30 เมษายนของทุกปี คือวันคุ้มครองผู้บริโภคไทย คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน (คอบช.) ถือเอาฤกษ์นี้จัดเวทีเสวนาสะท้อนความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ 2558 ว่าด้วยเรื่องสิทธิของผู้บริโภค พร้อมเรียกร้องให้มีการทำ ‘ประชามติ’ เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับการยอมรับจากประชาชนอย่างแท้จริง
30 เมษายนของทุกปี คือวันคุ้มครองผู้บริโภคไทย คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน (คอบช.) ถือเอาฤกษ์นี้จัดเวทีเสวนาสะท้อนความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ 2558 ว่าด้วยเรื่องสิทธิของผู้บริโภค พร้อมเรียกร้องให้มีการทำ ‘ประชามติ’ เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับการยอมรับจากประชาชนอย่างแท้จริง
ชี้จุดอ่อนร่าง รธน. ด้านผู้บริโภค
กฎหมายมาตราสำคัญที่ถูกบรรจุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคโดยตรง คือ
“มาตรา 60 สิทธิของผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครอง
“ให้มีองค์การเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นอิสระซึ่งมิใช่หน่วยงานของรัฐ ประกอบด้วยตัวแทนผู้บริโภค ทำหน้าที่ให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของหน่วยงานของรัฐในการตราและการบังคับใช้กฎหมายและกฎ ให้ความเห็นในการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยไม่กระทำการอันเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค และเสนอทางแก้ไขเยียวยาความเสียหายที่ผู้บริโภคได้รับ ตลอดจนสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีความรู้และทักษะที่จำเป็นด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งนี้ ให้รัฐสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการขององค์การดังกล่าวด้วย”
แม้สาระสำคัญของกฎหมายจะมีเจตนารมณ์ที่มุ่งส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครอง แต่ในรายละเอียดของบางถ้อยคำอาจต้องมีการพิจารณาทบทวน
![นางสาวสุรีรัตน์ ตรีมรรคา](http://waymagazine.org/wp-content/uploads/2015/04/นางสาวสุรีรัตน์-ตรีมรรคา-กรรมการผู้เชี่ยวชาญ-ด้านบริการสุขภาพ-620x414.jpg)
สุรีรัตน์ ตรีมรรคา กรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านบริการสุขภาพ คอบช. มองว่า เครือข่ายผู้บริโภคมีความคาดหวังว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะให้ความสำคัญต่อผู้บริโภคมากขึ้น จากการติดตามเนื้อหาของรัฐธรรมนูญพบว่ามีการแยกเรื่องสิทธิออกเป็น 2 ส่วนคือ สิทธิมนุษยชนกับสิทธิพลเมือง ซึ่งในมาตรา 60 ของสิทธิพลเมือง ระบุไว้ว่า ควรต้องมีการจัดตั้งองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เช่นเดียวกับที่เคยบรรจุไว้ในมาตรา 61 ของรัฐธรรมนูญฉบับ 2550
“แต่ปรากฏว่า ข้อความในมาตรา 60 กลับหายไป 1 ย่อหน้า และเป็นข้อความที่สำคัญคือ ‘สิทธิของบุคคลซึ่งเป็นผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครองในการได้รับข้อมูลที่เป็นความจริง และมีสิทธิร้องเรียนเพื่อให้ได้รับการแก้ไขเยียวยาความเสียหาย รวมทั้งมีสิทธิรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค’ ทาง คอบช. จึงขอเสนอให้มีการทบทวนอีกครั้งโดยยึดตามถ้อยคำในมาตรา 61 เป็นสำคัญ” สุรีรัตน์ กล่าว
สุรีรัตน์ระบุข้อสังเกตอีกประการหนึ่งว่า คำว่า ‘พลเมือง’ ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจทำให้เกิดการตีความที่แคบลง เนื่องจากมีการกำหนดนิยามว่า พลเมืองหมายถึงปวงประชาชนชาวไทยเท่านั้น ซึ่งรัฐมีหน้าที่ต้องคุ้มครองประชาชนทุกคนที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทย เพราะที่จริงแล้วพลเมืองหมายถึงผู้ที่เป็นกำลังสำคัญของเมืองและเป็นผู้จ่ายภาษีให้กับเมือง ฉะนั้น รัฐจึงควรปกป้องคุ้มครองคนทุกคน และรัฐธรรมนูญต้องเปิดกว้างมากขึ้น
ท้ายที่สุดแล้ว ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ สุรีรัตน์ยืนยันว่า จะต้องมีการทำประชามติ เพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างแท้จริง
“ร่างรัฐธรรมนูญจะสะท้อนถึงที่มาที่ไปของการมีส่วนร่วมได้ก็คือ การแสดงความเห็นของประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร และจะต้องมีการลงมติประชามติว่าจะรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งภาคประชาชนต้องช่วยกันลุกขึ้นมาเรียกร้อง เพราะยังมีเวลาที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ใน 60 วัน”
สถานการณ์ผู้บริโภค 2557 ถูกละเมิดหนัก
ปัจจุบันสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคยังอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง ประชาชนยังไม่สามารถพึ่งพาหน่วยงานรัฐในการจัดการปัญหาได้ทั้งหมด จากการรวบรวมสถิติการรับเรื่องร้องเรียนที่ส่งตรงมาถึงเครือข่ายภาคประชาชน พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 2,710 เรื่อง ซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความเดือดร้อนของประชาชนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
“จากสถิติที่มีการร้องเรียนมายังเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคประชาชนในปี 2557 รวมทั้งสิ้น 2,710 เรื่อง พบปัญหาที่ผู้บริโภคร้องเรียนเข้ามามากที่สุด ได้แก่ ปัญหาบริการสุขภาพและสาธารณสุข 858 เรื่อง ปัญหาด้านการเงินการธนาคาร 476 เรื่อง และปัญหาด้านสื่อและโทรคมนาคม 426 เรื่อง” สุภาพร ถิ่นวัฒนากูล หนึ่งในกรรมการ คอบช. ระบุ
![นางสุภาพร ถิ่นวัฒนากูล](http://waymagazine.org/wp-content/uploads/2015/04/นางสุภาพร-ถิ่นวัฒนากูล-กรรมการผู้แทนเขต-5-ภาคเหนือ-620x414.jpg)
นอกจากนี้ ในด้านการตรวจสอบหน่วยงานภาครัฐ พบว่า หลายหน่วยงานไม่ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ คำสั่ง ที่กำหนดไว้ในกฎหมาย เช่น กรณีที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) และสำนักงานเขตปทุมวันอนุญาตให้มีการก่อสร้างตึกสูงในซอยร่วมฤดีโดยผิดกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาให้ชาวบ้านในชุมชนซอยร่วมฤดีชนะคดี พร้อมมีคำสั่งให้ กทม. และสำนักงานเขตปทุมวัน ดำเนินการรื้อถอนอาคารเจ้าปัญหาภายใน 60 วัน ซึ่งคดีนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่การดำเนินงานของหน่วยงานรัฐที่ต้องมีความเข้มงวดในการอนุญาตการก่อสร้างอาคารมากขึ้น
อีกหนึ่งกรณีตัวอย่าง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตีในการยกเลิกแร่ใยหิน ทำให้ผู้บริโภคยังตกอยู่ในความเสี่ยงต่อสุขภาพจากอันตรายของแร่ใยหิน ซึ่งตามร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังพิจารณาอยู่นี้ก็มีการตั้งหน่วยงานตรวจสอบขึ้นมามากมาย และหนึ่งในนั้นคือ องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งได้กำหนดไว้ในมาตรา 60
สุภาพร กล่าวต่ออีกว่า รัฐธรรมนูญให้ความสำคัญต่อสิทธิประชาชน และประชาชนก็คือผู้บริโภคเกือบ 70 ล้านคนทั่วประเทศ ดังนั้น ผู้บริโภคทุกคนต้องแสดงพลังที่จะแก้ไขจัดการปัญหาของตนเอง
ที่ผ่านมาบทบาทของ คอบช. ได้มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้องค์กรผู้บริโภคทั้งประเทศในการรวมตัวกันเป็นเครือข่าย ขณะนี้สามารถแบ่งได้เป็น 6 ภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ภาคกลาง และ กทม. โดยผ่านการทำงานในโครงการต่างๆ ร่วมกัน เช่น โครงการรถโดยสารสาธารณะ โครงการเฝ้าระวังสื่อ และโครงการสร้างความเข้มแข็งกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน เป็นต้น
เดินหน้าเรียกร้อง ‘องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค’
สิ่งที่เครือข่ายภาคประชาชนพยายามผลักดันมาโดยตลอดคือ การจัดตั้ง ‘องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค’ ในการทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนโดยมีกฎหมายรองรับอย่างเป็นรูปธรรม โดยองค์กรนี้จะมีสถานะเป็นนิติบุคคลที่เป็นอิสระจากหน่วยงานรัฐ เนื่องจากที่ผ่านมาแม้จะมีสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรี แต่การแก้ปัญหาก็ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร อีกทั้งมีความล่าช้าในการดำเนินการ ไม่สามารถตอบสนองข้อร้องเรียนร้องทุกข์ของประชาชนได้อย่างครบถ้วน
กว่า 17 ปีมาแล้วที่เครือข่ายผู้บริโภคเรียกร้องให้มี พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค แต่จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถผลักดันได้สำเร็จ ภาคประชาชนจึงได้รวมตัวกันขับเคลื่อนงานคุ้มครองผู้บริโภคในนามของ คอบช. ซึ่งเป็นเสมือนองค์กรเงาที่ทำหน้าที่เกาะติดนโยบายสาธารณะที่จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธาน คอบช. เผยว่า เส้นทางของร่าง พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ถูกเสนอต่อรัฐบาลมาแล้วหลายสมัย โดยล่าสุดเมื่อปี 2554 ได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากรัฐสภามาเป็นลำดับและเตรียมนำเข้าสู่วาระ 3 เพื่อให้ที่ประชุมของวุฒิสภาให้การรับรอง จนกระทั่งรัฐบาลประกาศยุบสภาเมื่อปี 2556 ทำให้หยุดชะงักไป และต่อมาเกิดการรัฐประหารในปี 2557 จึงถูกนำมาพิจารณาอีกครั้ง
“ถึงแม้สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จะนำกฎหมายที่พิจารณาค้างอยู่ขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ เพื่อส่งเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แต่จนปัจจุบันก็ยังไม่มีความคืบหน้า ซึ่งเครือข่ายผู้บริโภคเองไม่สามารถรอต่อไปได้ จึงต้องตั้งคณะทำงานภาคประชาชนขึ้นมา เพื่องานคุ้มครองผู้บริโภคสามารถขับเคลื่อนต่อไปข้างหน้า ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการมากว่า 2 ปีแล้ว” รศ.ดร.จิราพร กล่าว
![รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์](http://waymagazine.org/wp-content/uploads/2015/04/รศ.ดร.จิราพร-ลิ้มปานานนท์-ประธานผู้เชี่ยวชาญ-ด้านอาหารยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ-620x414.jpg)
ประเด็นการขับเคลื่อนของ คอบช. ได้แบ่งภารกิจในการคุ้มครองผู้บริโภคออกเป็น 7 ด้าน ได้แก่ ด้านการเงินการธนาคาร ด้านบริการสาธารณะ ด้านบริการสุขภาพ ด้านสินค้าและบริการทั่วไป ด้านสื่อและโทรคมนาคม ด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ และด้านที่พักอาศัย
ภาพรวมการทำงานในรอบปีที่ผ่านมาสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นหลากหลายเรื่อง กรณีที่สำคัญ เช่น การกำหนดค่าโทรศัพท์ตามจริงโดยไม่ปัดเศษเป็นนาที เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบจากการใช้บริการโทรคมนาคม การผลักดันให้มีการออก พ.ร.บ.ทวงถามหนี้ และเพิ่มมาตรการเยียวยาลูกหนี้ การเสนอให้แก้ไขปัญหาการส่งต่อผู้ป่วยในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ป่วยไม่ถูกเรียกเก็บเงินเพิ่ม การตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน กรณีรถยนต์เชฟโรเลต ครูซ และแคปติวา การเสนอให้ กสทช. ออกคูปองกล่องทีวีดิจิตอลในราคา 690 บาท และการเสนอให้รัฐบาลเปิดรับฟังความคิดเห็นก่อนการให้สัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 เป็นต้น
และถัดจากนี้ไป คอบช. กำหนดประเด็นไว้ว่า จะมีการติดตามความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินธุรกิจของเครื่องดื่มชาเขียวผสมน้ำตาลว่ามีความเป็นธรรมหรือไม่ ทั้งหมดนี้เพื่อให้เกิดการพิทักษ์สิทธิผู้บริโภคอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ ในอนาคตข้างหน้าหากมีการจัดตั้งองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคได้สำเร็จ จะส่งผลดีต่อผู้บริโภคในหลายด้าน ได้แก่ การเปิดเผยชื่อสินค้าที่เอาเปรียบผู้บริโภค การป้องกันปัญหาและเป็นปากเป็นเสียงของผู้บริโภคในทุกกรณี ไม่ถูกหลอก ถูกโกง เป็นหน่วยสนับสนุนผู้บริโภคแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (One Stop Service) รวมถึงการผลักดันกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องมีการพิจารณาเพื่อหาข้อสรุปกันต่อก็คือ คำว่า ‘องค์การเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นอิสระซึ่งมิใช่หน่วยงานของรัฐ’ จะจัดเป็นหน่วยงานประเภทใด ในประเทศไทยมีองค์การในลักษณะนี้หรือไม่
หากองค์การผู้บริโภคนี้มิใช่หน่วยงานรัฐแล้ว ยังถือเป็นหน้าที่ของของหน่วยงานต่างๆ ของรัฐหรือไม่ที่จะต้องส่งกฎหมาย กฎที่จะตราขึ้นหรือจะบังคับใช้ มาให้องค์การเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาให้ความเห็นหรือไม่ และความเห็นนี้จะมีผลผูกพันต่อหน่วยงานต่างๆ ของรัฐหรือไม่
นอกจากนี้ หน้าที่ขององค์การผู้บริโภคในการตรวจสอบและรายงานการกระทำที่เป็นการละเลยการคุ้มครองผู้บริโภคของหน่วยงานต่างๆ ในทางปฏิบัติจะสามารถทำได้จริงหรือไม่ เพราะในเมื่อองค์การผู้บริโภคมิใช่หน่วยงานของรัฐ จะอาศัยอำนาจใดในการเรียกหน่วยงานทั้งรัฐ เอกชน หรือบุคคลเข้ามาชี้แจง ให้ข้อมูล หรือเข้าไปตรวจสอบหาข้อมูลพยานหลักฐานเพื่อจัดทำรายงาน
สุดท้ายเรื่องของงบประมาณที่จะสนับสนุนองค์การผู้บริโภคนั้น เมื่อมิใช่หน่วยงานของรัฐ การสนับสนุนงบประมาณจะเป็นไปในลักษณะใด จะเพียงพอต่อการดำเนินการได้อย่างเป็นอิสระและมีประสิทธิภาพหรือไม่
ทั้งหมดนี้จะต้องผ่านกระบวนการพิจารณาเพื่อให้ตกผลึกทางความคิดกันต่อไป
ในขณะที่สถานการณ์ด้านสิทธิของผู้บริโภคยังคงถูกละเมิดอย่างต่อเนื่อง ภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภคจึงไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคนที่ต้องตระหนักในสิทธิของตนเอง เพราะหากหวังพึ่งพาหน่วยงานรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียวอาจไม่สามารถคลี่คลายทุกปัญหาให้ลุล่วงได้ ดังนั้นจำเป็นต้องยกระดับสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน
***************************************