แปลและเรียบเรียง: ณัฐกานต์ อมาตยกุล
สำหรับอินเดียนหรือชนพื้นเมืองอเมริกัน ม้าถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นเหมือนเพื่อนยากของพวกเขา เมื่อมีแผนสร้างโรงฆ่าม้าบริเวณเขตสงวนของชนพื้นเมืองในไพน์ริดจ์ รัฐเซาธ์ดาโกตา จึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงในวงกว้าง แต่สิ่งที่สร้างความไม่สบายใจกว่านั้น คือ การประกาศขายที่ดินบริเวณ ‘วูนเด็ดนี’ สถานที่สังหารหมู่ชนพื้นเมืองในปี 1890 ซึ่งฝ่ายชาวอินเดียนถูกกองทหารอเมริกันสังหารไปอย่างน้อย 150 คน
เจมส์ ชิพชินสกี ตั้งราคาที่ดิน 40 เอเคอร์ (ราว 100 ไร่) ในไพน์ริดจ์สูงถึง 3.9 ล้านดอลลาร์ แต่หลังจากที่สภาชนเผ่าได้ปรึกษาหารือกัน พวกเขายินดีจ่ายไม่เกิน 12,000 ดอลลาร์ ที่ดินดังกล่าวจึงถูกประกาศขายต่อให้กับผู้คนทั้งในสหรัฐและทั่วโลก โดยสุดท้ายอาจไปสิ้นสุดที่การประมูล
นอกจากประเด็นที่ดิน ยังมีโครงการก่อสร้างท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน จากแคนาดาลงมายังสหรัฐ ที่นอกจากจะต้องตัดผ่าพื้นที่สงวนของชนพื้นเมือง ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม และการดำรงชีวิตของชนพื้นเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทั้งสามประเด็น สะท้อนให้เห็นความขัดแย้ง ทั้งระหว่างชนเผ่าซูกับโลกภายนอก และระหว่างสมาชิกเผ่าด้วยกันเอง ซึ่งมีทั้งคนสนับสนุนการพัฒนาและผู้ที่ต่อต้านอย่างแข็งขัน
เขตสงวนอินเดียนขนาดใหญ่ เช่นของชาวเผ่าเชโรกีและเผ่านาวาโฮได้กลายสภาพไปเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวมาเยือน 45,000-60,000 คนต่อปี ขณะที่ไพน์ริดจ์ ชาวพื้นเมืองยังทัดทานไม่เปิดรับการท่องเที่ยว เป็นเหตุให้ชุมชนดังกล่าวมีรายได้น้อย อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 80 อัตราเด็กเสียชีวิตแต่แรกเกิดคิดเป็น 3 เท่าของค่าเฉลี่ยทั่วประเทศ
อินเดียนบางคนเห็นว่าชนเผ่าต้องการการพัฒนาทางเศรษฐกิจ พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างได้ การอนุญาตให้มีโรงฆ่าม้ามูลค่า 25 ล้านดอลลาร์ในพื้นที่ ช่วยเพิ่มการจ้างงานขึ้นนับร้อยตำแหน่ง ขณะที่ฝ่ายต่อต้านมองว่าเป็นประเด็นอ่อนไหวอย่างมาก เนื่องจากม้ามีบทบาทสำคัญในการทำสงครามระหว่างชนเผ่าซูกับกองทหารในอดีต
ในประเด็นที่ดินเขตสงวน สภาชนเผ่าปฏิเสธราคาที่ชิพชินสกีเสนอ เพราะมองว่าแท้จริงแล้วพื้นที่นี้เป็นของพวกเขาแต่ดั้งเดิม และหากผู้ใดตัดสินใจซื้อก็จะต้องพบปัญหาตามมา เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ตาบอด หากจะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องได้รับอนุญาต ทั้งยังเสี่ยงต่อการถูกต่อต้านจากชนพื้นเมือง การพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะลูกหลานชาวซูยังมองว่าสถานที่นี้คือจุดเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ในประวัติศาสตร์
ฝ่ายชิพชินสกีอ้างกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินที่ครอบครัวเขาสืบทอดมาตั้งแต่ปี 1968 และมองว่าปัญหาเกิดจากความยึดติดของชนเผ่าที่ไม่คุ้นชินกับสิทธิครอบครองที่ดินที่อาจมีได้โดยบุคคลภายนอก เจ้าของที่ทิ้งท้ายว่าชาวอินเดียนหวังจะให้เขามอบที่ดินให้ฟรีๆ นั่นเพราะพวกนั้นยังอยู่ในดินแดนเพ้อฝัน ชิพชินสกีเคยเป็นเจ้าของสถานีค้าและพิพิธภัณฑ์ที่วูนเด็ดนีซึ่งถูกเผาทำลายไปในการปะทะกันเมื่อปี 1973
อย่างไรก็ตาม สมาชิกเผ่าบางคนมีความเห็นต่างออกไป และมองว่าสมควรสร้างพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาศึกษา เปิดโอกาสให้ชนเผ่าขายสินค้าท้องถิ่นเพื่อหารายได้ และมีโอกาสเผยแพร่เรื่องราวให้กับผู้มาเยือนรับรู้มากกว่าการปิดกั้น
ที่มา: whitewolfpack.com