เรื่อง+ภาพ: ณัฐกานต์ อมาตยกุล
1 ก่อน
ชายตาตี่สวมเสื้อสีเข้มและกางเกงยีนส์โผล่หน้ามาที่กระจก โบกมือขึ้นทักทายผู้คนเบื้องล่าง แฟนๆ ของเขาแหงนหน้ามองแล้วยิ้มด้วยความตื่นเต้นดีใจ จะว่าไป แดดยามบ่ายก็อาจไม่ร้อนแรงเท่าแววตาสาวน้อยสาวใหญ่ที่เต้นระริกอยู่
ไม่ต้องสาธยายยืดยาว คนทั้งเมืองก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้ แสตมป์ อภิวัชร์ เนื้อหอมขนาดไหน
แต่ครั้งหนึ่งเขาอาจเคยน้อยอกน้อยใจ ถึงกับไปเขียนบทความสอนวิชาว่าด้วยการเป็นคนขี้แพ้ เหมือนจะทำใจกับภาวะที่ต้องตกเป็นรองอยู่ร่ำไป ร้องเพลงให้ บอย โกสิยพงษ์ มาก็ระยะหนึ่ง ออกเพลงอัลบั้มแรกก็ดังอยู่เพลงเดียว (นี่เป็นสิ่งที่เขายอมรับด้วยเสียงหัวเราะ)
ถึงอย่างนั้น เรื่องมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เขาโด่งดังเปรี้ยงปร้างอย่างไม่มีเค้าลางใดๆ อาจเป็นเพราะการแต่งเพลงชื่นชมศิลปินเกาหลีวงโปรดของตนลงยูทูปที่แสดงออกถึงความเป็น ‘แสตมป์’ อย่างที่สุด หรือเพราะการได้เข้าไปทำหน้าที่เป็นโค้ชในรายการร้องเพลงชื่อดัง อีกทั้งมีแฟนพันธุ์แท้ที่ตอบคำถามเกี่ยวกับผลงานของเขาออกรายการได้แบบละเอียดยิบ
วันนั้นเองที่เราได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีความสามารถขนาดไหน และประหลาดใจที่เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงมีคนรับรู้ไม่มากนัก วันนี้คงมีไม่ได้ ถ้าผู้ชายคนนี้ลาลับหายไปจากวงการดนตรี ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา
วันนี้เขาเขียนหนังสือ เล่าเรื่องชีวิตของตัวเองที่ผ่านมา ซึ่งฟังดูเป็นอัตชีวประวัติธรรมดาของนักร้อง นักดนตรีคนหนึ่ง
…ซึ่งมันก็คงเป็นอย่างนั้น…หากแต่ชีวิตคนธรรมดาคนนี้ คือ แสตมป์ – อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข คนที่คลี่แผนที่แห่งความพ่ายแพ้ของตัวเองมาเล่าอย่างสนุกสนาน
ถ้าวันพรุ่งนี้ฉันพบคำตอบ ว่าสิ่งที่ทำไม่มีความหมาย
ถ้าวันพรุ่งนี้ไม่มีทางออก มืดมนจนเดินต่อไปไม่ได้
พลิกหน้าหนังสือ ก่อนความฝันจะล่มสลาย รูปถ่ายของเขาในแต่ละช่วงชีวิตไล่เรียงกันไป ตั้งแต่เป็นเด็กหัวเกรียนเรียนมัธยมไร้พิษภัย หรือหนุ่มสถาปัตย์สวมเสื้อยืดถือกล้องฟิล์มเต๊ะท่า แน่นอนว่า ภาพเหล่านี้มีเรื่องเล่าสนุกๆ พ่วงมาด้วย
ป๋าเต็ด – ยุทธนา บุญอ้อม พิธีกรดำเนินรายการ เล่าเกริ่นว่า สมัยก่อนเขาเคยทำหน้าที่จัดการแข่งขันฮอตเวฟมิวสิคอวอร์ด-เวทีความฝันของนักดนตรีรุ่นมัธยม- ครั้งนั้นเองที่แสตมป์ได้พบกับเขาเป็นครั้งแรก ในฐานะผู้เข้าประกวดที่ฝีมือยังไม่เอาไหน แล้วก็ตกรอบไปตามระเบียบ
ป๋าเต็ดถามคำถามเปิดประเด็นว่า เรื่องราวใดในชีวิตที่เป็นจุดพลิกผันของเขา
“มันพลิกตั้งแต่ เราหลงรักกับดนตรีครั้งแรก จากชีวิตที่ไม่เคยที่โฟกัสอะไรเลย พลิกแล้วนะ เฮ้ย เราชอบ อันนี้แหละ”
การเจอความฝันแต่เนิ่นๆ ถือเป็นเรื่องโชคดี อย่างน้อยก็ในระยะแรกของชีวิต
“จากนั้นมันก็พลิกมาเรื่อยๆ การซื้อกีตาร์ตัวแรก การไปประกวดดนตรี การที่เราได้ทำเดโมไปส่งแฟต จากเด็กที่ชอบดนตรี กลายเป็นเด็กที่เล่นดนตรี เด็กที่เล่นดนตรีกลายเป็นเด็กที่แต่งเพลง เด็กที่แต่งเพลง กลายเป็นศิลปิน แล้วจากศิลปิน ก็กลายเป็น ศิลปินที่ล้มเหลว ..ล้มเหลวบ้าง สำเร็จบ้างสลับกันไป”
2 บทเพลง
ย้อนไปเมื่อสิบปีที่แล้ว วันที่ผลงานเพลงของแสตมป์ได้เปิดกระจายเสียงเป็นครั้งแรกทางคลื่นแฟต ในฐานะเพลงประกอบละครเวที’ถาปัด จุฬาฯ
“การทำเพลงมันก็สนุกมากตั้งแต่เริ่มทำแล้วครับ” เขาหันมามองผู้ชม “แต่เมื่อวิทยุเปิดเพลงของเรา มันกลายเป็นอีกโลกหนึ่งเลย เป็นจุดที่ทำให้รู้ว่า สิ่งที่เราทำอยู่ตั้งนาน – มีคนฟัง!” เขาทำหน้าทะเล้น คนดูหัวเราะครืน
แต่นั่นก็ยังไม่ได้การันตีความสำเร็จใดๆ ในอนาคต
แม้วันนี้จะมืดจะมองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า
ผมก็จะเขียนเพลงด้วยความรักจนหยุดสุดท้ายของน้ำตา
เขามีโอกาสได้รู้จักกับ กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ ตั้งแต่สมัยที่ตัวเองยังไม่โด่งดัง อ้างอิงจากวันเวลาที่ทั้งคู่ยังสนทนาผ่านเอ็มเอสเอ็น ความสัมพันธ์ใกล้ชิดนี้ นำไปสู่โอกาสของแสตมป์ในการโชว์ฝีมือแต่งเพลงส่งค่ายแกรมมี่
“จริงๆ แล้ว กอล์ฟแต่งท่อนแรพไปก่อน” แสตมป์ออกตัว
“แต่ผมเอามาให้เขาช่วยแต่งทำนอง เขาเขียนท่อนฮุคเพิ่มให้ สุดท้ายค่ายเพลงตัดท่อนแรพไป เอาแต่ของเขา” กอล์ฟพูดติดตลก “ความฝันผมก็ล่มสลายไป” ล้อเลียนกับชื่อหนังสือ
ท่อนฮุคของเพลงนั้นที่ร้องว่า “คนเราจะมีน้ำตา อาจไม่ใช่คนอ่อนแอเสมอไป” กลายเป็นประโยคติดหูใครหลายคน
“เวลาเจอปัญหา ทางออกของผมคือการลงมือทำครับ ยิ่งเราทำงานเรายิ่งลืมคำถามทุกอย่าง ที่ถามเราว่า จะทำดีไหม เราก็ ทำทำทำ ไป ให้ลืมว่ามีคำถามนี้อยู่”
บนเส้นทางนี้ อาจมีวันที่เสียน้ำตา แต่อภิวัชร์ ไม่ใช่คนอ่อนแอ
3 จะมีความหมาย
“หนังสือเล่มนี้เปรียบเป็นแคปซูลกาลเวลาของผม ได้รู้ว่า เราทำอะไรอยู่ ใครอยู่ข้างเราบ้าง ณ ตอนนั้น”
เมื่อพูดถึงชื่อเสียงทีได้มาจากรายการโทรทัศน์ เขาทำใจยอมรับว่ากระแสความนิยมนั้น ขึ้นๆ ลงๆ ตามจังหวะเวลาที่รายการออกฉาย
“ของอย่างนี้มันสัมผัสได้ว่า มันไปเร็วมาก ยิ่งเขียนหนังสือ ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าสิ่งที่ทำให้เราคงอยู่จริงๆ คือ (ชิ้น) งาน…ที่ออกจากตัวเรา การไปเป็นโค้ชก็เป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้คนรู้จักเรา แต่ว่า เขาจะอยู่กับเราต่อไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า เขารู้จักแล้วเขาชอบเพลงเราหรือเปล่า”
ถ้าวันพรุ่งนี้โลกที่เธออยู่ จะไม่ได้ยินบทเพลงของฉัน
ถ้าวันพรุ่งนี้ไม่มีเพลงใหม่ ไม่มีบทเพลงในความทรงจำ
นอกจากในแง่การเป็นบันทึกความทรงจำของตัวเองแล้ว หนังสือเล่มนี้เป็นดังประตูเชื้อเชิญคนที่ชื่นชมเขา ให้ลองเข้ามาสำรวจความหล่อภายในของเขาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการซึมซับผ่านเนื้อเพลงที่เขาประพันธ์
“เคยมีคนพูดไว้ว่า การที่เรามีไอดอลหรือฮีโร่ของเรา ไม่ได้หมายความว่า เราอยากทำงานแบบเขา” เขาเว้นจังหวะกลั่นกรองคำพูด
“แต่ว่าเราอยากมองโลกแบบเขา”
“ไม่รู้ว่าจะมีใครอยากเข้ามาในหัวผมไหมนะ แต่สิ่งที่ผมเขียนนี้มันคือความทรงจำ และการมองโลกของผม”
ลองฟังเขาแบบไม่มีทำนองกันดูไหม