นอกจากสิ่งที่เราทราบกันดีว่า อาหารอุดมน้ำตาลอย่างขนมหวานและเครื่องดื่มต่างๆ ทั้งอัดลมและไม่อัดลม ทำให้คุณอ้วนแน่ๆ อยู่แล้ว แต่สิ่งที่น้ำตาลสร้างผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญของเรา ไม่ว่าจะเป็นตับหรือสมอง คือสิ่งที่เราไม่ค่อยทราบ น้ำตาลในอาหารถือเป็นหนึ่งในตัวอันตรายที่สามารถทำร้ายตับได้ไม่ต่างจากที่เครื่องดื่มแอลกอฮอลทำ
หลายคนป่วยด้วยโรคตับที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการดื่มหรือติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ แต่ยังมีอาการตับอักเสบอีกแบบหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล เรารู้จักมันในชื่อ ภาวะไขมันสะสมในตับ หรือไขมันพอกตับ (non-alcoholic fatty liver disease: NAFLD) ซึ่งกำลังเป็นโรคที่ชาวอเมริกันประสบอยู่ โดยผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากจะค่อนข้างเสี่ยงกับภาวะดังกล่าว อาการนอกเหนือจากนั้นคือ ผู้ป่วยจะพบว่าตนเองจำอะไรไม่ค่อยได้บ่อยขึ้น เพราะสมองส่วนควบคุมความทรงจำมีประสิทธิภาพการทำงานลดลง
American Liver Foundation ให้ข้อมูลว่า ชาวอเมริกัน 1 ใน 4 กำลังป่วยด้วยภาวะ NAFLD และคาดการณ์ว่าตัวเลขอาจพุ่งสูงถึงร้อยละ 40 ภายในปี 2030
สำหรับ Sugar Association เป็นเรื่องยากที่จะหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือข้อมูลอ้างอิงเพื่อพิสูจน์หรือยืนยันประโยชน์ที่เราได้รับจากการบริโภคน้ำตาล ปัจจุบัน น้ำตาลกลายเป็นตัวร้าย ต้นเหตุของโรคภัยนานาประการ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ ฟันผุ รวมถึงเบาหวาน ขณะที่มีงานวิจัยพบว่า น้ำตาลอาจเป็นสาเหตุของอาการอัลไซเมอร์ ซึ่งมีแนวโน้มจะถูกบัญญัติเป็นเบาหวานชนิดที่ 3 (Type 3 Diabetes) หรือเบาหวานด้านสมอง
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ สหรัฐ ออกคู่มือแนะนำแนวทางในการบริโภคอาหาร (Dietary Guidelines Advisory Committee: DGAC) นำเสนอการจัดการปัญหาบริโภคน้ำตาลล้นเกินด้วยภาษีน้ำตาล ที่ผู้ผลิตเติมเข้าไปในผลิตภัณฑ์ โดยพยายามไม่ให้เกินร้อยละ 10 ของปริมาณแคลอรีแนะนำต่อวัน
โรเบิร์ต ลัสติก ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคอ้วนในเด็ก เทียบปริมาณน้ำตาลระหว่างโยเกิร์ตรสธรรมชาติกับโยเกิร์ตรสผลไม้ ที่ขนาดบรรจุเท่ากัน คือ 6 ออนซ์ โยเกิร์ตรสธรรมชาติมีน้ำตาลแลคโตส 7 กรัม ขณะที่ โยเกิร์ตผสมทับทิม มีน้ำตาล 19 กรัม โดยเป็นน้ำตาลที่เติมเข้าไป 12 กรัม
“คุณปล่อยให้น้ำตาลทำลายตับคุณ 35 ปอนด์ต่อปี ผลของมันเทียบได้กับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลในปริมาณเท่ากัน น้ำตาลที่ว่าก็คือ ฟรุคโตส เป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยวที่จะถูกเผาผลาญเป็นพลังงานที่ตับ เช่นเดียวกับที่ตับต้องรับมือกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล”
ลัสติกให้ข้อมูลว่า ปริมาณน้ำตาลที่อเมริกันชนบริโภคต่อปี อยู่ที่ 100 ปอนด์ นี่จึงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เด็กๆ ยุคนี้ป่วยเป็นเบาหวานกันมากขึ้น และยังประสบภาวะไขมันพอกตับเสริมเข้าไปด้วย แม้จะไม่ได้แตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล ซึ่งเป็นของทำลายตับตัวสำคัญแต่อย่างใด
ที่มา: alternet.org