ประวัติศาสตร์นับศูนย์: สู่การสูญพันธุ์ครั้งที่ 6
ยิ่งคุณอ่านสิ่งที่คุณจดไว้จากการอ่าน The Sixth Extinction ซ้ำไปซ้ำมามากเท่าไหร่ คุณยิ่งอิจฉาคนเขียนที่มีโอกาสได้ทำหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา คุณอิจฉาทุกทริปของเธอ เธอเดินทางไปในที่ที่ จู่ๆ คุณก็คิดฝันว่าจะได้ไปบ้าง
Great Barrier Reef คือหนึ่งในที่ที่คุณไม่เคยคิดฝันว่าอยากไปเห็น จนกระทั่งอ่านสิ่งที่เธอเขียน
เธอพาคุณตามหากบใกล้สูญพันธุ์ เข้าใจในชะตากรรมของค้างคาว ทำความรู้จักกับเพนกวินก่อนจะมาเป็นเพนกวินที่เรารู้จัก สังเกตซากฟอสซิล ดำลงไปใต้น้ำ ดูการทดลองความเป็นด่างของทะเลที่เกาะกาสเตลโล อาราโกเนเซ และเกาะอิสเกีย ที่เรียกกันติดตลาดไปแล้วว่า ทะเลกรด (ได้รับบทเด่นในการสูญพันธุ์อย่างน้อยสองครั้ง) เธอยังพาเราไปเดินป่า สังเกตการอพยพของต้นไม้และลูกหลานของพวกมันเมื่ออุณหภูมิบนโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ยังมีสัตว์อีกมากมายที่คุณควรรู้จักไว้ พวกมันไร้กระดูกสันหลัง และเรามีข้อมูลเกี่ยวกับมันน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ พวกมันอาจเป็น “สิ่งเล็กๆ ที่ขับเคลื่อนโลกใบนี้” แต่น่าเสียดายที่สิ่งเล็กๆ นั้นมองข้ามง่ายเหลือเกิน
ผู้เขียนยังแพร่เชื้อข้อมูลเกี่ยวกับนักธรณีวิทยาสายตาสั้น ผู้ชอบหาว่าคนอื่นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เขาคือคนที่มาก่อน ชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่คุณนับถือว่าเป็นบิดาแห่งวิวัฒนาการ เขาต่างหากคือบิดาแห่งบิดาที่คุณควรรู้จักไว้
หลังจากคุณได้ซึมซับการสูญพันธุ์ใหญ่ทั้งห้าครั้ง และเข้าถึงตัวเลข pH 7.8 ค่ากลางของจุดที่ระบบนิเวศเริ่มล่มสลาย ซึ่งนับเป็นจุดหักเหยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2100 คุณคงเริ่มตระหนกเพราะเหลือเวลาไม่มากแล้ว
อ่านจบ เธอน่าจะอนุญาตให้คุณเกลียดการกระทำของมนุษย์มากยิ่งขึ้น และเมื่อคุณอ่านถึงบรรทัดนี้ พวกเราคงมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับไปแล้ว