WAY of WORDS: ก่อนวันหมั้นหมาย

“ไม่จำเป็นต้องสงสารฉันหรอก ก่อนเธอมาฉันก็ยังอยู่ได้”

ผมติดกระดุมเสื้อจากบนลงล่างอยู่หน้ากระจกเงาทรงสูงที่วางพิงอยู่ข้างตู้เสื้อผ้า มองความเรียบร้อยของตัวเองทั้งทรงผมและเนคไท ขณะว่าที่ภรรยากำลังแต่งหน้าอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ไม่ห่างกันนักทางซ้ายมือของผม เมื่อวานตอนเย็น ผมนัดคุยงานกับนายที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เสร็จจากนั้นผมนั่งดื่มต่ออยู่เพียงลำพัง มองเมืองใหญ่จากชั้นสามสิบที่ละม้ายคล้ายภาพจำลองคลอเคล้าเสียงบรรเลงจากเครื่องสายไวโอลิน เหมือนพริบตาเดียวจากวัยเยาว์ เวลาไม่ย้อนคืน บัดนี้ผมกลายเป็นชายวัยกลางคนที่เห็นเม็ดฝนเป็นต้องหาที่หลบหรือกางร่มเพื่อไม่ให้ตัวเปียก ผมไม่สามารถวิ่งเล่นน้ำฝนสนุกสนานได้เหมือนตอนเด็กอีกแล้ว นี่ผมกำลังใคร่ครวญและโหยหาอดีตไปเพื่ออะไร ในเมื่อชีวิตในทุกวันนี้ผมก็มีความเป็นอยู่ที่ดี หน้าที่การงานที่ดี และกำลังจะแต่งงาน

ผมยังยืนอยู่หน้ากระจก ยังมองผมคนในกระจก มองลึกเข้าไปเห็นผมในวัยที่ยังหนุ่มกว่านี้ คล้ายผมได้เจอภาพเก่าสีซีด สมุดบันทึกเล่มเก่า ความทรงจำที่หลงลืมชวนเล่นตลกกับผม หรือผมเองที่เล่นตลกกับความทรงจำ หรือผมเองที่ยังไม่เคยลืม แต่แอบซุกซ่อนมันเก็บเอาไว้ จนกระทั่ง…

“คุณๆ เป็นอะไรรึเปล่าคะ ยืนนิ่งเงียบเป็นหุ่นเชียว”

เร้นหาย แอบซุกซ่อนราวผงฝุ่นปะปนอยู่ในอากาศธาตุ ผมหันมายิ้มให้กับคนรักและส่ายศีรษะ ยกมือขวาขึ้นดูนาฬิกาที่ข้อมือ วันนี้ผมมีธุระสำคัญ ผมกับเธอนัดกับพ่อแม่ของเธอไว้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมกำลังก้าวไปอีกขั้นของชีวิต เติมเต็มสิ่งที่ชีวิตควรจะได้รับ เรียนจบก็ขั้นหนึ่ง ทำงานก็ขั้นหนึ่ง ซื้อบ้าน ซื้อรถ แต่งงานมีครอบครัว และมีลูกเล็กๆ น่ารักสักคน ชีวิตชนชั้นกลาง ขีดขั้นที่สังคมมองว่าประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีครบองค์ประกอบเหล่านี้ ผมจำต้องมุ่งตรงไปข้างหน้า อดีตที่ผ่านจำต้องลืมเลือน และในปัจจุบันขณะนี้ผมอยู่กับคนรักของผมไม่ใช่ ‘เธอ’ คนที่ผมบังเอิญเจอเมื่อวาน

ตอนนั้นเวลาทุ่มกว่า ผมเตรียมจะลุกกลับบ้าน แต่พอหันหน้าไปก็เจอใครคนหนึ่งยืนอยู่หลังเก้าอี้ที่ผมนั่ง มือถือแก้วเหล้า ชุดกระโปรงแนบเนื้อเขียวใบไม้ ผมหน้าม้าสั้นระต้นคอและรอยยิ้มของเธอกับดวงตาคู่นั้นก็ค้นหาสิ่งที่ผมเคยซุกซ่อนไว้เนิ่นนาน และราวกับว่าเวลาในปัจจุบันกลับกลายเป็นอดีตที่ทบซ้อนย่ำซ้ำให้ผมเป็นเด็กหนุ่มคนนั้น ขณะนั่งฟังเธอเล่าเรื่องราวแต่หนหลัง ระหว่างทางที่เราไม่ได้เจอกัน ชายคนหนึ่งซึ่งพร่ำบอกว่ารักเธอมากมาย เพียบพร้อมทุกอย่างทั้ง การศึกษา ฐานะ หน้าที่การงาน คบกับเธออยู่เกือบปี แต่ท้ายที่สุด เธอก็มารู้ในภายหลังว่า เขามีครอบครัวแล้วอยู่ที่ต่างประเทศ ปลายปีนี้จะบินกลับมา เธอแทบคลั่งฆ่าตัวตาย ติดบุหรี่และเหล้าหนักอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนี้ทำใจได้แล้ว แต่สิ่งเสพติดทั้งสองกลายเป็นเพื่อนสนิทของเธอนับแต่นั้นมาอย่างแยกไม่ออก ฟังแล้วเศร้า เรื่องเศร้าๆ ของคนรักเก่า รักแรกสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของผม

ระหว่างนั่งรอพ่อแม่ของคนรัก ผมสั่งกาแฟร้อน คนรักสั่งน้ำส้ม เรากำลังจะแต่งงานกัน เธอนัดพ่อแม่ของเธอให้มาพูดคุยกับผม กาแฟดำไม่น้ำตาล ไม่ครีมเทียม แต่ไหนแต่ไรผมชอบรสนี้เธอรู้ ไม่ใช่เธอคนรักที่ผมกำลังจะแต่งงานด้วย แต่เป็นเธอซึ่งเคยเป็นคนรักเก่าของผม จิบแรกของกาแฟรสขมเข้มปลุกผมย้อนไปสู่ห้วงเวลานั้น บทรักเร่าร้อน จนเราแทบจะกลืนกินกันและกัน

ครั้งแรกในห้องพักของเพื่อนสนิท ครั้งต่อมาในห้องผม และครั้งหลังสุดในห้องสมุดที่ลับตาในหมวดหนังสือที่แทบจะรกร้างไร้ผู้คนเดินผ่าน ผมยังจดจำความหื่นกระหายหน้ามืดตามัวของตัวเองในตอนนั้นได้ดีทั้งที่เราทั้งคู่ในชุดนักศึกษาล้มตัวลงนอน สองมือเคล้นคลึงสองเต้าและใบหน้าของผมที่ซุกอยู่ตรงหว่างขาของเธอ หลังจากนั้นเราก็ห่างกัน ผมไม่ได้เป็นคนห่างเธอไป แต่เธอเลิกเรียนกลางคัน และเป็นคนที่หายไปจากชีวิตของผมเอง อาจารย์ท่านหนึ่งเล่าถึงปัญหาครอบครัวที่เธอเจอให้เพื่อนนักเรียนทุกคนรับทราบในภายหลัง ผมเศร้าซึมอยู่พักและลืมเธอไปหลังปิดเทอมในปีเดียวกัน

เราเป็นครั้งแรกของกัน ผมเองก็เพิ่งจะเคยสอดใส่ก็ตอนเข้ามหาวิทยาลัย ก่อนหน้านั้นก็หนังโป๊และมือตัวเอง เหมือนที่เธอเองก็เพิ่งจะครั้งแรกตอนทำรักกับผม และก่อนหน้านั้นก็ไม่ต่างกันนัก ความหนุ่มแน่นและวัยเต็มสาวบดเบียดเวลาเรียนของเราไปไม่น้อยให้กับเรื่องทางเพศ อย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่งในเทอมแรกตอนขึ้นปีสอง แต่ก็เป็นเรื่องน่าจดจำ เต็มอิ่มและจากนั้นก็ยากจะเจอใครได้เหมือนเธอ

คนรักผมหน้าก้มกดโทรศัพท์เป็นกิจวัตร ความเคยชินรูปแบบหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในโลกยุคสมัยใหม่ ผมหงุดหงิดแบบนี้แค่ในช่วงแรกที่เริ่มคบกันใหม่ๆ แต่สุดท้ายก็ปรับตัวได้ ผมคงไม่กล้าไปขอให้เธอเลิกเล่นอะไรที่ผมคิดเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะเธอเองก็ไม่เคยจุกจิกกับเรื่องส่วนตัวของผมที่ในยามว่างผมชอบนั่งดูหนังโป๊จนเป็นนิสัย ซึ่งส่วนตัวผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียหายอะไร ความต้องการทางเพศ อารมณ์ตัณหาที่มีอยู่ในตัวกันทุกคน ผมไม่ปกปิดกับคนรัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่ ทำรักในห้องสมุดเหมือนสมัยเรียนถึงสองครั้งสองครา

ผมขับรถไปส่งเธอที่ห้องพัก ตึกเหลี่ยมทรงแท่งที่คล้ายผุดจากพื้นอยู่ทั่วทุกมุมเมือง เธอชวนผมขึ้นไปดื่มต่อ ผมไม่ปฏิเสธ เธอพักอยู่ชั้นแปด แต่วันนี้ลิฟต์ตึกเกิดมีกระดาษแปะติดว่าเสีย เราจึงต้องเดินขึ้นบันไดไปกันจนถึงแปดชั้น แต่บั้นท้ายแน่นเปรียะชวนมองของเธอ ก็ทำให้ผมลืมความเมื่อยล้าไปได้ชั่วขณะ หลังเธอไขกุญแจเข้าห้อง ผมพาร่างลงไปนั่งพักในโซฟายาวโดยไม่ขออนุญาตด้วยความเหนื่อยและเริ่มรู้สึกมึนหัว เธอเอาใจผมด้วยการชงกาแฟให้พร้อมถามผมว่า

“รสเดิม?” ผมเพียงพยักหน้าพลางตรวจสอบห้องพักของเธอ

“ห้องสะอาด” เธอหัวเราะ

“ฉันไม่ใช่คนชอบสะสมของมากมาย…แต่ชอบสะสมความทรงจำ” เธอหันจากถ้วยกาแฟมายักคิ้วให้ผม ผมยิ้มตอบแล้วเงยหน้าเป่าลมออกจากปาก ตอนนี้ผมไม่คิดอะไรอื่นมากไปกว่าเรื่องร่วมรักและท่าทีเชื้อเชิญของเธอก็พร้อมสนองตอบได้ตามต้องการ ผมจึงเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ

“ผมเองก็ยังจดจำเรื่องราวของเราได้ทุกอย่าง” เธอจ้องสบตาผมไม่กะพริบขณะเดินถือถ้วยกาแฟมานั่งลงข้างๆ ผมที่โซฟา โซฟาหนังบุนวมสีดำที่นั่งเอนกายพักได้อย่างสบายกลับทำให้เนื้อตัวผมร้อนเร่าและเป้ากางเกงเกิดคับแน่นขึ้น จากนั้นเธอก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ที่ข้างหูผมพร้อมกระซิบเบาๆ

“ถ้างั้น เธออยากกินกาแฟหรืออยากทำอย่างอื่น”

จะมีชายหนุ่มสักกี่คนที่ในชีวิตหนึ่งผ่านผู้หญิงมาแค่คนเดียว? ผมเคยถามคำถามนี้กับตัวเอง หลังเซ็กส์ครั้งแรกผ่านพ้นและผู้หญิงที่มีสัมพันธ์ด้วยหายไปจากชีวิต หลังจากนั้นผมก็คบหาดูใจกับเพื่อนนักเรียนคนใหม่ แต่ก็ไม่เคยคบกับใครได้นานเกินเทอมได้เหมือนเธอ รักแรกของผม จนกระทั่งตอนปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัยที่เรื่องเรียนและเซ็กส์คู่ขนานกันไป ผมกับเพื่อนๆ ช่วยกันจัดงานต้อนรับน้องใหม่และอยู่กันจนดึกดื่น บางคนก็กลับบ้าน บางคนก็นอนในมหาวิทยาลัย และผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ร่วมหลับนอนกับเพื่อนๆ อยู่ในโถงชั้นล่างของอาคาร ก็มักเห็นอาจารย์สาวคนหนึ่งที่ออกจากตัวอาคารและเดินไปที่ลานจอดรถเวลานี้

ก่อนวันรับน้องสองวัน ผมอาสาขึ้นไปเอากระดาษแข็งที่เพื่อนคนหนึ่งลืมทิ้งไว้ที่ชั้น 5 ในห้องเรียนคาบสุดท้าย ขณะเข้าไปอยู่ในลิฟต์และกำลังปิด อาจารย์สาวคนเดิมก็รีบวิ่งตามเข้ามาขอเข้าลิฟต์ด้วยคน ผมถามอาจารย์ว่าไปชั้นไหน อาจารย์ก้มหน้าพูดและบอกว่าชั้นเดียวกัน ผมยืนหายใจไม่ทั่วท้องอยู่สักพักจนลิฟต์ให้สัญญาณ ผมให้อาจารย์เดินออกก่อนแล้วเดินตามหลังออกมา แม้อาจารย์จะไม่ได้แต่งตัวเซ็กซี่อะไรเลย ผมรวบมัดเรียบร้อย เสื้อเชิ้ตขาวลายดอกแขนยาว กระโปรงทรงสุ่มไก่ แต่ผมก็เกิดความกำหนัดเล็กๆ ขึ้นมาและพานจินตนาการไปไกล

ผมใช้ช้อนคนกาแฟดำขณะขบคิดเรื่องราวบนเตียงเมื่อคืน ตอนที่ผมจับแขนคนรักไขว้หลังและใช้เข็มขัดรัดไว้ ก่อนโหมบทรักรุนแรงจนเราสุขสมไปพร้อมกัน ผมพลิกร่างแผ่กายมองเพดานหายใจแรง ส่วนคนรักยังนอนคว่ำหน้า สองมือยังถูกไขว้หลังเข็มขัดรัดไว้ สักพักเธอจึงบอกให้ผมช่วยปลดให้ จากนั้นเธอจึงลุกเดินเข้าห้องน้ำ เธอรู้ว่าผมมีความต้องการทางเพศสูงและเธอก็รับได้ เราจึงคบกันได้ เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีความต้องการต้องตรงกัน เช่นคนรักเก่ากับบทรักร้อนเมื่อคืนก่อนนั้นก็เช่นกัน…หัวใจแทบหยุดเต้น

พ่อแม่ของเธอเปิดประตูเดินตรงเข้ามาหาเราสองคน ผมลุกขึ้นยกมือไหว้ทั้งสองอย่างสุภาพ ทั้งสองคนน่าจะดูยังไม่แก่หรือรักษาสุขภาพการกินและออกกำลังกายดี อายุน่าจะราวๆ ต้นหกสิบด้วยกันทั้งคู่ ผมเผ้าเรียบกริบแทบไม่มีกระดิก เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ผูกเนคไท สวมสูทสีน้ำตาล ไหล่กว้างดูสง่าผ่าเผย พูดจาดีไม่วางตัวจนเกินไป ปล่อยมุกให้ทั้งสองได้ขำบ้าง บทสนทนาพาทีของเราสี่คนจึงราบรื่นและลื่นไหลไม่มีสะดุด อีกทั้งตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานบุคคลในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งคงพอการันตีในการดูแลลูกสาวของพ่อตาแม่ยายในอนาคตของผมได้เป็นอย่างดีแม้ผมกับเธออายุห่างกันเกือบรอบก็ตาม

ผมเจอเธอครั้งแรกตอนที่เธอมากรอกใบสมัครกับลูกน้องคนหนึ่งของผมในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ผมเอาใบสมัครของเธอขึ้นมาตรวจสอบ เพิ่งเรียนจบ อายุ 23 เคยเป็นคนถือคฑางานกีฬาสีของคณะ ตอนสัมภาษณ์เธอพูดจาได้ฉะฉาน น้ำเสียงเล็กๆ น่าฟัง ภาษาอังกฤษดีเยี่ยม บวกกับรูปร่างสูงโปร่งในชุดกระโปรงสั้นสีมังคุด จนผมหลงปลื้มและเทคะแนนหมดพร้อมรับเธอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับของโรงพยาบาลในเดือนถัดมา ทีแรกผมทำเป็นเดินมาคุยเรื่องงานกับเธออยู่ครั้งสองครั้งในแต่ละวัน แต่เธอก็ฉลาดพอรู้ทันผม ผมจึงไม่ปฏิเสธในเวลาต่อมาว่าอยากจะชวนเธอไปกินกลางวัน เลิกงานไปไหนต่อไหนด้วยกัน เธอถามผมคำแรกตอนเธอไปทานกลางวันกับผมครั้งแรกว่า ผมยังไม่แต่งงานเหรอ ผมสารภาพตามตรงว่ายังไม่เจอคนถูกใจ เธอย้ำคำถามเดิมอีกครั้ง จนผมต้องพูดตลกและเย้าเธอกลับว่า ไปดูที่ห้องผมก็ได้ถ้าไม่เชื่อ และเมื่อเธอเริ่มตกลงที่จะคบกับผม เราจึงได้แลกเปลี่ยนและมองเห็นข้อดีข้อเสียของแต่ละคน

ตอนพาเธอมาห้องชุดที่ผมอยู่ตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ เธออดแปลกใจไม่น้อยว่าทำไมในห้องผมจึงมีแผ่นหนังโป๊อยู่เยอะไปหมด ทั้งที่ผมควรจะเอาหลบซ่อนเธอไว้ก็ได้ ผมจึงอธิบายให้เธอฟังว่า ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ปี 35 โดยเฉพาะหลังเปิดเทอมไม่นาน ผมเริ่มหาทางออกจากภาวการณ์บ้านเมืองให้ตัวเองด้วยการดูหนังโป๊ “แต่ผมก็ไม่ได้หมกมุ่นจนเกินไปนะ ผมดูแลสุขภาพตัวเองตื่นมาวิ่งทุกเช้าก่อนไปทำงาน กินวิตามินเสริมบ้าง ทานข้าวเย็นน้อย เหล้าเบียร์ก็มีบ้าง ก็ผู้ชายนี่เนอะ”

ส่วนเธอเองแม้จะมีข้อเสียในเรื่องติดโทรศัพท์ แต่ก็มีข้อดีในแบบที่ผมต้องการ คือเธอเป็นคนชอบความเป็นระเบียบและสะอาด ทั้งชอบซักรีดเสื้อผ้าเอง เอาอกเอาใจและทำกับข้าวเก่ง ห้องผมแทบไร้ไรฝุ่นเมื่อเธอก้าวเข้ามาอยู่ด้วย และที่สำคัญเรื่องบนเตียงที่ทีแรกเห็นเธอดูเรียบร้อยๆ ผมเองก็ยังนึกไม่ถึงว่าเมื่อเปลือยร่างล่อนจ้อนแล้วเธอจะกลายเป็นอีกคนได้ในแบบที่ผมเองก็คาดไม่ถึง…เรียกว่าเกินคาดกว่าที่คิดไว้เยอะ ผมยังจำได้ว่ากว่าจะโน้มน้าวชวนเธอมาห้องได้ก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งปีที่เธอละล้าละลังไม่แน่ใจอยู่นาน และพอผมชวนเธอมาได้สำเร็จ เธอก็หน้าแดงเขินอายขึ้นมา ทีแรกผมยังนึกในใจอยู่เลยว่า เธอต้องรับไม่ได้แน่ๆ เมื่อรู้อีกด้านของผม และเมื่อผมสาธยายให้เธอฟังด้วยความจริงใจจบ ผมเองก็ไม่รอช้า ในเมื่อผู้หญิงกล้าเข้าห้องผู้ชายแล้ว

ปีหน้าเราจะแต่งงานกัน ตอนนี้เป็นที่รับรู้ของพ่อแม่เธอว่าเธออยู่กินกับผม ผมทำตามที่เธอขอแล้ว เป็นที่รับรู้ เธอจะได้สบายใจเสียทีไม่ต้องคอยหลอกพ่อแม่ว่านอนค้างบ้านเพื่อน ผมบอกกับทางพ่อแม่ของเธอว่า ตอนวันมาสู่ขอจะพาพ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดมาให้ถูกต้องเป็นกิจจะลักษณะ ไม่ทำให้ท่านทั้งสองต้องรู้สึกน้อยหน้าแต่อย่างใด  

คืนนั้นตอนเราทำรักกัน เธอขึ้นคร่อมบนตัวผม สองมือผมคลึงเคล้นที่เต้านมของเธอ บั้นท้ายของเธอขยับขึ้นลงพร้อมเสียงร้องครางของเธอ ภาพแบบเดียวกันนี้ทำเอาผมคิดถึงอาจารย์คนนั้นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจและพอลืมตาขึ้นมองก็เห็นคนตรงหน้าเป็นคนรักเก่าขึ้นมา ผมรู้สึกราวกับมีผู้หญิงในอดีตของผมถึงสองคนอยู่ร่วมในฉากรักของผมกับคนรักในปัจจุบัน ผมมองเห็นภาพอาจารย์ที่เดินเข้ามาสารภาพกับผมตรงๆ ว่าเมื่อเทอมที่แล้ว เห็นผมกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร่วมรักกันอยู่ในห้องสมุดนั่น และอาจารย์บอกจะไม่เอาเรื่องของผมไปบอกใคร จากนั้นประตูห้องก็เปิดออก…ผมยันตัวลุกขึ้น กระเตงร่างคนรักชิดติดผนังห้องพร้อมรุกเร้าหนักหน่วง แผ่นหลังของเธอเสียดสีขึ้นลง เล็บจิกแผ่นหลังผมจนเลือดซิบ ผมไม่รู้สึกเจ็บในตอนนั้น…แต่ซ่านบรมสุขอย่าบอกใคร

ผมไม่สูบบุหรี่ แต่เสพติดกาแฟรสขม กำลังนั่งเปลือยร่างอยู่บนโซฟา จิบกาแฟร้อนที่กลายเป็นเย็นชืดที่เธอชงทิ้งไว้ให้ก่อนร่วมรักกัน ขณะที่เธอเองก็นั่งไร้อาภรณ์สูบบุหรี่รมควันอยู่ข้างๆ เธอกดสูบติดต่อกันอยู่สามครั้งจนหนำใจ จากนั้นจึงถามขึ้นมา

“แต่งเมื่อไหร่” ผมชำเลืองมองเธอ แล้วยกกาแฟขึ้นจิบ

“มะรืนถึงรู้”

“ชวนมั้ย” เธอกดบุหรี่สูบอีกครั้ง แล้วขยี้ลงจานรองกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ

ผมยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอีกหน หันมองหน้าเธอ ใบหน้าซึ่งตอนนี้ไม่ใช่สาวสะพรั่งเหมือนตอนนั้น ใบหน้าซึ่งพ้นผ่านวัยวันของชีวิตมาจวนเจียนจะขึ้นเลขสี่ เราเกิดปีเดียวกันและเคยมีช่วงวัยวันได้อยู่ใกล้ชิดกัน แม้จะเพียงช่วงไม่นาน แต่ปีนั้น ช่วงเวลาเหล่านั้น ก็ยากจะปฏิเสธว่าเธอเคยเป็นเจ้าของ เราโกหกใครคนอื่นได้ แต่ดวงตาของคนที่เคยลึกซึ้งต่อกัน ดวงตาที่เพียงชำเลืองเห็นกันแต่ไม่ทักทาย แต่ก็บาดลึกเจ็บปลาบอยู่ในใจเราสองคน ผมไม่ปฏิเสธหัวใจตัวเองว่าเคยรักเธอ ไม่ปฏิเสธว่าตอนนี้ผมลอบเสพสมอยู่กับเธอลับหลังคนรักของผม แต่ผมจำต้องปฏิเสธให้เธอกลับมาอยู่ร่วมอยู่ในปัจจุบันของผม เพราะเธอไม่ใช่คนที่ผมจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยในอนาคต!

“เปิดเพลงฟังกันเถอะ”

คนรักของผมนอนหลับเป็นตาย แต่ผมยังตาสว่าง ครุ่นคิดถึงเรื่องราวแต่หนหลัง ตั้งแต่เธอลาออกไปกลางคัน หลังผมเรียนจบ เข้าออกงานสองสามแห่ง เกือบยี่สิบปีต่อมา ช่วงเวลาที่หายไปเหล่านั้น เราคล้ายซุกซ่อนความทรงจำแล้วหลงลืมไว้แห่งหนใดจนขาดห้วงไป และกลับมาสานต่อเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง ลืมตาพบความจริง ไม่มีใครย้อนเวลาได้ ความจริงเผยความจริงว่า เวลานี้เราแค่อุปโลกน์มันขึ้นมาในฐานะฟื้นความสัมพันธ์ทางเซ็กส์ต่อกันเท่านั้น เราไม่ได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เธอเป็นหญิงวัยกลางคนที่เริ่มมีริ้วรอยตีนกา ผิวหนังไม่เต่งตึงเหมือนผม เราเพียงแต่บำบัดโมงยามตายซากให้เสมือนว่ายังมีอยู่ ทั้งที่มันได้พรากพาวัยเยาว์ของหนุ่มสาวคู่นั้นหมดสิ้นแล้ว เช่นที่ตอนนี้ผมเองก็ลืมไปแล้วว่าในห้องชั้นห้ากับอาจารย์ในตอนนั้น ทำไมอาจารย์ไม่หวงแหนความบริสุทธิ์นั้นไว้ ทำไมอาจารย์จึงยอมสูญเสียความบริสุทธิ์นั้นให้กับผม…

เช้านี้ขณะผมขับรถออกมาทำงานพร้อมคนรัก

ขณะที่รถติดไฟแดง ผมเห็นหญิงคนหนึ่งเดินข้ามถนนมาหยุดยืนอยู่หน้ากระโปรงรถผม…เธอนั่นเอง คนรักเก่าของผม สองมือผมกุมพวงมาลัยแน่น สองตาจ้องค้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอส่งยิ้มโบกมือขึ้นทักทายผม ผมยังคงจับพวงมาลัยชะงักค้าง ภาพรอยยิ้มของเธอก่อนจากลาในเช้านั้นพร้อมคำพูดที่ว่า

“ไม่จำเป็นต้องสงสารฉันหรอก ก่อนเธอมาฉันก็ยังอยู่ได้ ไม่เป็นไร…ไปเถอะ” ยังติดค้างอยู่ในใจผม โลกเล่นตลกหรือผมเองไม่หลาบจำ ผมยังคงอยากเดินถอยหลังย้อนกลับสู่วันเก่าๆ ที่ไม่หวนคืน ตอนนั้นในห้องสมุดหลังร่วมรักกันเสร็จสม อยู่ๆ เธอก็ร้องไห้ออกมา ผมไม่รู้เหตุผลในการเสียน้ำตาของเธอ เธอโผเข้ากอดผมหลั่งรินน้ำตาอยู่นาน ผมถามเธอว่าเป็นอะไร เธอได้แต่เงียบและแทนคำตอบนั้นด้วยน้ำตา จนกระทั่งเธอลาออกไปนั่นแหละ ผมจึงรู้ว่านั่นคือการร่ำลา

ชั่วพลันแล่นที่เวลาเดินหน้าไปไม่ถึงสิบนาที แต่เสมือนห้วงเวลาในความคิดผมกินเวลาไปหลายสิบปี จนรถคันหลังบีบแตรนั่นแหละ ผมจึงรู้สึกตัว และคิดไปเองว่าคนรักเก่ายืนโบกมืออยู่ตรงหน้า ขณะผมออกรถวิ่งแล่นไปได้สักพัก คนรักถามผมขึ้นมาว่าผมมัวใจลอยคิดอะไรอยู่ ผมเพียงแต่พูดว่า เปล่าไม่มีอะไร…แต่ทว่า คำว่า ‘ไม่มีอะไร’ ของผมทำไมมันจึงช่างเจ็บปวดเหลือเกิน

ผมโทรบอกคนรักว่าคืนนี้ผมจะค้างที่บ้านเพื่อนเก่า บังเอิญเจอและว่าจะดื่มกินกันต่อ เธอเชื่อผมสนิท เพราะตั้งแต่คบกันมา ผมไม่เคยนอกลู่นอกทางให้เธอเห็น อย่างดีที่เธอเห็นจนเป็นเรื่องปกติก็เรื่องที่ผมชอบสั่งซื้อหนังโป๊ตามเว็บไซต์มาดูในวันหยุด คืนนั้นทั้งคืนผมกับคนรักเก่าร่วมรักกันมาราธอนจนหมดแรงและหลับไปพร้อมกัน

เกือบรุ่งเช้าราวตีห้า ผมเห็นเธอตื่นก่อนแล้ว กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ริมหน้าต่าง ถามผมว่ากาแฟไหม ผมพยักหน้าก่อนลุกโผเผไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ หลังจากนั้นจึงออกมานั่งกันที่โซฟา ผมอยากฟังช่วงเวลาที่เธอหายไป เธอยกนิ้วโป้งขึ้นกัดเล็บ ลุกเดินไปเปิดเพลงที่เครื่องเล่น แล้วเต้นให้ผมดู ผมวางถ้วยกาแฟแล้วลุกขึ้นเดินไปหาเธอ

“เต้นรำด้วยกันสักเพลงไหม” เธอพูดขณะที่ปากยังคาบบุหรี่อยู่ ผมพยายามมองตาเธอแต่เธอไม่ยอมสบตาผม สายตาของความจริงที่พูดแทนความรู้สึกได้นับล้าน เธอยังคงหลับตา โยกย้ายส่ายสะโพก สะบัดหัวไปมา ผมจึงหมดความอดทนโพล่งถามเธอขึ้นมาเสียงดัง

“เธอหายไปไหนมา!”

ทีนี้เธอหยุดเต้น ผมเดินไปปิดเพลง ความเงียบคล้ายมีหูคอยลอบฟังคนทั้งสองจำนรรจ์ คล้ายผมมองเห็นองค์ประกอบของห้องแปรเปลี่ยนกลับไปสู่วันนั้นในห้องสมุด หลังฉากรัก หลังน้ำตาหลั่งริน หลังเธอกอดผมร่ำไห้เนิ่นนาน และหลังจากบนทางเท้าที่ผมเดินไปส่งเธอโดยไร้บทสนทนา ผมปล่อยมือเธอ เธอหันมาโบกมือให้ผม แล้วหันหลังเดินเข้าซอยบ้านไป เธอไม่เคยให้ผมเดินเข้าไปส่งในซอย ผมมาส่งเธอกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็แค่หน้าซอย ราวกับเธอซุกซ่อนความลับใดไว้ในบ้าน และครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอพูดแค่เพียงว่า เรื่องส่วนตัว และบอกให้ผมควรจดจำเธอไว้ในภาพจำที่ผมเคยเห็นนั้นแหละดีแล้ว อย่ามารู้มาเห็นในเรื่องส่วนตัวที่ไม่น่าจดจำเลย

“ฉันดีใจนะที่ได้เจอนายและได้อยู่ด้วยกันในคืนสุดท้ายก่อนจากไป” ผมถามว่าจะไปไหน เธอเพียงแต่ก้มหน้านิ่ง สักพักจึงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมน้ำตาอาบแก้มแล้วโผร่างเข้ากอดผม เหมือนตอนนั้นเลย เหมือนตอนนั้นไม่มีผิด เธอร้องไห้ออกมาเสียงดัง ผมกอดร่างเธอแน่นขึ้นจนไม่อยากปล่อยร่างนี้ให้หายไปไหนอีกครั้ง แต่ผมก็ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ทำตามที่เธอขอ…

“จดจำฉันไว้ในใจก็พอ”

แล้วอยู่ดีๆ ผมก็หักพวงมาลัยเลี้ยวรถจอดเข้าข้างทาง ฟุบหน้าร่ำไห้อยู่กับพวงมาลัยโดยไม่สนใจว่าคนรักจะคิดหรือรู้สึกเช่นไร ณ ชั่วขณะนั้น ผมไม่สามารถบ่ายเบี่ยงหรือควบคุมอะไรได้อีกแล้ว

 

มีเกียรติ แซ่จิว

เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด ปัจจุบันทำงานประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในส่วนงานบริหารฯ และทำสัมภาษณ์ในจดหมายข่าวเทวาลัยของคณะฯ ควบคู่ไปกับการเขียนเรื่องสั้น บทกวี บทความวรรณกรรมและบทความเกี่ยวกับภาพยนตร์

ชื่นชอบวรรณกรรมเยาวชนมาตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์ พอๆ กับที่โตขึ้นมาหน่อยก็ชอบเล่นดนตรีและมีไอดอลอย่าง Kurt Cobain เป็นแบบอย่าง เริ่มจับปากกาเขียนหนังสือครั้งแรกที่นิตยสารภาพยนตร์ Starpics รับผิดชอบในส่วนบทความหนัง ทำสัมภาษณ์ และบทวิจารณ์ภาพยนตร์ เคยเป็นกองบรรณาธิการสมทบที่นิตยสาร Films & Stars ก่อนผันตัวเองมาเขียนเรื่องสั้นตอนปลายปี 2553 มีผลงานเรื่องสั้นตีพิมพ์ตามหน้านิตยสารต่างๆ 50-60 เรื่อง ปัจจุบันเขียนบทความภาพยนตร์และบทความวรรณกรรมแบบไม่ประจำลงมติชนสุดสัปดาห์ ความฝันอยากเป็นคอลัมนิสต์ประจำมติชนสุดฯ

ผลงานที่ผ่านมา:

  • เรื่องสั้น ‘นิทาน ความรัก และลูก’ ผ่านเข้ารอบสุดท้ายวรรณกรรมรามคำแหง ประจำปี 2555
  • เรื่องสั้น ‘บนแผ่นหลังของเธอ’ ผ่านเข้ารอบสุดท้ายรางวัลนายอินทร์ อะวอร์ด ประจำปี 2558
  • เรื่องสั้น ‘ปรารถนา’ รางวัลชมเชย มติชนอวอร์ด ประจำปี 2559
  • เรื่องสั้น ‘มาจากฝัน’ ผ่านเข้ารอบสุดท้ายรางวัลเปลื้อง วรรณศรี ประจำปี 2559
  • บทกวี ‘ในกำมือ’ ผ่านเข้ารอบสุดท้ายรางวัลเปลื้อง วรรณศรี ประจำปี 2559
  • มีผลงานรวมเรื่องสั้น ‘กายวิภาคแห่งรักของมนุษย์ต่างดาว’ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Arty House ปี 2559
  • เป็นหนึ่งในผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะนักเขียนหน้าใหม่ รุ่น 3 ประเภท ‘เรื่องสั้น’ ประจำปี 2558
  • เป็นบรรณาธิการเล่ม ‘ดอกไม้บนพื้นทราย’ และ ‘สยายปีกโบยบิน’ ของปริญ บุญภูพิพัฒน์
  • เป็นพี่เลี้ยงร่วมกับ อนุสรณ์ ติปยานนท์ ประเภทเรื่องสั้น โครงการบ่มเพาะนักเขียนหน้าใหม่ รุ่น 4 ประจำปี 2560

ติดต่อพูดคุยได้ที่ Facebook / Mekeat Kurt

 

 

ภาพประกอบ: antizeptic

สนับสนุนวรรณกรรมไทย โดย

สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
สำนักพิมพ์แสงดาว
สำนักพิมพ์แสงดาว

 

Author

WAY of WORDS
โครงการเปิดรับต้นฉบับเรื่องสั้นและบทกวี ไม่จำกัดความยาวและเรื่องที่อยากเล่า ต้นฉบับทั้งเรื่องสั้นและบทกวี ถูกอ่านและพิจารณาโดยคณะบรรณาธิการสายแข็ง ก่อนเผยแพร่ทาง waymagazine.org

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า