การเมืองไทยเดินหน้าเข้าสู่เดือนสิงหาคม ด้วยการ ‘เลื่อน’ การพิจารณาเรื่องสำคัญต่างๆ ที่อาจสามารถปลดล็อกสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ได้ การเลื่อนที่ว่ามาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ไม่ว่าจะเป็นกรณีศาลรัฐธรรมนูญเลื่อนพิจารณาคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีรัฐสภามีมติไม่เห็นชอบต่อการเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีในรอบ 2 ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขณะเดียวกัน การโหวตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 4 สิงหาคม ก็ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด อีกทั้งพรรคเพื่อไทยก็ยังเลื่อนการแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลออกไปอย่างไม่มีกำหนดด้วยเช่นกัน
การเลื่อนทั้ง 3 กรณีนี้นำมาสู่สภาวะความรู้สึกสิ้นหวังในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศภายใต้รัฐบาลใหม่ ซึ่งประธานรัฐสภาชี้แจงว่าต้องรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน จนเกิดคำถามขึ้นว่า หากนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรีและไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ปัญหาคาราคาซังต่างๆ รวมถึงเศรษฐกิจปากท้อง จะต้อง ‘รอ’ ต่อไปอีกนานเท่าไร
จนหลายคนส่งเสียงว่า จะดีกว่าหรือไม่ หากรอให้สมาชิกวุฒิสภาหมดอายุในอีก 10 เดือนข้างหน้า ตามมาตรา 272 เพื่อให้ได้รัฐบาลจากฟากฝั่งประชาธิปไตย โดยไม่ต้องหวังพึ่งเสียงโหวตจาก สว.
อย่างไรก็ตาม การรอ 10 เดือน เพื่อตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย อาจต้องตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า พรรคเพื่อไทยต้องรีเทิร์นมาถือ MOU กับ 8 พรรคร่วมเดิม ท่ามกลางกระแสกดดันจากประชาชนจำนวนมากที่ต้องการให้พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำการจัดตั้งรัฐบาลที่รับไม้ต่อจากพรรคก้าวไกล จัดตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยจาก 8 พรรคร่วมเดิม แทนที่จะไปร่วมรัฐบาลกับขั้วอำนาจเก่า
ในฟากฝั่งของนายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ได้ออกมาให้ความเห็นต่อความพยายามของพรรคก้าวไกลในการปิดสวิตซ์ สว. ด้วยการแก้ไขมาตรา 272 เจ้าปัญหาเพื่อตัดอำนาจ สว. ในการโหวตนายกฯ ว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะทำเช่นนั้น เพราะในอีก 9-10 เดือน บทเฉพาะกาลจะหมดอายุเอง ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล สส. บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ก็ออกความเห็นเช่นเดียวกับนายสมชาย แสวงการ โดยไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข ม.272 เพราะเสียเวลาสภา
ความยืดเยื้อในการจัดตั้งรัฐบาลอันเป็นผลมาจากปมเลือกนายกรัฐมนตรีนี้ นักลงทุนต่างชาติเกิดความกังวลใจดังเห็นได้จากความเคลื่อนไหวในแดนลบของตลาดหุ้น แม้ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะออกมาเปิดเผยว่า สามารถรอได้ 10 เดือน หรือ 1 ปี แต่ก็อยากให้มีการจัดตั้งรัฐบาลภายในเดือนสิงหาคม
ในส่วนการจัดทำพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 2567 ที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 เดือน ก่อนเริ่มปีงบประมาณใหม่ในวันที่ 1 ตุลาคม ดูท่าว่าจะไม่ทันใช้ หลายฝ่ายจึงชี้ช่องฝ่าทางตันว่าสามารถยึดแนวปฏิบัติตามมาตรา 141 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่บัญญัติว่า กรณีที่ไม่สามารถพิจารณางบประมาณแผ่นดินได้ทัน “ให้ใช้กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณปีก่อนนั้นไปพลางก่อน” ดังเช่นกรณี พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ประกาศบังคับใช้ไม่ทันวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ซึ่งอาจช่วยคลายความกังวลให้แก่หน่วยงานราชการที่กำลังรอรับงบประมาณ รวมถึงเจ้าของกิจการที่รับงานโครงการของรัฐได้บ้าง
ส่วนเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน คงเป็นประเด็นที่ยากจะแก้ไขหากไร้รัฐบาล โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การเปิดประชุมสภาที่ผ่านมา สส. จำนวนมากได้ใช้กลไกรัฐสภานำปัญหาต่างๆ ขึ้นอภิปรายผ่านการตั้งกระทู้ถาม เช่น เหตุโกดังพลุระเบิดที่มูโน๊ะ หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในระดับพื้นที่ เป็นต้น ดังนั้น รัฐสภาควรเป็นกลไกที่สำคัญในการนำประเด็นปัญหาเศรษฐกิจของประชาชนเข้าสู่สภา เพื่อหาทางแก้ไขไปพลางก่อน
ในโลกแห่งความเป็นจริง เศรษฐกิจปากท้องสำหรับคนหาเช้ากินคํ่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจรอได้ แต่ความเคลื่อนไหวของนายอนุทิน เหมือนชี้ทางเป็นนัยๆ คือ เร่งจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไทยที่มีภูมิใจไทยเข้าร่วมให้แล้วเสร็จเร็วที่สุดโดยไม่ต้องแก้ไข ม.272
ท้ายที่สุด ไม่มีใครทราบได้เลยว่า ‘อุบัติเหตุทางการเมือง’ จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ และอาจทำให้ประชาชนต้องรอต่อไป อาจถึง 10 เดือนก็เป็นได้ และไม่แน่ว่าอาจได้รัฐบาลในฟากฝั่งประชาธิปไตยที่เพื่อไทยต้องไปรีเทิร์นรักเก่ากับก้าวไกล
Author
Illustrator
