อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนับเป็นธุรกิจที่มีผลตอบแทนมหาศาลและยังได้รับความนิยมจากผู้คนส่วนใหญ่ที่เริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น นิตยสาร Forbes ให้ข้อมูลว่ากลุ่มธุรกิจดังกล่าวสามารถทำรายได้ราว 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าภายในปี 2021
ที่ผ่านมา ชาวอเมริกันมากกว่าครึ่งรับประทานวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นประจำ แม้รายงานหลายชิ้นจะยืนยันตรงกันว่า มันไม่ได้ช่วยเสริมสุขภาพอย่างที่กล่าวอ้าง นอกจากนั้น วิตามินบางชนิดเมื่อได้รับเกินจำเป็น ร่างกายก็จะขับออกมา นั่นก็พอจะพูดได้ว่า กดชักโครกทุกครั้ง ก็เท่ากับกดเอาเงินค่าวิตามินเหล่านี้ลงคอห่านตามไปด้วย
ผลการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และรายงานตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ The Lancet ให้ข้อมูลว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินชนิดเม็ด ไม่มีผลในการป้องกันมะเร็ง โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคหัวใจ
ในการทดลองกับอาสาสมัคร 20,000 ราย ตลอดระยะเวลา 5 ปี นักวิทยาศาสตร์พบว่าอาสาสมัครที่ได้รับวิตามินจริงให้ผลไม่ต่างจากอาสาสมัครที่ได้รับยาหลอก
งานวิจัยดังกล่าวสรุปผลว่า วิตามินที่รับประทานเสริมเข้าไปไม่สามารถป้องกันหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง สมองเสื่อม โรคกระดูกพรุน และต้อกระจกได้ ผู้ป่วยที่มีปัญหาหอบหืดแล้วได้รับวิตามินจริงก็ให้ผลไม่ต่างจากผู้ได้รับยาหลอก
โรรี คอลลินส์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด หัวหน้าทีมวิจัย สรุปไว้ในรายงานว่า “จากการศึกษาและเก็บข้อมูลตลอด 5 ปี เราพบว่า การได้รับวิตามินเสริมไม่มีผลใดๆ ต่อการป้องกันโรคหลอดเลือดและมะเร็งไม่ว่าชนิดใด”
เดวิด เอกัส แพทย์เจ้าของหนังสือ The End of Illness ให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ the Daily Show เมื่อปี 2012 และสรุปเกี่ยวกับวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารว่า “มีการศึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมากกว่า 50 ชิ้น ขณะที่ไม่มีสักชิ้นที่ยืนยันถึงผลในการป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ผมเลยไม่เข้าใจว่า ทำไมเราถึงรับประทานมันกันอยู่”
แนวคิดแบบอเมริกันที่ว่า เผื่อเหลือดีกว่าเผื่อขาด หรือมากๆ ไว้ก่อนน่าจะดีกว่า อาจใช้ไม่ได้กับวิตามิน และนี่คือตัวอย่างของวิตามินที่คุณควรจับตา ไม่ปล่อยให้ตัวเองได้รับพวกมันมากจนเกินไป
วิตามินเอ
ช่วยบำรุงสายตา ช่วยระบบภูมิคุ้มกัน และดีต่อกระดูก เป็นหนึ่งในวิตามินที่ต้องได้รับไขมันเพื่อช่วยในการดูดซึมและใช้ประโยชน์
ผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องลดไขมัน หรือมีอาการของโรคลำไส้เล็กอุดตันบางส่วน (Crohn’s Disease) โรคแพ้กลูเต็น (celiac disease) หรือโรคเกี่ยวกับตับอ่อน (pancreatic disease) มักจะได้รับการแนะนำให้เสริมวิตามินเอ
แต่ถ้าได้รับมากเกินไป วิตามินเอส่วนเกินจะไปสะสมในตับ และอาจนำไปสู่ภาวะเป็นพิษในตับ ไปจนถึงส่งผลต่อระบบประสาท
ในงานศึกษาเกี่ยวกับผลการป้องกันมะเร็งของสารเบตา-แคโรทีนโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติในสหรัฐ ด้วยการทดสอบในอาสาสมัครผู้สูบบุหรี่เพศชาย พบว่าร้อยละ 18 ของผู้ที่ได้รับการเสริมเบตา-แคโรทีนมีแนวโน้มเสี่ยงกับมะเร็งปอด และร้อยละ 8 ก็เสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการเสริมเบตา-แคโรทีน
วิตามินบีรวม
วิตามินบีเกือบทุกตัวช่วยกระตุ้นอัตราการเผาผลาญของร่างกาย ขณะที่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีวิตามินบีมักจะกล่าวอ้างว่า สามารถช่วยรักษาทั้ง สิว อัลไซเมอร์ โรคสมาธิสั้น กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน เช่น ปวดศีรษะ หงุดหงิด คัดตึงเต้านม ไปจนถึงเสริมสมรรถภาพนักกีฬา ทั้งกลางแจ้งและในร่ม ไปจนถึงสมรรถภาพทางเพศ แต่ยังไม่มีข้อยืนยันและคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนในสรรพคุณเหล่านี้
วิตามินซี
ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระสำหรับร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กและช่วยสร้างคอลลาเจน หรือระบบซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
ดร. ไลนัส พอลิง เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี 1954 (และโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1962) ผู้ตีพิมพ์หนังสือ Vitamin C and the Common Cold ในปี 1970 เผยแพร่ความเชื่อที่ว่าวิตามินซีสามารถช่วยรักษาอาการไข้ได้ เขาไปไกลจนกระทั่งยืนยันกับสาธารณะว่า วิตามินซีสามารถช่วยรักษามะเร็งได้ ขณะที่เขาเชื่อมั่นในวิตามินซีขนาดนี้ แต่เขาก็เสียชีวิตด้วยมะเร็งต่อมลูกหมากในปี 1994 ด้วยวัย 93 ปี
ที่มา: alternet.org