กำพล พกนนท์
บ่ายวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ณ โรงงานของอาลี ฮุสเซน ในปากีสถาน ได้ปรากฏชายติดอาวุธกลุ่มหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาพร้อมทวงถามหาค่าคุ้มครองความปลอดภัยสูงถึง 100,000 เหรียญสหรัฐ หากฮุสเซนบอกปัดไปว่าให้ไปหาเอาข้างหน้าเถิด เมื่อได้ยินคำปฏิเสธ ชายสองคนในกลุ่มชูปืนอาก้าขึ้น พร้อมขู่ว่าถ้าไม่ยอมจ่าย พวกเขาจะฆ่าผู้จัดการโรงงานซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวของฮุสเซน
หลังจากนั้น 4 วัน ขบวนการเรียกค่าไถ่กลุ่มเดิมกลับมาอีกหน พร้อมจำนวนคนที่มากขึ้น ก่อนที่ฮุสเซนจะจรดปากกาเซ็นเช็ค เขาได้ยินเสียงปืนดังสนั่นโรงงาน และลูกชายวัย 33 ปี ก็ถูกกระสุนเข้าที่สีข้าง
เรื่องจริงฉากนี้กำลังเกิดขึ้นจริงแบบไม่มีตัวแสดงแทนอยู่ทุกหนแห่งในเมืองการาจี ที่สำคัญคือเกิดถี่ขึ้นทุกขณะ ในปี 2012 ตำรวจท้องที่เผยว่ามีสถานประกอบการอย่างน้อย 115 แห่งต้องเผชิญการขูดรีด ‘ภาษีค่าคุ้มครอง’ นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มที่ไม่กล้าแจ้งความเพราะเกรงกลัวอิทธิพล ตำรวจยังระบุเพิ่มว่า แก๊งตัวเป้งที่สุดเห็นจะไม่พ้นกลุ่มพันธมิตรของ ‘ตาลิบัน’ ที่มีที่มั่นอยู่ในปากีสถาน
ย้อนไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว พรรคอวามีแห่งชาติ (Awami National Party: ANP) พรรคฝ่ายซ้ายซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่แถบการาจี เคยใช้วิธีระดมทุนด้วยการเรียกค่าคุ้มครองจากห้างร้านเล็กๆ มาแล้ว แต่ปัจจุบันสถานการณ์พลิกผัน เมื่อฝ่ายตาลิบันกลับเข้ามามีอำนาจในพื้นที่อีกครั้ง ถึงขนาดติดใบปลิวธุรกิจที่ต้องการการคุ้มครองไว้ตามมัสยิด และยังทิ้งเบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้ด้วย
เมื่อถามถึงผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ชาวเมืองการาจีต่างส่ายหัวเพราะใครก็ไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ แม้ตำรวจจะยืนยันว่าพวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่สุดความสามารถแล้วก็ตาม
“ถ้าต้องจบด้วยการยืนแลกกระสุนกัน ไม่ต้องถามก็รู้ว่าใครจะชนะ แค่พวกนั้นได้กลิ่นว่าใครเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็มีสิทธิ์ตายทันทีแล้ว” ผู้กำกับการสถานีตำรวจเปรยขึ้นมา หลังลูกน้องรายหนึ่งถูกยิงด้วยปืนไรเฟิลขณะปฏิบัติหน้าที่สืบสวนคดีรีดทรัพย์
ขณะนี้เจ้าของร้านค้าและโรงงานต่างออกมาสนับสนุนให้รัฐบาลประกาศใช้กฎอัยการศึก เพื่อกำจัดกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ที่อาจเพิ่มจำนวนขึ้นอีกรวมถึงกลุ่มตาลิบันที่กำลังกลับมาทวงอำนาจคืน
ที่มา: globalpost.com