ข่าวลือที่แพร่ระบาดมากับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ข่าวลือนั้นแสดงออกถึงความกลัว มนุษย์สร้างข่าวลือเพราะกลัวว่าชีวิตจะไม่มั่นคง พูดง่ายๆ ข่าวลือทำให้ชีวิตมั่นคงขึ้น ภายใต้สถานการณ์ที่คลุมเครือ ข่าวลือจึงเป็นกระบวนการและขบวนการหาข่าวแบบหนึ่ง เป็นกลไกในการจัดการและควบคุมสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถควบคุมได้

 

ข่าวลือระบาด

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) ที่เริ่มต้นจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ก่อนจะแพร่ระบาดไปยังประเทศต่างๆ ได้สร้างสิ่งแวดล้อมที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เพราะความไม่รู้เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของการควบคุม

ความกลัว คือ 1 ในสิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้

เราจึงเห็นคลิป เรื่องราว ข้อมูล ข่าวสารที่แพร่สะพัด บางข่าวจริง หลายข่าวลวง หลายครั้งข่าวลือได้สร้างความตื่นตระหนกไปก่อนแล้ว

วิธีหนึ่งในการโต้ตอบกับข่าวลือ คือ “ควรจะทำอะไรให้มันโปร่งใสซะ ให้คนเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่านี้ ปัญหาก็คือแล้วรัฐและข้าราชการที่ไหนในโลกที่ทำอะไรๆ ด้วยความโปร่งใส บอกทุกอย่างให้ชาวบ้านรับรู้ กิจการลับๆ ของรัฐนั้นมันโปร่งใสได้ไหม”

ธเนศ วงศ์ยานนาวา เคยให้สัมภาษณ์ในหัวข้อ ‘ข่าวลือ’ กับ WAY โดยยกตัวอย่างบริบทที่รองรับการเกิดขึ้นของข่าวลือ เช่น ภารกิจซีไอเอโปร่งใสได้ไหม หน่วยข่าวกรองภายในประเทศต่างๆ ว่าหน่วยงานเหล่านี้สามารถทำให้โปร่งใสได้หรือไม่ ซึ่ง “ของแบบนี้ถ้าโปร่งใสมันก็ไม่เรียกว่า ‘ลับ’ แล้ว มันถึงต้องมี conspiracy theory ขึ้นมาไง เหมือนผีเน่ากับโลงผุ”

แต่กับกรณีการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนจำนวนมาก ทำไมมันจึงเต็มไปด้วยข่าวลือ ความไม่เชื่อถือข่าวจากทางการของประชาชน ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในประเทศจีน แต่รวมถึงประเทศไทยด้วย

 

อู่ฮั่น: จากชายชาตรีสู่ชายขี้โรค

อู่ฮั่น เป็นเมืองเอกของมณฑลหูเป่ยและเป็นเมืองใหญ่สุดในมณฑล ประกอบด้วยเมืองฮั่นโข่ว (Hankou) อู่ชาง (Wuchang) และ ฮั่นหยาง (Hanyang)

“อู่ฮั่นประกอบด้วย 3 เมือง ฮั่นโข่ว อู่ชาง ฮั่นหยาง นครอู่ฮั่นเป็นเมืองใหญ่ เป็นเมืองอุตสาหกรรมเหล็ก ในอดีตเป็นชุมทางคมนาคม เมืองหลักของนครอู่ฮั่นคือเมือง ‘ฮั่นโข่ว’ เป็นเมืองท่าติดต่อกับต่างประเทศ มีฉายาว่า ‘ชิคาโกตะวันออก’ เพราะหลายอย่างคล้ายเมืองชิคาโก”

สงวน คุ้มรุ่งโรจน์ อดีตนักข่าวของสำนักข่าวสิงคโปร์และฮ่องกง แม้ในวัย 65 เขาจะไม่มีสังกัด แต่ยังคงติดตามข่าวสารความเป็นไปของโลกโดยเฉพาะจีน และเป็นนักข่าวอิสระ บอกเล่าเกร็ดทางประวัติศาสตร์ของเมืองอู่ฮั่น

“ส่วน ‘อู่ชาง’ เป็นเมืองที่เป็นแหล่งกำเนิดการปฏิวัติซิ่นไฮ่ ปี ค.ศ. 1911 โค่นล้มราชวงศ์ชิง คำว่า ‘อู่ฮั่น’ อู่แปลว่า บู๊ ส่วนคำว่า ฮั่น แปลว่า ชายชาตรี อู่ฮั่น แปลว่า ชายชาตรีที่เก่งกล้าสามารถ แต่เราว่าตอนนี้อู่ฮั่นกลายเป็นชายขี้โรค”

หลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีแห่งจีน เพิ่งจะเดินทางไปตรวจสถานการณ์การระบาดที่เมืองอู่ฮั่นด้วยตัวเองเมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกที่เขาลงพื้นที่ศูนย์กลางการระบาด นับตั้งแต่เกิดการระบาดที่แพร่กระจายไปทั่วประเทศและจุดกระแสความกังวลทั่วโลก และนำไปสู่การปิดเมืองอู่ฮั่นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563

นายกรัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะทำงานเพื่อจัดการกับการแพร่ระบาดของโรค และคณะทำงานนี้เพิ่งจะประกาศขยายวันหยุดตรุษจีนที่กำหนดจะสิ้นสุดในวันที่ 30 มกราคมออกไปถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เพื่อลดการถ่ายเทของประชากร

โจว เซี่ยนหวัง นายกเทศมนตรีเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ออกสื่อเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มกราคม เพื่อรายงานว่า ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศปิดเมืองอู่ฮั่น ได้มีชาวเมืองอู่ฮั่นเดินทางออกนอกเมืองไปแล้วราว 5 ล้านคน และยังคงมีประชากรอยู่ในเมืองหลังปิดเมืองอีกราว 9 ล้านคน

“ทุกอย่างมันช้าไปหมด” สงวน แสดงความคิดเห็นถึงความล่าช้าของข่าวสารจากทางการจีน และความช้าก็ทำให้เกิดช่องว่าง ตรงช่องว่างนี้แหละอาจทำให้เกิด ‘ข่าวลือ’

Weibo: กระจกสะท้อนอารมณ์ของสังคม

สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ออกคำสั่งพิเศษให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจบังคับใช้กฎหมายสูงสุดต่อผู้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและกฎระเบียบว่าด้วยการป้องกันไวรัสโคโรนา การใช้กฎหมายสูงสุดฉบับคำสั่งพิเศษ คือ การรับโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือ ถูกวิสามัญฆาตกรรมโดยเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ จบตรงนั้นในที่เกิดเหตุ โดยไม่ต้องขึ้นศาล

แน่ละว่า กฎหมายพิเศษนี้ใช้ควบคุมเหล่ามิจฉาชีพที่ฉวยโอกาสที่บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติ แต่มันยังถูกใช้ควบคุมข่าวสารที่ไหลเวียนในภาวะวิกฤติด้วย

“ผมเพิ่งอ่านเจอว่าหญิงชาวบ้านคนหนึ่งปล่อยข่าวลือว่ามีคนตายเพิ่ม ผู้หญิงคนนี้ก็ถูกจับกุม ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดเป็นประจำ” สงวนเล่าให้ฟัง

ทำไมชาวจีนจึงเลือกที่จะฟังข่าวลือ?

เพราะข่าวรัฐบาลมาช้ามาก เช่น เมื่อวานนี้ที่มีคำสั่งให้ขยายวันตรุษจีนไปถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ทางการจีนเพิ่งมาประกาศตอนเช้านี้เอง ขณะที่ชาวบ้านเขารู้ก่อนหน้าแล้ว แต่บางเรื่องก็ไม่รู้ว่าจริงบ้างหรือเท็จบ้าง แต่เขาก็ลือกันไปก่อนแล้ว เมื่อวานนี้นายกเทศมนตรีเมืองอู่ฮั่น เพิ่งโผล่ออกมา ทั้งๆ ที่เคสแรกเกิดเมื่อเดือนที่แล้วนะ ตอนนั้นฮ่องกงเป็นคนแคะคุ้ยให้ระวังไวรัส แต่ทางการจีนปฏิเสธ เพราะตอนนั้นยังมีปัญหาม็อบฮ่องกงอยู่ อีกประเด็นที่ส่งให้ข่าวลือมันชวนงง คือ ภาษาจีน บางคำก็ไม่รู้จะแปลยังไง เวลาสื่อต่างประเทศแปลหรือข่าวจากในจีนมันแพร่ออกไป คำที่แปลมันก็มั่วๆ ไม่ได้ตรงประเด็นเสียทีเดียว

อีกเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะทางการจีนหลอกประชาชนมาหลายครั้งแล้ว

ภูมิทัศน์ของสื่อจีนเป็นอย่างไร

แน่นอนว่าสื่อรัฐก็มีแนวทางเสนอข่าวไปในทางเดียวกัน และต้องฟังคำสั่งคำบัญชาการจากศูนย์กลางพรรคให้อนุมัติก่อน จึงจะออกข่าวได้ ทางการจีนจะมีเหมือนทีวีพูลบ้านเราเวลามีข่าวใหญ่ ก็จะนำเสนอพร้อมกันหมดทุกช่อง แล้วคนจีนก็จะปิดโทรทัศน์เพราะไม่อยากฟัง เพราะมันคือโฆษณาชวนเชื่อเหมือนกับคืนวันศุกร์ของบ้านเราเมื่อ 4-5 ปีก่อน

แต่สื่อส่วนใหญ่เป็นสื่อออนไลน์ เป็นสื่อชาวบ้าน เขาก็จะถ่ายคลิป ก็เหมือนบ้านเรา เห็นถนนหนทางอะไรก็ถ่าย แล้วก็เขียนแคปชั่น ก็อาจจะเขียนใส่ไข่บ้างอะไรแบบนี้ ตัดต่อก็มีนะ ก็เหมือนพวกเราเขียนในทวิตเตอร์ เหมือนกันเลย เมืองจีนไม่มีทวิตเตอร์ ไม่มีเฟซบุ๊ค หนทางเดียวคือ Weibo

สื่อรัฐของจีนไม่มีเสรีภาพ แต่สื่อประชาชนของจีนมีเสรีภาพมากกว่าเมืองไทย

มากกว่าเมืองไทย?

มากๆ เลย เพราะถูกบล็อก มันก็เปลี่ยนแอคเคาท์ ใช้ชื่อปลอม อวตารสารพัด

ที่เราเข้าใจว่าทางการจีนปิดข่าวสาร คุมข่าวสารทั้งหมดอยู่หมัด ก็ไม่จริงเสียทีเดียว?

จริงอยู่ว่าจีนไม่มีทวิตเตอร์ แต่เขามี Weibo แต่หลายครั้งที่บัญชีผู้ใช้ Weibo ก็โดนเซ็นเซอร์ตามคำสั่งจากทางการจีน ผมได้ข่าวหลายชิ้นก็จาก Weibo ผมว่ามันมีอิทธิพลรุนแรงกว่าทวิตเตอร์ เพราะมันมีทั้งภาพและสามารถเขียนได้มากกว่าจำนวนคำในทวิตเตอร์ มีคนคอมเมนต์เป็นหมื่นเป็นแสน โดยเฉพาะหลังจากที่จีนปิดข่าวเรื่องผู้ชุมนุมประท้วงที่ฮ่องกง ก็ทำให้พวกสื่อออนไลน์เขาอยากรู้อยากเห็นเรื่องม็อบฮ่องกง เพราะจีนปิดข่าวและเสนอด้านเดียว บางครั้งเราเปิดเข้าไปดูคอมเมนต์ เขาด่าแม่ผู้นำประเทศแบบเสียๆ หายๆ รู้สึกหยาบกว่าทวิตเตอร์ไทยเสียอีก

อารมณ์ของสังคมจีนเป็นอย่างไรเมื่อคุณสำรวจผ่าน Weibo

ยกตัวอย่างคำด่า เขาก็ด่าประมาณ ไอ้เย็ดแม่ ทำไมทำอะไรช้าแบบนี้ ด่าหยาบมาก เยอะมาก ประชาชนด่าทางการจีนมานานแล้ว ทหารตำรวจจีนต้องออกมา การปิดเมืองเท่ากับเป็นการปิดข่าวสารนะ เพราะชาวอู่ฮั่นไม่สามารถรับรู้ข่าวสารภายนอกได้เลย มันก็แปลกนะที่ข่าวสารที่ออกมาจากผู้บริหารเมืองอู่ฮั่นน้อยกว่าที่ออกมาจากฮ่องกงหรือปักกิ่งด้วยซ้ำ

ทางการจีนควบคุม Weibo ได้ไหม

เพื่อนเราที่เป็นนักข่าวฝั่งตรงข้ามรัฐบาลจีน เคยถูกปิดแอคเคาท์หลายครั้ง เขาก็เปลี่ยนชื่อเปิดใหม่ แต่เราว่าเดี๋ยวนี้จีนเช็คไม่ทัน เพราะมันมีคนใช้หลายล้าน เขาก็มีไอโอเหมือนบ้านเรา เพราะประชากรเขาเป็นล้าน

เราอาจทำความเข้าใจได้ว่า ข่าวลือที่เกิดในสถานการณ์แบบนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความล่าช้าของข่าวสารจากทางการ?

ข่าวลือ มันเกิดในช่วงวิกฤติที่เลวร้าย รู้สึกว่าทุกฝ่ายทำงานช้า แม้กระทั่งอาเซียน ไม่เหมือนตอนยุคทักษิณหรือเจ๊หน่อย เขาเป็นเสือปืนไว ตอนนั้นไทยก็อยากโชว์ออฟ ตอนนั้นทักษิณเป็นดาวรุ่งของอาเซียน ตอนนั้นผู้นำจีนคือ เหวิน เจียเป่า มาประชุมแก้ไขวิกฤติซาร์ส มาพร้อมกับผู้นำอาเซียนด้วยนะ ตอนนั้นผมทำข่าวอยู่ ผมจำได้ว่าทักษิณดึงจีนมาเลย ความจริงไทยเป็นประเทศเล็ก แต่สามารถเอาจีนกับตัวผู้นำคนปัจจุบันของจีนมาได้

ทักษิณเรียกจีนมาประชุม ขณะที่ประยุทธ์ซึ่งสนับสนุนจีน ทำไมเขาไม่มีอำนาจในการที่อย่างน้อยก็วางแผนร่วมกัน

ก็นั่นน่ะสิ มันเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันเอง อาวุธ รถไฟความเร็วสูง ก็สั่งจากจีน แต่ที่ตลกนะ เราไปดู Weibo ของจีน ข่าวบอกว่า ซีพีส่งสารให้กำลังใจชาวอู่ฮั่นประมาณสู้ๆ มันก็เหมือนปีที่แล้ว ซีพีไปลงในหนังสือพิมพ์ฮ่องกง สนับสนุนรัฐบาลจีนกับฮ่องกงในการจัดการกับพวกชุมนุม นี่มันตลก ทุกอย่างต้องพึ่งพาจีน พึ่งพาจนน่าเกลียดจนกลายเป็นมณฑลหนึ่ง

มองปรากฏการณ์ในจีนตอนนี้อย่างไร

เก้าอี้ของประธานาธิบดีสั่นคลอน ปีที่แล้วเขาตั้งต้นว่า จะเป็นผู้นำตลอดชีพ เขาตั้งทฤษฎีของตัวเองชื่อ ‘ทฤษฎีความคิดของสี จิ้นผิง’ แล้วอย่าลืมว่า ผู้นำไทยเคยบอกข้าราชการไทยให้ศึกษาดูตัวอย่างของจีนของ สี จิ้นผิง ให้อ่านหนังสือของ สี จิ้นผิง ที่แปลไทย เราว่าต้องคิดใหม่แล้ว รู้สึกว่าปีชวดนี้อาจจะต้องชวด ต้องปลดผู้บริหารบางคน เพราะจัดการแก้ไขเรื่องไวรัสไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่จะถูกเชือดเราว่าน่าจะเป็นเลขาธิการพรรคประจำมณฆลหูเป่ย หรือไม่ก็ผู้นำของอู่ฮั่น เพราะทุกครั้งจะเป็นแบบนี้

ผมอยากจะต่อว่ารัฐบาลไทยหน่อย เรามีสถานกงสุล 8 แห่ง สถานทูต 1 แห่ง แต่ไม่ได้แบ่งงานกันสำหรับอู่ฮั่นเลย อู่ฮั่นนี่ สถานทูตไทยที่ปักกิ่งเป็นผู้ดูแลด้วยซ้ำ ในขณะที่อู่ฮั่นมีสถานกงสุล 4 แห่งรายล้อม แต่สถานกงศุลเหล้านั้นไม่มีอำนาจดูแลอู่ฮั่น มันไม่เหมือนสหรัฐ ฝรั่งเศส เขาดูแลเมืองที่อยู่รอบๆ ด้วย

แล้วเราจะส่งเครื่องบินไปรับคนไทยกลับ แต่สนามบินปิดแล้ว การขนย้ายมันต้องขออนุญาตให้คนไทยย้ายจากอู่ฮั่นไปเซี่ยงไฮ้ หรืออะไรก่อน ไปตั้งหลักที่นู้น ประเทศอื่นเขาทยอยขนคนไปเมืองอื่นแล้วไปขึ้นสนามบินที่เมืองนั้น เราทำอะไร

Author

วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์
1 ใน 3 คณะบรรณาธิการหนุ่มของ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า