โสภณ ศุภมั่งมี แรงบันดาลใจจากช่างประปาสู่การเป็น The Nerd of Microsoft

บนชั้นวางแห่งนั้นมีซากหนังสือบ้างยืนนิ่ง บ้างล้มตาย พวกมันคือศพกระดาษที่ไม่หายใจทั้งยังไร้ระเบียบ

มันเป็นวันที่ผมต้องออกไปทำงานข้างนอก ประเมินระยะทางคำนวณเวลาที่ต้องใช้ระหว่างเดินทางอาจมากถึง 2 ชั่วโมง ผมควรมีหนังสือติดมือไปสักเล่ม เผื่อเบื่อหน่ายจากการจิ้มสมาร์ทโฟนก็ยังมีอย่างอื่นให้สายตารับใช้บ้าง

หนังสือเล่มหนึ่งถูกเลือกแบบไม่ได้ไตร่ตรองซับซ้อน ขนาดของเล่มไม่เป็นภาระในการพกพา อ่านได้สักสี่ซ้าห้าหน้าก็คงจะไม่รู้สึกผิดฐานที่เพิ่มความพะรุงพะรังของสัมภาระ

เรือออกจากท่าวัดกลางล่องไปตามคลองแสนแสบ ผมหยิบหนังสือออกมาอ่านตัวอักษรบนปกหน้า

The Nerd of Microsoft | โสภณ ศุภมั่งมี ล็อกอินชีวิตคลุกวงในของโปรแกรมเมอร์สายเลือดไทยในบริษัทซอฟต์แวร์ระดับโลก”

‘ไม่ธรรมดาแฮะ’ ผมคิดแล้วพลิกไปปกหลัง

“เมื่อโปรแกรมเมอร์ชาวไทยไปถึงเมืองเนิร์ด ต้องเจอกับโจทย์สัมภาษณ์งานสุดเหวอที่บอกให้เคลื่อนภูเขาไฟฟูจิ ต้องรับเด็กฝึกงานที่บ้าพลังเกินหัวหน้า ปะทะกับลูกค้าที่มีฉลามเป็นสัตว์เลี้ยง และเข้าร่วมแข่งทำเครื่องผลิตเบียร์ที่เดิมพันกันด้วยศักดิ์ศรีของชาวเนิร์ด…”

ชิบหาย คำโปรยบนปกหน้า-หลังช่างเร้าให้ผมพลิกเนื้อหาเสียจริง และเพียงเริ่มอ่านได้ไม่กี่หน้า ผมก็โดนเรื่องเล่าในหนังสือจับขึงพืดอย่างง่ายดาย

แม้จะเป็นหนังสือที่เล่าเรื่องชีวิตของโปรแกรมเมอร์ แต่เรื่องเล่ากลับมีศัพท์คอมพิวเตอร์เพียงน้อยนิด ที่เหลือเป็นการถ่ายทอดด้วยภาษาเรียบง่าย คล้ายเพื่อนคนนึงที่กลับจากที่ไหนสักแห่งแล้วมาเล่าวีรกรรมเฮี้ยวๆ ให้ฟัง

การลำดับฉากเป็นไปอย่างกระชับฉับไว เริ่มตั้งแต่แรงบันดาลใจที่ได้เห็นลุงประปาร่างท้วมใส่เสื้อสีแดงกับเอี๊ยมสีน้ำเงิน บนหมวกแก๊ปแดงสดนั้นปักด้วยอักษรตัว M ซึ่งหมายถึง Mario

การกระโดดขึ้นลงของมาริโอทำให้โสภณเกิดความสงสัยว่าคอนโทรเลอร์สามารถขยับอีตาลุงคนนั้นขึ้นลงบนหน้าจอได้อย่างไร ความสงสัยทำให้เขารู้จักคำว่าโปรแกรมเมอร์ และคำว่าโปรแกรมเมอร์พาเขาเดินทางข้ามไปไกลอีกซีกโลก

ที่สหรัฐอเมริกา เขาเล่าเรื่องชีวิตในห้องเรียนอย่างย่นย่อ เพราะไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การเข้าไปข้องแวะกับบริษัทด้านคอมพิวเตอร์ระดับโลกอย่างไมโครซอฟท์ ไล่เรียงตั้งแต่เรื่องบังเอิญบนรถบัสสาย 41 ที่เขาต้องใช้เดินทางไปสัมภาษณ์เพื่อเป็นลูกน้องของบิล เกตส์ ให้ได้ (แม้จะเป็นลูกน้องห่างๆ ก็ตามที) จนถึงการได้เข้าไปทำงานในฐานะพนักงานไมโครซอฟท์สมใจหวัง และที่กินพื้นที่ของเรื่องเล่าอย่างมากแต่กลับรู้สึกไม่ค่อยอิ่มก็คือ บรรยากาศการทำงานที่รวมเหล่าสุดยอดมนุษย์ไอทีมาไว้ด้วยกัน พวกเขาทำงานอย่างไร และโปรแกรมเมอร์ชาวไทยอย่างโสภณ ศุภมั่งมี มีบทบาทอะไรในนั้นมั่ง

สำหรับผมแล้ว ทุกบรรทัดคือความน่าตื่นเต้น เพราะตั้งแต่เริ่มคลิกเมาส์ครั้งแรก ผมก็มีคำถามไม่ต่างจากโสภณ นั่นคือเจ้ามาริโอกระโดดเหยงๆ ขึ้น-ลง-ซ้าย-ขวาตามคำสั่งบนคีย์บอร์ดของเราได้อย่างไร และที่มากกว่าคือ ผมหลงใหลและสงสัยการทำงานของคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยุค Windows 98 กระทั่งบัดเดี๋ยวนี้ Windows 10

คนที่อยู่เบื้องหลังทุกปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์ที่เราๆ ท่านๆ ใช้ก็หาใช่ใคร

หากเปรียบนักเขียนกับผู้อ่านเสมือนญาติน้ำหมึก เช่นนั้นระหว่าง Microsoft กับ User แบบเราๆ ก็คงเหมือนญาติอิเล็กทรอนิกส์ที่รู้จักมักคุ้นกันมานานเนิ่น เพียงแต่ไม่ยักกะรู้ว่าซอฟต์แวร์แต่ละอย่างกว่าจะออกมาให้เราใช้ได้นั้นมันผ่านกระบวนการทำงานอย่างไร ซึ่งก็คงคล้ายกับที่เราไม่ค่อยรู้ว่านักเขียนเที่ยวไปควานหาเรื่องเล่ามาจากไหนถึงโม้ให้เราฟังไม่รู้จักจบจักสิ้น

นั่นแหละ ผมอ่านเรื่องเล่าของเขาขณะที่เรือล่องไปตามคลองแสนแสบอย่างเพลิดเพลิน ท่าแล้วท่าเล่า กระทั่งถึงที่หมาย ตั๋วเรือจึงทำหน้าที่เป็นที่คั่นหนังสือชั่วคราว แม้ใจจะอยากกางอ่านต่อเพียงใดก็ต้องพับมันเก็บไว้เพราะทั้งวันหลังจากนั้นคือการทำงานภาคสนาม

ต่อเมื่อเสร็จงานแล้วจึงกลับมากางหน้าที่ตั๋วเรือเสียบไว้อีกครั้ง เพื่อฟังเรื่องเล่าของเขาต่อ

มันเริ่มต้นจากท่าเรือผ่านฟ้า ปลายทางคือท่าเรือวัดกลาง เนื้อหาที่เสพระหว่างทางว่าด้วยช่วงเวลาที่โสภณเริ่มมีบทบาทในทีมมากขึ้น เมื่อเขาได้รับเลื่อนขั้นให้เป็นหัวหน้าทีม แม้จะยังทำงานที่เดิม แต่การเป็นหัวหน้าทีมคือบทบาทที่ยากขึ้น

ในบรรดาคนแบบเรามักบ่นเบื่อชิงชังหัวหน้า แต่สิ่งที่โสภณเล่าทำให้เราเข้าใจอีกด้านของเหรียญได้ไม่ยาก เพราะการเป็นหัวหน้าไม่ใช่เพียงแค่ทำงานได้ดีกว่าคนอื่นเท่านั้น แต่มันหมายถึงการบริหารทีมให้ทุกคนสามารถทำงานได้ดีเท่าๆ กัน หรือทำงานด้วยกันให้ได้ผลงานออกมาดีที่สุด

‘ความสำเร็จของงาน’ จึงมีความหมายมากขึ้นเมื่อมันออกมาจากสิ่งที่เรียกว่า ‘ทีมเวิร์ค’

แต่ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งคือ บางครั้งหัวหน้าก็ห่วยเป็น และสิ่งที่โสภณทำหลายอย่างก็ผิดพลาด หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือ ไม่เข้าท่า ทว่าเส้นทางของโปรแกรมเมอร์เช่นเขาก็เดินหน้าเรื่อยมากระทั่งวันหนึ่งได้เข้ามาอยู่ในทีม Bing ซึ่งขณะนั้นเป็น search engine น้องใหม่ (แม้จะมาจากค่ายบิ๊กเนม) ที่กะเอามาสู้กับ Google

เหมือนทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่บางครั้งเราก็ต้องอาศัยโชคเข้าช่วย ซึ่งหากวันใดโชคไม่เข้าข้าง สิ่งที่กำลัง ‘สวย’ มักออกเสียงด้วยอักษรต่ำ

เช้าวันที่ 4 สิงหาคม 2010 โสภณ ศุภมั่งมี ได้รับอีเมลจากพี่สาว ในนั้นบรรจุข้อความอิเล็กทรอนิกส์ที่สั้น กระชับ แต่หนักอึ้งสำหรับเขา

หากช่วง 3 บทแรกของหนังสือตั้งชื่อว่า Square One, To Hell and Back และ The Fucking Interviews

แล้วช่วง 3 บทหลังกลับชื่อว่า The Choice I Make, The Last Interview และ Bitter Sweet Goodbye

เราคงเห็นอาการบางอย่างจากข้อความเหล่านั้น

โสภณ ปิดฉาก 5 ปีในฐานะพนักงานของ Microsoft บริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ข้อความในย่อหน้าสุดท้ายของบทสุดท้ายพาเราไปยังข้อความแรกๆ ที่เราเพิ่งรู้จักเขาผ่านตัวหนังสือ

“ผมเคยบอกว่าทุกอย่างของผมเริ่มต้นเพราะช่างประปาคนเดียว ช่างประปาคนที่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็ยังคงเดินหน้าผจญภัยต่อไป ผมว่าชีวิตคงจะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็ต้องวิ่ง ต้องกระโดดข้ามเหว และเหยียบหัวศัตรูกันต่อ

“ชีวิตข้างหน้ายังมีอะไรที่ต้องเผชิญอีกมาก และนี่ก็เป็นโอกาสให้ผมได้กดปุ่มสตาร์ทเพื่อเริ่มโปรเจ็คต์ใหม่ของชีวิตอีกครั้ง”

เวลาในขณะนั้นของผมคือ ตี 2 ของอีกวัน ที่คั่นหนังสือด้วยตั๋วเรือหายไปไหนไม่รู้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะคงไม่จำเป็นต้องใช้อีกต่อไปแล้ว

The Nerd of Microsoft
โสภณ ศุภมั่งมี
สำนักพิมพ์ SALMON BOOKS

Author

โกวิท โพธิสาร
เพลย์เมคเกอร์สารพัดประโยชน์ผู้อยู่เบื้องหลังเว็บไซต์ waymagazine.org มายาวนาน ก่อนตัดสินใจวางมือจากทีวีสาธารณะ มาร่วมปีนป่ายภูเขาลูกใหม่ในฐานะ ‘บรรณาธิการ’ อย่างเต็มตัว ทักษะฝีมือ จุดยืน และทัศนคติทางวิชาชีพของเขา ไม่เป็นที่สงสัยทั้งในหมู่คนทำงานข่าวและแม่ค้าร้านลาบ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า