ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์
โดยปกติแล้ว…การเขียนเรื่องราวที่ผมค่อนข้างถนัดหรืออาจจะเขียนบ่อยที่สุด ก็น่าจะเป็นการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการเมือง ส่วนเรื่องเศรษฐกิจ หรือเรื่องราวด้านต่างประเทศอาจจะแจมได้บ้างนิดๆ คล้ายๆ กับการเขียนเรื่องสั้น นวนิยาย หรือบทกลอน…คือถ้าหากมีข้อมูล มีแรงบันดาลใจครบถ้วนพอประมาณ ก็พอจะเถลือกไถลไปได้บ้าง ตามสภาพของคนที่หากินทางด้านขีดๆ-เขียนๆ มาแทบทั้งชีวิต…
แต่สำหรับเรื่องราวทางด้าน ‘ธรรมะ’ หรือ ‘ศาสนา’ นั้น…เอาเข้าจริงๆ แล้ว ผมเพิ่งจะมาเริ่มเขียนกันแบบจริงๆ จังๆ ก็เมื่อซักประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว หรือหลังจากที่ได้ปิดกิจการนิตยสารวิเคราะห์ข่าวการเมืองรายสัปดาห์ลงไปแล้ว และหันมาใช้เวลาในการอ่านหนังสือประเภทนี้มากขึ้นๆ…
ซึ่งในช่วงระยะเวลาประมาณ 10 กว่าปีที่ได้หันมาเขียนเรื่องราวประเภทนี้ ถ้าหากพูดกันตามภาษากำลังภายในแล้ว ก็คงต้องเรียกว่า…ย่อมไม่มีโอกาสถึงขั้นที่จะทะลวงจุดหยิม-ต๊กหรือคงไม่สามารถผนึกลมปราณค้นพบเคล็ดวิชาไหมฟ้าได้แน่ๆ!!! แต่ช่วงระยะเวลา 10 กว่าปีนั้น…ก็อาจจะพอทำให้เกิดการรับรู้การกำหนดลมปราณขั้นพื้นฐาน พอจะแทรกตัวเข้าไปในวัดเสี้ยวลิ้มยี่ ในฐานะศิษย์ใหม่ที่ช่วยตักน้ำใส่ตุ่ม หรือช่วยงานโรงครัวให้กับบรรดาหลวงจีนหนุ่มๆ ไปจนถึงหลวงจีนอาวุโส โดยไม่ถึงกับโดนเตะโดนถีบออกมาจากสำนักเพราะความโง่ดักดานหรือความไม่รู้เรื่องอะไรเอาเลย…
อย่างไรก็ตาม…สิ่งที่ผมพอรู้ๆ ในเรื่องเกี่ยวกับ ‘ธรรมะ’ หรือ ‘ศาสนา’ นั้น ก็คงไม่ใช่ความรู้ในแง่
‘การปฏิบัติ’ แบบที่พวกพระหรือผู้ใฝ่ใจในศาสนาแท้ๆ พยายามศึกษาค้นคว้าโดยใช้ตัวตนของตัวเข้าไปทดสอบหรือฝึกปรือกันจริงๆ เพราะโดยบุคลิก อุปนิสัย พฤติกรรมของผมนั้น…ยังอยู่ในระดับที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติในหลายต่อหลายกรณี เอาง่ายๆ ว่า…แค่ลองนั่งสมาธิไม่กี่นาที…ก็หลับแล้ว!!! บรรลุสู่การสิ้นสติสมประดี แทนที่จะเข้าสู่ดินแดนแห่งนิมิต แดนสุขาวดี หรือแดนแห่งนิพพานกันได้ง่ายๆ…นอกเหนือไปจากนั้นก็ยังมีอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะ…เรียกว่าตราบใดที่ยังไม่คิดจะบวชเป็นพระ ก็เท่ากับเป็นการสร้างกุศลให้พระศาสนาไปโดยปริยาย พระ เณร แต่ละวัดจะได้ไม่มีโอกาสเป็นมะเร็งเพราะโดนควันบุหรี่ ไม่ต้องรำคาญกับเสียงเพลงเฮฟวีร็อค หรือไม่ต้องรำคาญหูรำคาญตากับการตีความศีลข้อ 5 ออกมาในแบบ
สุรา รินมาเป็นระยะ ระยะ ทัฏฐานา เวรมณี สิกขา ปะทัง เกิดสมาธิยามิ…อะไรประมาณนั้น!!!
สิ่งที่ผมพยายามค้นคว้าหาความรู้ในเรื่องราวทางด้าน ‘ธรรมะ’ และ ’ศาสนา’ นั้น…โดยสรุปแล้วก็คงออกไปในแง่ ‘ทฤษฎี’ กันเป็นหลัก ถ้าหากพูดให้ดูหรูๆ เก๋ๆ ออกไปในทางธรรมะได้บ้าง ก็คงต้องใช้คำอย่างที่ท่านพุทธทาสเคยเรียกว่าเป็นการเรียนรู้ศาสนาในแง่ ‘พุทธิปัญญา’ หรือรู้เพื่อนำมาปรับ นำมาประยุกต์ หรือนำมาใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ สังเคราะห์สิ่งต่างๆ พอให้เกิดความเข้าใจต่อความเคลื่อนไหวและปรากฏการณ์ต่างๆ ของสรรพสิ่งกันในแต่ละกรณีๆ นั่นเอง…
การที่ผมหันมาสนใจเรื่องราวของ ‘ธรรมะ’ และ ‘ศาสนา’ ในแนวนี้…จึงอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับความชราภาพ หรือเพราะเกิดวิกฤตการณ์ในชีวิต อันเป็นสิ่งที่มักจะสร้างแรงผลักดันให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้อง ‘วิ่งหนีเข้าวัด’ หรือหันมาคว้าหนังสือธรรมะเอาไปท่องจำในขณะที่กำลังค่อยๆ แง้มฝาโลงแต่อย่างใด แต่ว่าไปแล้วมันอาจจะเกี่ยวกับความเป็นนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ อันเป็นวิถีทางที่ผมดำเนินต่อเนื่องมาแทบตลอดทั้งชีวิตนั่นแหละ…ที่น่าจะเป็นแรงผลักดันสำคัญอันทำให้ผมค่อยๆ หันมาซึมซับเอาเรื่องราวในแง่ ‘ธรรมะ’ หรือ ‘ศาสนา’ เข้าไปทีละนิดๆ ในระหว่างที่พยายามจะวิเคราะห์หาคำตอบต่างๆ ต่อปรากฏการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไม่ว่าระดับภายในประเทศหรือต่างประเทศ…
เหตุที่ผมต้องไปลากเอา ‘ธรรมะ’ และ ‘ศาสนา’ เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวประเภทนี้ ก็อาจจะเป็นเพราะว่าบรรดาปรากฏการณ์ในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมในทุกวันนี้…นอกจากมันจะเต็มไปด้วยคำถามนานาชนิดแล้ว โดยตัวมันเองนั้น มันยังไม่อาจตอบคำถามที่ตัวมันเป็นผู้สร้างขึ้นมาเองได้เลยแม้แต่น้อย!!! ไม่ว่าจะเป็นการเมือง-เศรษฐกิจ ในแบบ ‘ทุนนิยม’ หรือ ‘สังคมนิยม’ ก็ตามที หรือแม้กระทั่งจะมีการไปขุดหลุมศพ ‘อนาธิปไตย’ ขึ้นมาก็แล้วแต่ มันล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วย ‘ทางตัน’ หรือเต็มไปด้วยคำถามที่ตัวมันเอง
ก็ตอบไม่ได้ ไม่ว่าจะมีการปรับแนวคิด ทฤษฎี พัฒนาลัทธิดั้งเดิมจนกลายเป็นลัทธิแก้กันไปทุกลัทธิแล้ว….
มันก็ยังไม่อาจให้คำตอบต่อความล้มเหลวที่ตัวมันเองเป็นผู้สร้างขึ้นได้เลย
ความล้มเหลวที่ทำให้สังคมแต่ละสังคมไม่ว่าจะอยู่ในซีกโลกไหน อยู่ในฐานะประเทศรวย-ประเทศจน ประเทศโลกที่หนึ่งหรือโลกที่สาม…ต่างเต็มไปด้วยความเละเทะ ระส่ำระสาย ความล้มเหลวที่ทำให้ความเป็นมนุษย์ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ทำให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติถูกปู้ยี่ปู้ยำ จนโลกทั้งโลกกำลังละลาย…ฯลฯ…
ภายใต้สภาพเช่นนี้นี่แหละ…ทำให้ผมเกิดความสนใจที่จะหันไปหาคำตอบอื่นๆ อันไม่ได้อยู่ภายใต้กรอบทฤษฎีใดๆ ที่ล้วนแล้วแต่กำลังแสดงความล้มเหลวให้เห็นด้วยกันทั้งสิ้น และนั่นเอง…ที่ทำให้ผมค่อยๆ พยายามเข้ามาสัมผัสกับประวัติความเป็นมา เนื้อหา สาระ และแง่มุมต่างๆ ในศาสนา ซึ่งก็คงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ศาสนาพุทธที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เกิด แต่ยังพยายามเปิดสมองเปิดใจไปถึงศาสนาคริสต์ อิสลาม เต๋า ฮินดู ฯลฯ ตลอดไปจนถึงศาสนาดั้งเดิมของมนุษย์ในช่วงดึกดำบรรพ์กันเลยทีเดียว…
และก็แปลกไม่น้อย…ที่การลองไปหมกมุ่นกับเรื่องราวเหล่านี้ มันทำให้ผมเกิดความสนุก ตื่นเต้น ไม่น้อยไปกว่าที่เคยตื่นตาตื่นใจกับทฤษฎีการเมือง-เศรษฐกิจในครั้งที่ยังเป็นหนุ่มๆ หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ!!! และเหตุที่เป็นเช่นนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับอายุ รสนิยม หรือความคับข้องใจใดๆ ในชีวิต แต่มันน่าจะเป็นเพราะผมอาจจะรู้สึกเอาเองว่า บรรดาสิ่งต่างๆ ที่มีการพูด การบันทึก การอธิบายเอาไว้ในเนื้อหา สาระ และประวัติความเป็นมาของศาสนาต่างๆ นั้น มันสามารถนำเอามาใช้เป็น ‘คำตอบ’ ของสิ่งต่างๆ ที่กำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่ในโลกในสังคมขณะนี้ได้ในแบบ…ทุกเรื่อง-ทุกกรณีกันเลยก็ว่าได้
ไม่เพียงแต่มันสามารถตอบคำถามของสิ่งต่างๆ ที่เคยเป็นมาแล้วในอดีต และกำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน มันยังสามารถนำไปใช้ตอบคำถามล่วงหน้าของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกต่างหาก…
นอกจากนั้นคำตอบต่างๆ ที่มีอยู่ในเนื้อหา สาระ ของ ‘ธรรมะ’ และ ‘ศาสนา’ นั้น…มันไม่ใช่คำตอบที่มีลักษณะเฉพาะ เหมือนคำตอบที่เราได้รับรู้จากศาสตร์ต่างๆ ที่มักถูกย่อยแยกแตกออกไปเป็นแขนงๆ จนคำตอบๆ หนึ่งอาจจะขัดกันแย้งกันกับอีกคำตอบหนึ่ง…และท้ายที่สุดก็ไปถึง ‘ทางตัน’ กลายเป็น ‘คำตอบ
ที่ไม่มีคำตอบ’ หรือ ‘คำตอบที่ล่องลอยอยู่ในสายลม’ แบบที่เคยทำให้ใครต่อใครต้องแปรสภาพเป็นฮิปปี้สกปรกๆ โดดเดี่ยว เหว่ว้าอยู่ท่ามกลางกลิ่นอายแห่งเสรีภาพ ก่อนที่จะหันมาศิโรราบกับ ‘ระบบ’ หรือกับ ‘ทุนนิยม’ ดังเช่นพวกคนยุค ‘ซิกส์ตี้’ ทั้งหลาย แต่มันเป็นคำตอบที่มีลักษณะครอบคลุมสามารถเชื่อมโยงกับศาสตร์ทุกแขนง เป็นคำตอบที่คมชัด สามารถนำไปใช้ ‘ฟันธง’ แยกแยะความถูก-ความผิด ความดี-ความชั่ว ความงาม-ความไม่งาม โดยไม่ต้องปล่อยให้เราเกิดอาการเบลอร์ๆ เอ้อเร้อเอ้อเต่อ งึมๆ งัมๆ มึนซ์ซ์ๆ งงๆ แบบบรรดาผู้คนในยุค ‘โพสต์โมเดิร์น’ กันอีกต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้น…คำตอบประเภทนี้มันยังเป็นคำตอบที่ไม่ได้ผันแปรไปตามยุคตามสมัย ไม่เชยซ์ซ์ ไม่ตกยุค สามารถนำไปสู่ความอินเทรนด์ได้โดยตลอด เพราะรากฐานของคำตอบนั้นมันถูกรองรับเอาไว้ด้วยลักษณะของความเป็น ‘อกาลิโก’ หรือความอยู่เหนือกาลเวลา
ด้วยเหตุนี้นั่นแหละท่าน…ที่ทำให้ผมถึงได้หันมาเขียนถึงเรื่องราวเหล่านี้ หรือพยายามนำเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเขียนถึงอยู่บ่อยๆ นำเอามาใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ อธิบายความ หรือแม้กระทั่งนำมาใช้ในการตั้งข้อสมมุติฐานคาดการณ์ต่อสิ่งที่จะเป็นไปในอนาคตอีกด้วย…
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมจะเขียนในคอลัมน์นี้ ก็คงไม่ใช่การบรรยายธรรม การเทศนาสั่งสอนแบบที่บรรดาผู้รู้หรือผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ได้เคยเขียนเอาไว้ในคอลัมน์ของหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารแต่ละเล่ม แต่ก็คงไม่ใช่การเขียนถึงเรื่องการเมือง-เศรษฐกิจตามที่ผมเคยถนัดกันล้วนๆ แต่มันจะเกี่ยวพัน ครอบคลุม เฉพาะเจาะจงไปในเรื่องใดบ้างนั้น ก็คงต้องติดตามกันต่อไป ส่วนจะทำให้ท่านสนุก ตื่นเต้น ไปกับผมด้วยหรือไม่นั้น???
อันนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับรสนิยมที่จะต้องว่ากันไป…
******************************
(หมายเหตุ : ตีพิมพ์ ตุลาคม 2549)