“ปีแรกเราเพียงแค่เอาตัวให้รอด เป็นการเอาตัวรอดอย่างเดียวจริงๆ ปีที่ 2 เราลุกขึ้นยืนได้ และลงมือต่อต้าน ปีที่ 3 เราต้องเด็ดขาด มันเป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายทั้งจากภายในและภายนอก” คือคำกล่าวของโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelenskiy) ประธานาธิบดียูเครน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันครบรอบ 2 ปีเต็ม ที่ยูเครนถูกกองทัพรัสเซียบุกอย่างเต็มรูปแบบ
ด้วยความพยายามรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ของอดีตสหภาพโซเวียต กองทัพรัสเซียบุกโจมตีและยึดครองเมืองสำคัญของยูเครนตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 แม้ยูเครนจะไม่มีความพร้อมด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ในการทำศึกสงคราม แต่ด้วยการสนับสนุนจากชาติต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ทำให้สามารถต้านทานการโจมตีอย่างหนักมาได้ถึง 2 ปีเต็ม จนสงครามก้าวสู่ปีที่ 3 ในวันนี้
มาดูกันว่า 2 ปีที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นบ้างกับสมรภูมิยูเครน
ยูเครน: เสียชีวิตทหารกว่า 31,000 นาย และพื้นที่ประเทศอีก 1 ใน 4
ประธานาธิบดีเซเลนสกีออกมาเปิดเผยตัวเลขความสูญเสียของกองทัพยูเครนด้วยตนเองว่า ตลอด 2 ปีของสงคราม ทหารยูเครน “เสียสละชีวิตอันยิ่งใหญ่เพื่อยูเครน” ไปแล้วถึงกว่า 31,000 นาย เป็นครั้งแรกที่ยูเครนเปิดเผยตัวเลขความสูญเสียของกองทัพอย่างเป็นทางการ แต่เซเลนสกีก็ยังคงปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลจำนวนทหารผู้ได้รับบาดเจ็บ โดยให้เหตุผลว่าฝ่ายรัสเซียอาจนำตัวเลขดังกล่าวไปใช้ในการวางแผนโจมตียูเครนได้
นอกจากนี้ยังมีพลเรือนอีกหลายหมื่นคนถูกสังหารในเมืองที่ถูกทหารรัสเซียยึด โดยเซเลนสกีกล่าวว่าไม่สามารถระบุจำนวนประชาชนที่เสียชีวิตได้ชัดเจนจนกว่าสงครามจะสิ้นสุด
ตัวเลขการเสียชีวิตของทหารยูเครนที่ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการนั้นค่อนข้างต่ำกว่าตัวเลขที่มีการคาดการณ์มาก่อนหน้านี้ เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว สหรัฐได้ออกมาคาดการณ์ความสูญเสียของฝั่งยูเครนว่า อาจมีทหารเสียชีวิตถึงกว่า 70,000 นาย และบาดเจ็บประมาณ 120,000 นาย
นอกจากการสูญเสียชีวิตทหารและพลเรือนแล้ว ยูเครนต้องสูญเสียพื้นที่ประมาณ 1 ใน 4 ของประเทศ ที่ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซีย รวมถึงเมืองมาริอูปอล (Mariupol) เมืองเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ แต่ถูกยึดเป็นเมืองแรกๆ เพื่อทำเป็นเมืองทดลองในการ ‘ทำให้เป็นรัสเซีย’ (Russification) (อ่านเพิ่มเติม: มาริอูปอล (Mariupol) เมืองสาธิตการกลืนชาติทางวัฒนธรรมของรัสเซียบนแผ่นดินยูเครน) เมืองสำคัญที่ยูเครนต้องสูญเสียให้กับทหารรัสเซียคือ บัคมุต (Bakhmut) สมรภูมิที่ทำให้ยูเครนต้องสูญเสียชีวิตทหารและพลเรือนมากที่สุด จากการสู้รบที่ยืดเยื้อนานเกือบ 8 เดือน กว่าเซเลนสกีจะตัดใจยอมถอนทหารออกมาเพื่อรักษาชีวิตทหารที่เหลืออยู่ โดยเขายอมรับว่าในสมรภูมิที่บัคมุต “มีจำนวนทหารรัสเซียมากกว่าจำนวนกระสุนที่เรามีเสียอีก”
รัสเซีย: ความสูญเสียบนต้นทุนทหารรับจ้าง ‘แวกเนอร์’
มีเดียโซนา (Mediazona) สำนักข่าวอิสระของรัสเซีย เปิดเผยจำนวนทหารรัสเซียที่เสียชีวิตในสมรภูมินี้ในวันครบรอบ 2 ปีเต็มของการเปิดฉากโจมตียูเครนเช่นเดียวกัน ตามข้อมูลของมีเดียโซนา ทหารรัสเซียเสียชีวิตในการสู้รบที่ยูเครนตลอด 2 ปีที่ผ่านมาประมาณ 75,000 นาย ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐเคยคาดการณ์ไว้หลายเท่าตัว
เดือนธันวาคมปีที่แล้ว มีรายงานข่าวกรองของสหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการว่ามีทหารรัสเซียเสียชีวิตและบาดเจ็บมากถึง 315,000 นาย ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 87 ของกองกำลังในกองทัพรัสเซียเลยทีเดียว หากตัวเลขนี้ถูกต้อง กองทัพรัสเซียก็น่าจะอยู่ในภาวะวิกฤตไม่น้อยไปกว่ายูเครน
ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า จำนวนทหารที่เสียชีวิตและบาดเจ็บในนามกองทัพรัสเซียที่มีเดียโซนาเปิดเผยออกมานั้น รวมชีวิตของทหารในกองกำลังของกลุ่มแวกเนอร์ (Wagner) ที่เยฟเกนี พริโกซิน (Yevgeny Prigozhin) เคยเป็นผู้นำด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ เป็นที่รับรู้กันว่ากำลังหลักของรัสเซียในการรบที่ยูเครน คือกองกำลังทหารรับจ้างของกลุ่มแวกเนอร์
แวกเนอร์เป็นกลุ่มทหารรับจ้าง มีกำลังหลักคืออดีตนายทหารผู้ชำนาญการรบของรัสเซียเอง จำนวนไม่น้อยผ่านการฝึกของหน่วยรบพิเศษของรัสเซียมาแล้ว กองกำลังแวกเนอร์ออกทำสงครามในนามกองทัพรัสเซียมาหลายสมรภูมิ ไม่มีสมรภูมิไหนที่จะทำให้แวกเนอร์อ่อนแอลงมากเท่าการสู้รบในยูเครน
มีข้อมูลว่าการสู้รบที่เมืองเซเวโรดอแนตส์ (Sievierodonetsk) ทางตะวันออกของยูเครน กลางปี 2022 ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของรัสเซียนั้น ทำให้แวกเนอร์ต้องสูญเสียทหารไปเป็นจำนวนมาก ความสูญเสียของแวกเนอร์ทำให้พริโกซินต้องตัดสินใจเปิดรับสมัครทหารรับจ้างครั้งใหญ่เพื่อทดแทนทหารที่เสียชีวิตไป โดยทหารใหม่ที่เข้ามาทดแทนทหารมืออาชีพในครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นนักโทษที่ถูกเกณฑ์มาจากเรือนจำ แน่นอนว่าความสามารถในการรบไม่อาจสู้กลุ่มทหารที่เสียชีวิตจากการสู้รบในยูเครน
สงครามยูเครนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลรัสเซียและแวกเนอร์ที่มีมายาวนานต้องสั่นคลอน จนนำไปสู่ความพยายามก่อกบฏของพริโกซิน และปิดฉากด้วยการที่เครื่องบินส่วนตัวของเขาเกิดอุบัติเหตุตกลงในเมืองเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงมอสโกขณะมุ่งหน้าไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
การสูญเสียกำลังทหารไปเป็นจำนวนมาก ทำให้กองทัพรัสเซียหันมาให้ความสำคัญกับการเพิ่มแสนยานุภาพด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่พร้อมจะเปิดฉากรบในปีที่ 3 ของสงครามกับยูเครนอย่างยิ่งใหญ่
ยอดขายอาวุธสหรัฐพุ่งสูงทำลายสถิติ
ท่ามกลางความสูญเสียชีวิตของทั้งยูเครนและรัสเซีย มีตัวเลขที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกของตัวละครที่มีบทบาทสำคัญในสมรภูมินี้คือ อุตสาหกรรมอาวุธสงครามของอเมริกา
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริการายงานว่า ปี 2023 ยอดขายอาวุธของทางการสหรัฐที่ขายให้กับต่างประเทศโดยตรง มีมูลค่าสูงถึงกว่า 81,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 56% จากยอดขายตรงของรัฐบาลในปี 2022 นี่ยังไม่รวมยอดขายตรงของบริษัทผลิตอาวุธรายใหญ่อย่างล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) เจเนรัล ไดนามิกส์ (General Dynamics) และนอร์ธรอป กรัมแมน (Northrop Grumman) ซึ่งถูกมองว่าราคาหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งและการสู้รบในหลายประเทศทั่วโลก
ลูกค้าส่วนใหญ่ที่สั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐ คือประเทศในยุโรปที่เคยซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากรัสเซีย ซึ่งพากันหวาดกลัวศักยภาพทางการทหารของรัสเซียที่กำลังเร่งลงทุนในอุตสาหกรรมกองทัพและอาวุธขนานใหญ่ หนึ่งในประเทศผู้ซื้ออาวุธรายใหญ่ของสหรัฐคือ โปแลนด์ เพื่อนบ้านพรมแดนติดกันของยูเครน ซึ่งอยู่ระหว่างการขยายขนาดกองทัพ เพื่อให้เป็น ‘กองทัพบกที่ทรงอำนาจมากที่สุดในยุโรป’ ในขณะเดียวกันมีรายงานว่า นาโต หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organisation: NATO) ก็เร่งตุนอาวุธทันสมัยเช่นกัน และนาโตก็ปรากฏชื่อในกลุ่มผู้ซื้ออาวุธรายใหญ่จากรัฐบาลสหรัฐ ในปี 2023 ด้วย
นาโตก่อตั้งขึ้นโดยประเทศสมาชิก 12 ประเทศ เพื่อร่วมกันต่อสู้กับภัยคุกคามจากรัสเซียที่พยายามขยายอำนาจเข้าไปยังยุโรป โดยจะให้ความช่วยเหลือทางการทหารซึ่งกันและกัน แม้ปัจจุบันยูเครนจะยังไม่ได้เป็นสมาชิกนาโต แต่ที่ผ่านมาก็มีหลายประเทศสมาชิกนาโตให้การสนับสนุนอาวุธกับยูเครนด้วย ความเคลื่อนไหวที่สำคัญของประเทศสมาชิกนาโตในช่วงสงครามยูเครนที่ผ่านมาคือ การเสริมกำลังป้องกันตนเองทั้งเครื่องบินขับไล่และเรือรบ
อาวุธสำคัญที่มีประสิทธิภาพสูงและราคาสูงที่ทางการสหรัฐขายให้ต่างประเทศ 3 รายการแรก ในปี 2023 ได้แก่ ระบบยิงจรวดเคลื่อนที่ (High Mobility Artillery Rocket Systems: HIMARS) มูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ ที่ขายให้กับโปแลนด์ ขีปนาวุธทางอากาศนำสมัยพิสัยกลาง (Advanced Medium-Range Air-To-Air Missiles: AMRAAM) มูลค่า 2,900 ล้านดอลลาร์ ที่ขายให้แก่เยอรมนี และระบบยิงขีปนาวุธภาคพื้นดินสู่อากาศรุ่นใหม่ (National Advanced Surface to Air Missile Systems: NASAMS) ที่ขายให้แก่ยูเครน
ในบันทึกของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ระบุอย่างชัดเจนว่า “การค้าอาวุธและการส่งต่อยุทโธปกรณ์ เป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ ที่จะส่งผลกระทบระยะยาวต่อความมั่นคงของภูมิภาคและโลก”
สู่ปีที่ 3 ของสมรภูมิ
แม้จะประกาศว่าสงครามในปีที่ 3 นี้ ยูเครนจะเด็ดขาดมากขึ้นกว่าเดิม เอาชนะความท้าทายทั้งภายในและภายนอกประเทศได้ แต่เซเลนสกีก็ยอมรับว่า อนาคตของยูเครนในสงครามครั้งนี้ขึ้นอยู่กับความช่วยเหลือจากภายนอก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่ให้ความช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์มาโดยตลอด แต่ตอนนี้ชะลอการให้การสนับสนุนเนื่องจากต้องรอการอนุมัติจากรัฐสภา
ตัวเลขงบประมาณสนับสนุนทางทหารต่อยูเครนที่ค้างอยู่ในรัฐสภาสหรัฐคือ 60,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นงบประมาณที่มีความสำคัญต่ออนาคตของยูเครนในสงครามครั้งนี้อย่างมาก แน่นอนว่าระหว่างที่รอคอยการช่วยเหลือจากสหรัฐนี้ ต้องมีทหารยูเครนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่แนวหน้าเสียชีวิตลงเป็นจำนวนมาก อีกทั้งปฏิเสธไม่ได้ว่า สงครามที่ฉนวนกาซาทำให้เส้นทางลำเลียงอาวุธจากสหรัฐไปยังยูเครน เบี่ยงเบนไปสู่การสนับสนุนกองทัพอิสราเอลจำนวนไม่น้อย
ยูเครนเดินทางเข้าสู่ปีที่ 3 ของสงคราม พร้อมด้วยปัญหาการขาดแคลนทั้งกำลังทหารและอาวุธ กองทัพยูเครนในปัจจุบันมีกำลังน้อยกว่าที่ควรจะมีถึง 25% โดย 75% ที่มีอยู่ ก็มีปัญหาเรื่องการพักผ่อนไม่เพียงพอ บาดเจ็บ และอ่อนล้า ด้วยเหตุนี้ยูเครนจำเป็นต้องมีทหารเพิ่มถึงกว่า 450,000-500,000 นาย เพื่อสร้างความเข็มแข็งมั่นคงให้กับกองทัพตนเอง ซึ่งกองบัญชาการทหารยูเครนกำลังเปิดรับสมัครอยู่ หากพิจารณาจากแนวโน้มทางสังคมของยูเครนปัจจุบันแล้ว ยากมากที่กองทัพจะบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มจำนวน และถึงแม้จะประสบความสำเร็จในการระดมกำลังคน แต่จำนวนทหารทั้งหมดของกองทัพยูเครนก็ยังเทียบไม่ได้กับกองทัพรัสเซียที่ใหญ่กว่าถึงประมาณ 3 เท่า
เซเลนสกีเองน่าจะตระหนักถึงอนาคตอันน่าวิตกในสงครามปีที่ 3 ในการแถลงข่าวที่กรุงเคียฟ (Kyiv) หลังครบรอบ 2 ปีเต็มของสงคราม เขาได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ยูเครนมีแผนชัดเจนแล้วว่าจะดำเนินการรบต่อไปอย่างไร เพียงแต่ว่าแผนนั้นไม่สามารถเปิดเผยได้
“เรามีแผน (สำหรับการโต้กลับ) อย่างชัดเจน แต่ผมไม่สามารถบอกรายละเอียดได้”
สิ่งที่เซเลนสกีเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวมีเพียงว่า ‘แผน’ การโต้กลับในสงครามปีที่ 3 นั้นจะมีเรื่องของการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลระดับผู้บริหารด้วย คาดการณ์ว่า แผนโต้กลับในครั้งนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับแผนการรบของยูเครนในปีที่แล้ว ที่ถูกพบว่ารั่วไหลและจบลงบนโต๊ะประชุมในเครมลิน (Kremlin) ก่อนที่ปฏิบัติการจะเริ่มต้นขึ้น
อ้างอิง:
- Zelenskyy says 31,000 Ukrainian soldiers killed in war with Russia
- Year three of Russia’s invasion of Ukraine may be Zelenskiy’s toughest yet
- US weapons exports up 50 percent in 2023 as Washington challenges Russia, China
- America is exporting more arms than ever. Here’s why
- After 2 years of war, questions abound on whether Kyiv can sustain the fight against Russia