ฉากดอกซากุระบานสะพรั่งที่คุ้นตาจากภาพยนตร์สัญชาติญี่ปุ่น สายลมพัดพากลีบซากุระล่องลอยและร่วงโรย สะท้อนช่วงเวลาแสนสั้นที่งดงาม เช่นเดียวกับความไม่แน่นอนของชีวิต แต่เพราะความไม่แน่นอนเช่นนั้น ชีวิตจึงงดงาม
The Last 10 Years บอกเล่าเรื่องราวของ มัตสึริ ทาคาบายาชิ หญิงสาววัย 20 ปี ที่ใช้ชีวิตอย่างสดใส กระทั่งเกิดภาวะความดันหลอดเลือดแดงในปอดสูง ซึ่งเป็นโรคที่ยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ โดยเฉลี่ยผู้ป่วยจะมีอายุอีกเพียง 10 ปี หลังจากตรวจพบโรคดังกล่าว
แม้จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ได้โปรดอย่าลืมใช้ชีวิตให้มีความสุข
เมื่อแคปซูลกาลเวลาที่ฝากข้อความถึงตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้า ถูกเปิดออกในงานเลี้ยงรุ่นสมัยมัธยมต้น นอกจากการถามไถ่ความเป็นไปในชีวิต ทั้งเรื่องงาน ความรัก ครอบครัว หรือแม้แต่เรื่องลูก ซึ่งสะท้อนให้เห็นขนบของสังคม คือ การเรียนจบมหาวิทยาลัย มีหน้าที่การงานมั่นคง และแต่งงานสร้างครอบครัว ข้อความจากมัตสึริในวัยเด็กเมื่อ 10 ปีก่อน ยิ่งตอกย้ำและชวนขบคิดถึงความหมายของการมีชีวิต
ถึงตัวฉันในอีก 10 ปี ชีวิตตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ได้ทำงาน ทำตามความฝัน มีความรัก และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไหม
ข้อความข้างต้นไม่ใช่เพียงใจความสำคัญของมัตสึริในวัยเด็กเท่านั้น ทว่ายังเป็นใจความเดียวกับข้อความของ คาซึโตะ มานาเบะ ชายหนุ่มที่ตัดสินใจไม่รับช่วงต่อกิจการครอบครัว แล้วย้ายมาทำงานที่โตเกียว แต่ถูกเลิกจ้างก่อนวันงานเลี้ยงรุ่นเพียง 1 เดือน และแทบจะถูกตัดขาดจากคนในครอบครัว เมื่อเจอข้อความจากตัวเองในอดีต ยิ่งทำให้คาซึโตะรู้สึกไร้เป้าหมายในชีวิต
หากชีวิตไม่ได้เป็นไปตามขนบของสังคมที่ต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย มีหน้าที่การงานมั่นคง แต่งงานสร้างครอบครัวและมีลูก แล้วชีวิตจะยังมีความหมายหรือไม่
“ผมแค่ไม่อยากอยู่อีกแล้ว เลยปล่อยตัวเองร่วงลงไป”
“ฉันไม่รู้จักคุณหรอก แต่ฉันคิดว่าคุณเห็นแก่ตัว”
บทสนทนาแสนสั้นระหว่างคาซึโตะและมัตสึริ ทว่ากลับทำให้ต่างฝ่ายต่างทบทวนชีวิตของตัวเองอีกครั้ง และเริ่มต้นชีวิตใหม่ งานใหม่ โดยมัตสึริได้เป็นนักเขียนอย่างที่ตัวเองเคยฝันไว้ ด้วยความช่วยเหลือจาก ซานาเอะ ฟุจิซากิ เพื่อนผู้เห็นพรสวรรค์ในงานเขียนของเธอ ขณะที่คาซึโตะได้ทำงานในร้านอาหารแห่งหนึ่ง แม้งานของทั้งสองอาจจะไม่ใช่งานที่หลายคนคาดหวัง แต่ก็ทำให้ชีวิตพวกเขามีความหมาย รวมถึงการได้ใช้เวลาร่วมกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือครอบครัวที่ร่วมผ่านการเปลี่ยนแปลงของแต่ละฤดูกาลไปด้วยกัน
การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข บางทีจึงไม่จำเป็นต้องเดินตามขนบของสังคมเสมอไป อาจเริ่มจากการมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต การได้ใช้เวลาร่วมกับคนรอบข้างอย่างมีคุณภาพ และการกล้าลองทำสิ่งที่อยากทำ
เวลา 10 ปี นับเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานหรือแสนสั้นกันนะ?
ตลอดระยะเวลาการดำเนินเรื่อง 2 ชั่วโมง ภาพยนตร์ไม่ได้เน้นเรื่องราวความสัมพันธ์ของมัตสึริกับคาซึโตะมากนัก แต่เผยให้เห็นสายสัมพันธ์ของตัวละครอย่างครบรส ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่ช่วยทั้งเรื่องงานและความสัมพันธ์ พี่สาวของมัตสึริพยายามหาวิธีการรักษาใหม่ๆ ที่น่าจะช่วยให้มัตสึริหายจากโรค รวมถึงครอบครัวที่พยายามเข้าใจการตัดสินใจต่างๆ ของมัตสึริ
นอกจากนี้ ยังได้ RADWIMPS มาร่วมสร้างสรรค์เพลงประกอบครั้งนี้ ซึ่งเรียงร้อยชีวิต 10 ปีสุดท้ายของมัตสึริได้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่เพลงเปิด Opening of “The Last Ten Years” เมื่อมัตสึริรู้ว่าชีวิตเหลือเวลาอีกเพียง 10 ปี กระทั่งเธอตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ พร้อมบันทึกช่วงเวลาที่เหลืออยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านแต่ละฤดูกาลอย่างไม่โดดเดี่ยว ประกอบกับเพลง Overlapped Seasons
หลังจากมัตสึริทำงานเป็นนักเขียนได้อย่างลงตัว เธอจึงเริ่มเขียนเรื่องราวชีวิตของตัวเองในช่วง 10 ปีสุดท้าย รวมถึงเรื่องราวในอนาคตที่เธออาจไม่ได้อยู่กับคนรอบข้าง โดย RADWIMPS เลือกเพลง Spending Time, Remaining Time เพื่อสะท้อนความคิดของมัตสึริที่กลับมาทบทวนความหมายของชีวิตที่ผ่านมา เวลาที่หมดไปเหล่านั้นนับว่าได้ทำสิ่งที่ต้องการแล้วหรือยัง แต่ละการตัดสินใจ แต่ละความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นถูกต้องแล้วหรือเปล่า
สุดท้ายที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลย คือเพลง Ms. Phenomenal ซึ่งตราตรึงผู้ชมจำนวนไม่น้อยให้นั่งอยู่ภายในโรงภาพยนตร์จนเครดิตภาพยนตร์จบ เพลงไม่ได้ทำหน้าที่เพียงบอกเล่าแง่มุมความรักของคาซึโตะที่มีต่อมัตสึริเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้ชมได้กลับมาไตร่ตรองถึงความหมายชีวิตของตัวเองเช่นกัน
หากกล่าวในแง่ผู้ชมซึ่งไม่มีเงื่อนไขเรื่องเวลาของชีวิต แน่นอนว่าระยะเวลา 10 ปี ดูเหมือนจะยาวนาน แต่เมื่อเวลา 10 ปีของมัตสึริที่ได้รับการฉายภาพใน 2 ชั่วโมงนั้น เป็นช่วงเวลาที่ทั้งยาวนานสำหรับผู้ชมที่ได้ดื่มด่ำกับภาพยนตร์ และแสนสั้นสำหรับช่วงเวลาที่มีความสุขของมัตสึริ
การได้เจอกับคนที่เรารัก ก็เหมือนกับปาฏิหาริย์นั่นแหละ
ประโยคเอื้อนเอ่ยสั้นๆ จาก เก็น คาจิวาระ (รับบทโดย ลิลี่ แฟรงกี้) เจ้าของร้านอาหารที่คาซึโตะทำงานอยู่ ราวกับหมัดฮุคที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคาซึโตะกับมัตสึริขยับเข้าใกล้กัน เมื่อการพบเจอเธอทำให้เขาสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง ส่วนเธอไม่กล้าที่จะเลื่อนสถานะความสัมพันธ์ แล้วจุดเปลี่ยนแบบไหนถึงทำให้ทั้งสองขยับความสัมพันธ์ไปอีกขั้น
‘สัญญาณ’ แบบไหนกันที่บอกว่าเราควรใช้ชีวิตกับคนนี้
คนที่รู้ได้ทันทีว่า แสงแดดแบบนี้ไม่ได้มีทุกวัน
และหนาวแบบนั้นจะไม่ผ่านเข้ามาอีกแล้ว
หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายกว่านั้น นึกถึงประโยคหนึ่งจากหนังสือ ผมบอกรักเธอด้วยฟอนต์ Cordia ของ ใบพัด นบน้อม เพราะในชีวิตหนึ่งของเราไม่อาจมีใครก็ได้เป็นคนที่เรารัก แต่การเจอคนที่เรารักและเขาก็รักเรา การพบเจอกันราวกับปาฏิหาริย์แบบนี้จะปล่อยหลุดมือกันไปจริงเหรอ เช่นเดียวกับบทสนทนาระหว่างคาซึโตะและเก็นที่ว่า
“ที่อื่นไม่มีหรอกครับ”
“ใช่ ที่อื่นไม่มีหรอก ชีวิตมีครั้งเดียว”
ส่วนมัตสึริที่พยายามปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อคาซึโตะ เพราะเธอเคยเห็นแล้วว่าคนที่ต้องสูญเสียคนรักไปนั้นโศกเศร้ามากแค่ไหน ทว่าเมื่อคนรอบข้างทั้งพี่สาวและเพื่อนทยอยหมั้นหมายแต่งงาน อีกทั้งเพื่อนที่เป็นห่วงอยากให้มีใครสักคนแบ่งเบาความรู้สึกของเธอ จุดนี้อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เธอกลับมาทบทวนเรื่องความสัมพันธ์อีกครั้ง
หากชีวิตที่เหลืออยู่ต้องใช้ไปกับคนที่เธอไม่ได้รัก แล้วทำไมจึงไม่เลือกอยู่กับคนที่รักล่ะ แม้จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วต่างต้องเจ็บปวด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสื่อสารความรู้สึกของตัวเองออกไปอย่างตรงไปตรงมา หลายฉากที่เราอาจรู้สึกว่าถ้าตัวละครตัดสินใจอีกแบบจะดีกว่าไหม หรือหากสื่อสารความรู้สึกกันมากกว่านี้จะดีกว่าไหม
‘ฉันไม่ได้คิดผิดใช่ไหม ฉันตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหม’
‘ฉันคิดถึงคุณ’
ส่วนหนึ่งของข้อความที่มัตสึริบันทึกเรื่องราว 10 ปีสุดท้ายของตัวเองไว้ ซึ่งคาซึโตะได้อ่านต้นฉบับก่อนที่จะวางขายและรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของมัตสึริ ทำให้เขาตัดสินใจไปหาเธออีกครั้ง ทว่าก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่หมอต้องปั๊มหัวใจมัตสึริ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสครั้งที่สอง
หากตอนนี้คุณยังมีคนสำคัญอยู่เคียงข้าง ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อน พี่น้อง ครอบครัว หรือคนรัก ได้โปรดอย่าลืมสื่อสารความรู้สึกของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา และแม้จะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็อย่าลืมใช้ชีวิตให้มีความสุข