เรียน-เครียด-ซึมเศร้า วงเวียนชีวิตนักศึกษาไทย

แฮชแท็กยอดฮิต #การศึกษาฆ่าฉัน กลายมาเป็นแคมเปญรณรงค์ที่ติดเทรนด์อันดับ 1 ของทวิตเตอร์ในชั่วข้ามคืนของเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อเยาวชนคนหนุ่มสาวต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นมาพูดถึงสภาพปัญหาที่ตัวเองต้องเผชิญในฐานะที่เป็น ‘นักศึกษา’

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากการปรับตัว การแบกรับความคาดหวังของตัวเองและครอบครัว การถูกบังคับด้วยกฎระเบียบอันคร่ำครึไร้เหตุผล ตลอดจนการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจากผู้ที่อาวุโสมากกว่า

ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยในแง่หนึ่งจึงกลายเป็นความเครียด ความกดดัน ที่ค่อยๆ บ่มเพาะขึ้นในตัวของนักศึกษาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

ยิ่งเครียด ยิ่งเปราะบาง

เป็นความจริงที่ว่า ทุกมหาวิทยาลัยล้วนมีนักศึกษาที่คาดหวังผลการเรียนในระดับที่สูงมาก ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เด็กกลุ่มนี้รู้สึกแย่หรือด้อยค่าอย่างรุนแรง และยิ่งเมื่อต้องเจอกับแรงกดดันของครอบครัวที่ทิ่มแทงมาจากข้างหลังด้วยแล้ว ช่วงใกล้สอบจึงเป็นช่วงที่เด็กแสดงอาการทางจิตเวช เกิดความเครียด และมีความพยายามฆ่าตัวตายมากที่สุด

“ใน 1 ปี นักศึกษาจะเครียดจัด 4 ครั้ง ได้แก่ สอบมิดเทอม 2 ครั้ง สอบไฟนอลอีก 2 ครั้ง ซึ่งจากผลสำรวจภาวะเครียด-ซึมเศร้าในเด็กมหาวิทยาลัย พบว่าในช่วงเหล่านี้มีเด็กที่เครียดสะสมในระดับมากถึงระดับรุนแรงเกือบ 1 ใน 3 ของเด็กทั้งหมด” อธิชาติ โรจนะหัสดิน อาจารย์สาขาจิตวิทยาคลินิก คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ข้อมูล และบอกด้วยว่าในสถานการณ์นี้ผู้ปกครองจำเป็นต้องเข้าใจและช่วยกันเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่ไปเพิ่มแรงกดดันจนเด็กรับไม่ไหว

แน่นอนว่า ความเครียดย่อมเกิดขึ้นได้กับคนทุกคน แต่หากพูดถึง ‘ความเปราะบาง’ จะพบว่าอาการลักษณะนี้มักจำกัดอยู่ในกลุ่มของนักศึกษาชั้นปีที่ 1

“เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะต้องปรับตัวในหลายๆ เรื่องพร้อมกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กไทยมีภาวะพึ่งพิงสูง เมื่อต้องจากบ้านออกมาจะเกิดความเครียด ความกังวล บางคนเหงามาก กว่าจะมีเพื่อนกินข้าวด้วยก็เข้าสู่ภาคเรียนที่ 2 ไปแล้ว หรือในกลุ่มเด็กที่ต้องมาอยู่หอพัก ตรงนี้ก็มักจะเกี่ยวข้องกับปัญหาเงินทอง กิจกรรมระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง ระบบโซตัส ฯลฯ

“หรือแม้แต่ในกลุ่มเด็กเก่งเอง เป็นช้างเผือกจากต่างจังหวัด เคยเป็นที่หนึ่งของหมู่บ้าน เป็นเด็กเก่งประจำโรงเรียน ประจำตำบล แต่พอต้องมาเจอกับเด็กหัวกะทิในกรุงเทพฯ ก็ทำให้หลายคนไปไม่เป็นเหมือนกัน ดังนั้นเด็กปี 1 จึงมีความเครียดและภาวะซึมเศร้าสูงกว่าอีก 3 ชั้นปีอย่างมีนัยสำคัญ” อาจารย์สาขาจิตวิทยาคลินิก ระบุ

 

ธรรมศาสตร์ผุด ‘Viva City’ รองรับไม่ให้นักศึกษาร่วงหล่น

จากสภาพความเป็นจริงข้างต้น มีความเป็นไปได้ที่นักศึกษาจะบอบช้ำและร่วงหล่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงได้จัดตั้ง ‘ศูนย์ชีวิตชีวา’ (Viva City) ขึ้นในโซนหอพักนักศึกษา ณ ศูนย์รังสิต ทำหน้าที่คล้ายกับคลินิกให้คำปรึกษาทางด้านจิตใจ เปิดบริการตั้งแต่ เวลา 08.30-22.00 น.

ทุกวันนี้ ศูนย์ Viva City ยังอยู่ในช่วงโครงการนำร่อง แต่ก็ได้เปิดให้บริการแล้วใน 2 ส่วนใหญ่ๆ ประกอบด้วย 1. คลินิกให้คำปรึกษา มีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่ Student Advisor ซึ่งผ่านการคัดเลือกและฝึกอบรมให้เป็นผู้ให้คำปรึกษาเบื้องต้น ทำงานร่วมกับนักจิตวิทยา จิตแพทย์ จากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ 2. Call Center ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเลขหมาย 02-028-2222

“ศักยภาพของ Viva City ในช่วงแรกยังไม่ถึงขั้นรักษา โดยเฉพาะในเคสที่มีความรุนแรงฉุกเฉินก็จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ฉะนั้นหน้าที่ของเราจริงๆ ก็คือการเข้าถึงเคสให้เร็ว จากนั้นก็ช่วยแปะพลาสเตอร์ คือทำให้นักศึกษา cool down ลงมาก่อน” อาจารย์อธิชาติ ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ อธิบาย

แม้ว่าศูนย์ Viva City จะเพิ่งเปิดได้ไม่ถึง 2 เดือน แต่จากข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1-31 ตุลาคมที่ผ่านมา พบว่ามีนักศึกษาเข้ามาใช้บริการแล้วถึง 155 ครั้ง โดยพบปัญหาความเครียดเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือการเรียน ความวิตกกังวล และการปรับตัว

แน่นอนว่า คงยังเร็วไปที่จะชี้ว่าการตั้งศูนย์แห่งนี้ประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด แต่จากอัตราการฆ่าตัวตายของนักศึกษาที่เคยมีราว 2-3 รายต่อปี ปัจจุบันสถิติยังคงอยู่ที่ 0 ราย และภายในเดือนเดียวศูนย์ Viva City สามารถช่วยเคสที่มีแนวโน้มฆ่าตัวตายไปได้ถึง 4 เคส ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี

อาจารย์อธิชาติ บอกว่า จุดแข็งของศูนย์ให้คำปรึกษาในมหาวิทยาลัยคือ ความเข้าใจสภาพปัญหาและบริบทของนักศึกษา มากไปกว่านั้นก็คือ รู้ว่านักศึกษาอยู่ที่ไหน ทำให้เข้าถึงได้อย่างทันท่วงที มีการจัดรถและหน่วยเคลื่อนที่เร็วครอบคลุมการดูแลทั้งหอในและหอนอก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความศูนย์ Viva City จะทำหน้าที่แทนโรงพยาบาล

“นักศึกษาจะมีอาการขึ้นๆ ลงๆ ในช่วงใกล้สอบ แต่โรงพยาบาลซึ่งต้องให้บริการทั้งนักศึกษาและประชาชนทั่วไปจะมีคิวแน่นเป็นคอขวด อาจไม่สามารถรองรับความต้องการที่ขึ้นๆ ลงๆ ของนักศึกษาได้ไหว ตรงนี้ศูนย์ Viva City จะมีจิตแพทย์ Part time มาช่วยรองรับความต้องการของนักศึกษาที่ล้นจากโรงพยาบาลในช่วงใกล้สอบได้

“ในกรณีที่นักศึกษาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจนอาการดีขึ้นแล้ว แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่นักศึกษาเลือกจะกลับมาอยู่หอพัก ศูนย์ Viva City ก็จะเข้ามาช่วยติดตามอาการอย่างใกล้ชิด” อาจารย์อธิชาติ ฉายภาพการสนับสนุนการทำงานของโรงพยาบาล

หลังจากเปิดศูนย์ Viva City อย่างเป็นทางการช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ก็จะเริ่มประชาสัมพันธ์ให้เข้มข้น เพิ่มบุคลากร พัฒนาระบบ Call Center ให้ใช้ได้ทั้ง 4 วิทยาเขต และในอนาคตอันใกล้จะมีการจับมือกับบริษัท Ooca เพื่อขยายบริการให้คำปรึกษาผ่านวิดีโอคอลด้วย

 

สนับสนุนโดย

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า