรือใกล้เคียงกันแม้สักคำเดียว นั่นหมายความว่าอะไร?
หมายความว่าไม่มีข้อห้าม ‘การชุมนุมการเมือง’ ในกฎหมายฉบับนี้ ทั้ง ‘การชุมนุมการเมือง’ และ ‘การชุมนุมไม่การเมือง’ ก็ล้วนถูกรับรองให้กระทำได้ภายใต้กฎหมายฉบับนี้
แต่ทำไมตลอดเกือบสามปีนับตั้งแต่เริ่มประกาศใช้บังคับกฎหมายฉบับนี้ สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมการเมืองจึงหายไปจากกฎหมายฉบับนี้ มีสองสาเหตุหลัก
สาเหตุแรกมาจากคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ในข้อ 12 ที่ระบุไว้ว่า
ผู้ใดมั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใด ที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่เป็นการชุมนุมที่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ด้วยคำสั่งนี้เองที่ขโมยการชุมนุมการเมืองไปจากรัฐธรรมนูญและกฎหมายชุมนุมสาธารณะ โดยใช้ ‘จำนวน’ เป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่าการชุมนุมใดก็ตามที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปถือว่าเข้าข่ายการชุมนุมการเมืองทั้งสิ้น ซึ่งเป็นดุลพินิจที่คับแคบและขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายชุมนุมสาธารณะเพราะไม่ได้คำนึงถึงพฤติการณ์ของผู้ชุมนุมมาประกอบในการใช้ดุลพินิจ
คำสั่งนี้เปิดโอกาสให้เจ้าพนักงานสามารถใช้ดุลพินิจและกำหนดนิยามตามอำเภอใจได้ ในเมื่อเป็นคำสั่งที่ไม่กำหนดนิยามของคำว่า ‘มั่วสุม’ ‘มั่วสุมทางการเมือง’ ’ชุมนุมทางการเมือง’ ไว้ และไม่บังคับให้เจ้าพนักงานใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึง ‘จำนวน’ และ ‘พฤติการณ์’ ประกอบกัน จึงมักพบกรณีห้ามไม่ให้มีการชุมนุมและฟ้องคดีต่างๆ อยู่เสมอว่าเจ้าพนักงานจะคำนึงถึง ‘จำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป’ เป็นเรื่องหลักในการพิจารณาว่าการชุมนุมใดเข้าข่ายขัดคำสั่งนี้หรือไม่ ส่วนจะมีพฤติการณ์มั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองหรือไม่ ในขณะที่ยังหานิยาม หลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไขใดๆ ที่ชี้ชัดไม่ได้ สนใจเพียงแค่ว่าการชุมนุมใดๆ ก็ตามที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปให้ถือว่าเป็นการมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองไว้ก่อน
สาเหตุที่สองเกิดจากทัศนคติทางการเมืองที่ไม่ถูกต้องในขบวนประชาชนด้วยกันเอง ที่มองว่า ‘กฎหมายชุมนุมสาธารณะจะคุ้มครองและอำนวยความสะดวกให้ใครก็ตามที่ไม่แสดงท่าทีการชุมนุมการเมือง แต่จะไม่คุ้มครองและอำนวยความสะดวกให้ใครก็ตามที่ทำการชุมนุมการเมือง’ ซึ่งเป็นทัศนคติที่ทำให้เกิดการกีดกันและแบ่งแยกประชาชนส่วนอื่นออกไป เพราะหวั่นเกรงว่าการชุมนุมไม่การเมืองของตนจะถูกเหมารวมว่าเป็นการชุมนุมการเมืองไปด้วย และจะทำให้ถูกสั่งห้ามชุมนุมหรือฟ้องคดีด้วยเหตุที่ไม่ได้รับความคุ้มครองและอำนวยความสะดวกตามกฎหมายชุมนุมสาธารณะและคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558
ข้อเท็จจริงก็คือ ในสภาวะที่บ้านเมืองปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ได้สร้างภาวะครอบและเหลื่อมซ้อนระหว่างกฎหมายชุมนุมสาธารณะกับคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ขึ้นมา ซึ่งภาวะดังกล่าวไม่ให้ความสำคัญในแง่ที่ว่าการชุมนุมใดๆ เป็นการชุมนุมการเมืองหรือไม่การเมือง หรือเป็นการชุมนุมที่เข้าข่าย องค์ประกอบ หรือนิยามของคำว่าการเมืองหรือไม่อย่างไร เพราะจะถูกเหมารวมว่าเป็นการชุมนุมการเมืองไปหมด เนื่องจากในภาวะดังกล่าวไม่ว่าการชุมนุมการเมืองหรือไม่การเมืองก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น เพราะสร้างความสั่นคลอนให้แก่ความมั่นคง
เราควรทำอย่างไร?
ประการแรก เราไม่ควรมานั่งถกเถียงกันว่าการชุมนุมใดเป็น ‘การชุมนุมการเมือง’ หรือ ‘การชุมนุมไม่การเมือง’ เพราะในแง่มุมที่สำคัญยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมการเมืองหรือไม่การเมืองในความหมายของใครหรือของอะไรก็ตาม สิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือ เป็นการสร้างพลังประชาชนทั้งคู่ ในสังคมที่ประชาชนต้องใช้ชีวิตโดยมีสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานภายใต้รัฐและทุนที่มีพฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบประชาชนตลอดเวลา ประชาชนจึงต้องสร้างกลไกตรวจสอบและถ่วงดุลทั้งในทางการเมืองและไม่การเมืองให้เข้มแข็ง
ดังนั้น เราควรยืนยันในหลักการว่า ไม่ว่าการชุมนุมการเมืองหรือการชุมนุมไม่การเมือง ประชาชนก็สามารถกระทำได้ภายใต้ขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพตามระบบกฎหมายปกติ อย่างน้อยที่ใช้อ้างได้ในเวลานี้ก็คือบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายชุมนุมสาธารณะ ซึ่งคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ขัดต่อกฎหมายทั้งสอง
ประการที่สอง เราไม่ควรแยกการเมืองออกจากปัญหาชาวบ้าน การชุมนุมของประชาชนจะมีพลังต่อรอง กดดันและเรียกร้องหาความเป็นธรรมกับรัฐและทุนต้องชุมนุมไปให้ถึงการเมือง ต้องเอาปัญหาชาวบ้านไปชุมนุมเชื่อมโยงให้ถึงปัญหาทางการเมืองที่ผลิตโครงการพัฒนา นโยบายและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมมากดทับและก่อให้เกิดผลกระทบอยู่ในพื้นที่ต่างๆ
ประการที่่สาม ต้องเอาสิทธิเสรีภาพการชุมนุมการเมืองกลับคืนสู่กฎหมายปกติ อย่าปล่อยให้ถูกแยกออกไปอยู่ในคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558
ประการที่สี่ ในกฎหมายชุมนุมสาธารณะถึงแม้จะไม่ถูกครอบและเหลื่อมซ้อนจากคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ก็มีปัญหามากในตัวของมันเอง เนื่องจากนิยามที่กว้างขวางของ ‘การชุมนุมสาธารณะ’ ถูกวางเงื่อนไขและหลักเกณฑ์หยุมหยิมเพื่อลดทอนคุณค่าการชุมนุมสาธารณะลงไปด้วยการต้องแจ้งการชุมนุมก่อน หากไม่แจ้งก็มีความผิด พอแจ้งแล้วเจ้าพนักงานตอบมาโดยมีเงื่อนไขในทางที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการชุมนุม ก็เริ่มสร้างภาระยุ่งยากทันที เพราะมันเป็นเรื่องของภาษากฎหมายที่ต้องจ้างนักกฎหมายทำหนังสือโต้ตอบให้ ถ้าหากเจ้าพนักงานมีคำสั่งห้ามชุมนุมก็จะยุ่งยากมากยิ่งขึ้นเพราะต้องจ้างนักกฎหมายอุทธรณ์คำสั่ง
สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างภาระยุ่งยากและค่าใช้จ่ายแก่ประชาชนทั้งหลาย เพราะมีพื้นที่และกรณีปัญหามากมายที่ประชาชนไม่สามารถหานักกฎหมายมาช่วยเหลือได้ ตรงจุดนี้เองที่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไปโดยอัตโนมัติ
ดังนั้น เราไม่ควรสยบยอมต่อกฎหมายฉบับนี้ หากไม่ถูกแก้ไขให้ดีขึ้น หรือมิเช่นนั้นก็ควรร่วมกันต่อสู้คัดค้านให้กฎหมายฉบับนี้ยกเลิกไปเสีย หากสาระสำคัญ กระบวนการ ขั้นตอน เงื่อนไข และหลักเกณฑ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไม่ถูกแก้ไข
ทำไมเราควรทำเช่นนั้น?
ก็เพราะเสรีภาพในการชุมนุม ซึ่งมักจะมีเสรีภาพในการพูดและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นประกอบส่วนอยู่ด้วยทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการชุมนุม มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อชีวิตจิตใจเรา ต่อความเป็นมนุษย์ของเรา มันสำคัญมากเหมือนกับคำคมร่วมสมัยของผู้ที่เคารพนับถือท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “ห้ามฉันพูด ฉันก็จะพิมพ์ ห้ามฉันพิมพ์ ฉันก็จะเขียน ห้ามฉันเขียน ฉันก็จะยังคิด หากห้ามฉันคิด ก็ต้องห้ามลมหายใจฉัน” [4]
นั่นแหละ เสรีภาพการชุมนุมไม่ต่างจากคำคมที่ยกขึ้นมานี้
“ห้ามไม่ให้ฉันชุมนุม ห้ามลมหายใจฉันดีกว่า”