ทีวีไม่พอ เรียนออนไลน์ไม่ได้ โรงเรียนบ้านตะโกล่างอันห่างไกลให้ชุมชนร่วมเป็นครู

ในเขตพื้นที่ห่างไกลติดขอบชายแดนไทย-พม่า คือที่ตั้งของโรงเรียนบ้านตะโกล่าง ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี นอกจากระยะทาง สิ่งอำนวยความสะดวกและความเจริญจะเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงการศึกษาของเด็กและเยาวชนที่นี่แล้ว ผลพวงจากวิกฤติโรคระบาด COVID-19 ยังซ้ำเติมให้การจัดการเรียนการสอนยากลำบากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ

ด้วยอุปสรรคที่ต้องเผชิญอย่างชนิดที่ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว ทำให้ผู้บริหาร คณะครู ผู้ปกครอง และชุมชนท้องถิ่น ได้มีการปรับตัวและหันมาร่วมมือกันฝ่าฟันหาทางออกจากสถานการณ์วิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน

หลังจากเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ปีการศึกษาใหม่นี้คงไม่อาจเปิดภาคเรียนได้ตามปกติ อีกทั้งมีนโยบายจากเบื้องบนสั่งการลงมาให้ทุกโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดให้มีการเรียนการสอนแบบออนไลน์หรือทีวีดาวเทียม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกโรงเรียนจะมีความพร้อมรองรับนโยบายนี้ได้เสมอไป ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าสังคมไทยยังมีความเหลื่อมล้ำอยู่แทบทุกมิติ

“โรงเรียนของเราอยู่ติดชายแดนพม่า มีเด็กนักเรียนไทยสัก 20 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นเด็กชาติพันธุ์ หลายคนไม่มีสถานะทางทะเบียน หลายคนขาดแคลนทุนทรัพย์ เราก็พยายามจัดให้มีการศึกษานอกระบบผสมผสานกับในระบบ อาศัยครูที่มีอยู่ไปช่วยสอนวันเสาร์อาทิตย์บ้างหรือในช่วงเย็นบ้าง ภายหลังเราจึงเปิดเป็นโรงเรียนขยายโอกาสจนถึง ม.3 ทำให้ตอนนี้มีเด็กเข้าถึงการศึกษาเพิ่มขึ้นจาก 400 คน เป็น 760 คน” เฉลียว เถื่อนเภา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตะโกล่าง เล่าถึงสภาพภูมิหลังของโรงเรียนให้ฟัง

เมื่อเกิดสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ทางโรงเรียนจึงต้องปฏิบัติตามแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ เริ่มจากส่งครูประจำชั้นไปเยี่ยมบ้านนักเรียนและสำรวจความพร้อมทั้งในเรื่องถนน ไฟฟ้า ทีวี จานรับสัญญาณดาวเทียม รวมถึงเครื่องมือสื่อสารต่างๆ

“เราพบว่ามีเด็กไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่สามารถเรียนแบบออนไลน์ได้ บางครอบครัวไม่มีทีวี หรือบางครอบครัวมีทีวี แต่ไม่มีกล่องรับสัญญาณ ทำให้ต้องไปดูกับเพื่อนบ้าน ทางโรงเรียนจึงเห็นว่าวิธีการที่น่าจะเหมาะสมคือให้เด็กมารวมตัวกันตามหย่อมบ้าน โดยหาสถานที่รองรับที่ไม่แออัดจนเกินไป แล้วหาทีวีสัก 6-10 เครื่อง สำหรับเด็กชั้นอนุบาลจนถึง ม.3 เพื่อให้เด็กในหย่อมบ้านนั้นได้มานั่งดูด้วยกัน”

เฉลียว เถื่อนเภา
ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตะโกล่าง

แผนปฏิบัติการขั้นถัดมา หลังแบ่งกลุ่มนักเรียนเป็นหย่อมบ้านแล้ว ทำอย่างไรจึงจะจัดหาครูไปประจำการ ณ จุดต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง จุดนี้เองทำให้เกิดแนวคิดที่เรียกว่า ‘อสม.การศึกษา’

อสม. ในที่นี้คือ อาสาสมัครด้านการศึกษาหรือครูพี่เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำชุมชน ผู้ปกครอง ไปจนถึงอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านที่จะช่วยดูแลด้านสุขอนามัยให้แก่เด็กๆ ที่สำคัญคือมีการเปิดรับบัณฑิตจบใหม่และศิษย์เก่าของโรงเรียนที่ต้องการทำงานช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่น โดยมีค่าตอบแทนให้ตามความเหมาะสมภายใต้การสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) วิทยาเขตราชบุรี

“กลุ่มเป้าหมายที่เราคาดหวังว่าจะเข้ามาเป็นอาสาสมัคร อันดับแรกคือศิษย์เก่าของโรงเรียนหรือคนในชุมชนเป็นหลัก เพราะเป็นผู้ที่รู้จักคุ้นเคยในพื้นที่ และมีความเข้าใจในภาษาของคนชาติพันธุ์ แต่ก็ยังมีจำนวนค่อนข้างน้อย เราจึงมองไปถึงบัณฑิตที่ยังว่างงานและสนใจทำงานเรื่องเด็กและเยาวชน รวมไปถึงผู้ปกครองหรือพี่ป้าน้าอาในชุมชนก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมเป็นอาสาสมัครตรงนี้ได้”

เฉลียว เถื่อนเภา
ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตะโกล่าง

ผอ.เฉลียว เล่าต่อว่า อาสาสมัครเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญที่จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยครูในการจัดการเรียนการสอนให้กับเด็ก แม้จะไม่มีพื้นฐานความรู้ในด้านครุศาสตร์โดยตรง แต่ก็สามารถเติมเต็มในจุดที่ครูไม่สามารถเข้าไปดูแลได้ทั่วถึง อย่างน้อยที่สุดต้องมีสัดส่วนครูหรืออาสาสมัคร 1 คน ต่อเด็ก 20 คน โดย มจธ.ราชบุรี จะมีการจัดฝึกอบรมเบื้องต้นให้กับเหล่าอาสาสมัครเพื่อให้พร้อมออกปฏิบัติหน้าที่

“แน่นอนว่ามาตรการที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดคือ การล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ส่วนกิจกรรมการเรียนการสอนจะเน้นให้มีการแจกใบงานให้เด็กๆ โดยมีอาสาสมัครหรือครูพี่เลี้ยงช่วยสอน ช่วยตรวจการบ้าน และอาจจะมีกิจกรรมสันทนาการเสริมหลักสูตรบ้าง ซึ่งโมเดลนี้เป็นการแก้ไขปัญหาวิกฤติเฉพาะหน้า และยังอยู่ในขั้นทดลองว่าแนวทางนี้จะตอบโจทย์การศึกษาได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนระยะต่อไปอาจต้องมีการเสริมในจุดที่ยังขาด ถ้าภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ยังไม่สามารถเปิดเรียนได้”

ภาพประกอบทั้งหมดโดย วิชนาถ สถาพร

ผอ.เฉลียว มองว่าภารกิจครั้งนี้ดำเนินไปได้ด้วยดีเนื่องจากการร่วมแรงร่วมใจกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สถานีอนามัย มหาวิทยาลัย สำนักสงฆ์ โบสถ์คริสต์ ไปจนถึงคนในชุมชนเอง

จากนวัตกรรมที่เรียกว่า อสม.การศึกษา ได้มีการพัฒนาไปสู่ ‘ราชบุรีโมเดล’ ที่มีการนำร่องใน 4 โรงเรียนต้นแบบ และพร้อมจะขยายเครือข่ายการทำงานไปสู่พื้นที่ใกล้เคียง โดย ผอ.เฉลียว วางเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นโมเดลการทำงานด้านการศึกษาเชิงรุกที่มีอาสาสมัครเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนต่อไป

“เราหวังว่าวิกฤติครั้งนี้จะนำไปสู่การถอดบทเรียนเพื่อนำมาปรับใช้ในภายภาคหน้าหากเกิดสถานการณ์ที่ไม่ปกติขึ้นอีก และหวังว่าแนวทางที่เราได้ทดลองทำกันมานี้จะเป็น New Normal ที่สามารถเป็นต้นแบบของการจัดการศึกษาในภาวะวิกฤติต่างๆ ได้”

สนับสนุนโดย

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า