โลกในยุคโซเชียลมีเดีย รัฐอาจจะไม่สามารถใช้กระบอกเสียงฝ่ายเดียวเพื่อปิดกั้นความคิดของผู้คนได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด คำถามคือในยุคสมัยการส่ง-รับสัญญาณแบบอนาล็อกการรายงานประเด็นทางสังคมเป็นเช่นไร ในวันที่โทรทัศน์ยังคงเป็นสีขาวดำ และสถานีวิทยุเป็นห้องเล่าข่าวเช่นเดียวกัน อีกพื้นที่สื่อสารความคิดที่สำคัญคือ หนังสือพิมพ์ ซึ่งกลายเป็นสนามในการปลุกเร้าความคิด อารมณ์ผู้คน ที่สำคัญไม่แพ้กัน
สำหรับเหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เราไม่อาจพิจารณาเพียงการหลั่งเลือดที่เริ่มในเช้าจนจรดค่ำในวันนั้น แต่อาจคิดถึง ‘เหตุการณ์ 6 ตุลา’ ในฐานะกระบวนการประทับตราเหยื่อ ที่ค่อยๆ รุนแรงขึ้น ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ที่ถูกส่งไปถึงมือผู้คนในทุกๆ วัน
หนังสือพิมพ์ในปี 2519 จึงเสมือนประจักษ์พยานเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่จารึกว่า บ้านเมืองนี้เคยเกิดอะไรขึ้น รวมถึงอาการทางสังคมไทยในช่วงเวลาดังกล่าวที่ปัญญาชนคนสำคัญอย่าง เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน เรียกว่า ‘Withdrawal Symptoms’ (อาจารย์เกษียร เตชะพีระ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แปลว่า ‘บ้านเมืองของเราลงแดง’) นั้นสะสมขึ้นมาอย่างไร
WAY คัดหนังสือพิมพ์ 7 หัวในห้วงนั้น ได้แก่ ดาวสยาม,ชาวไทย,เดลิไทม์,สยามรัฐ,ไทยรัฐ และ Bangkok Post แทนไทม์แมชชีน ชวนคนอ่านย้อนไปดูข่าวหน้าหนึ่ง ตั้งแต่เดือนกันยายน 2519 ไปถึงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม เพื่อดูน้ำเสียง ลีลาภาษา ทัศนะ และข้อเท็จ-จริงที่ซ่อนอยู่ในน้ำหมึกบนหน้ากระดาษแต่ละฉบับ
19 กันยายน 2519
รายงานข่าวจอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีออกจากประเทศเนื่องในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ได้บวชเป็นสามเณรเดินทางกลับเข้าประเทศไทย โดยอ้างว่าเพื่อมาเยี่ยมพ่อที่ป่วย ท่ามกลางกระแสต่อต้านของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยและกลุ่มขบวนการแรงงาน
20 กันยายน 2519
เกิดกระแสการต่อต้านจอมพลถนอม อดีตผู้นำรัฐบาลทหารต้นทศวรรษ 2510 ถัดมาสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (องค์ที่ 19) ได้ออกมารับรองว่าจอมพลถนอมได้บวชอย่างถูกต้อง ต่อมาความคิดเห็นในสังคมได้แตกเป็นสองเสียง เสียงแรกคือให้ขับเณรถนอมออกไป เนื่องจากมีความกังวลว่าจะกลับเข้ามาทำรัฐประหารอีก ขณะอีกกระแสเสียง สนับสนุนให้เณรถนอมบวชต่อไปได้ พร้อมๆ กับสื่อบางสำนักเริ่มแปะภาพความรุนแรงต่อขบวนการนักศึกษา
21 กันยายน 2519
เกิดความรุนแรงในหลายจุด อาทิ เกิดเหตุปาระเบิดใส่บริษัททัวร์ ที เอส ที มีผู้บาดเจ็บ 5 คน สถานีวิทยุยานเกราะอ้างว่าบริษัททัวร์แห่งนี้เป็นของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.)
22 กันยายน 2519
ตำรวจอารักขาบริเวณวัดบวรนิเวศ เนื่องจากทางวัดอ้างว่ากลุ่มต่อต้านพระถนอมจะเข้าไปเผาวัด สื่อเริ่มรายงานว่าฝ่ายต้านจอมพลถนอมจะทำการ “เผาวัดบวร” ขณะที่กลุ่มยุวสงฆ์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นแนวร่วมศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยออกมาโต้มหาเถรสมาคมที่รับรองการบวชของเณรถนอม
23 กันยายน 2519
รายงานข่าวเริ่มแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลเสนีย์ขาดเสถียรภาพ เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 4 รายยื่นกระทู้ด่วนเรื่องการกลับมาของจอมพลถนอม มีผลให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นประกาศลาออกกลางสภาผู้แทนฯ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินี เสด็จไปสนทนาธรรมที่วัดบวรนิเวศ หลังจากนั้นคุณหญิงเกนหลง สนิทวงศ์ นางสนองพระโอษฐ์ แถลงว่า “สมเด็จพระราชินีให้มาบอกว่า ได้ทราบว่าจะมีคนใจร้ายจะมาเผาวัดบวรนิเวศ จึงทรงมีความห่วงใยอย่างมาก ขอให้ประชาชนช่วยกันดูแลป้องกัน อย่าให้ผู้ใจร้ายมาทำลายวัด”
24 กันยายน 2519
ชุมพร ทุมไมย และ วิชัย เกษศรีพงศา พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นครปฐม และสมาชิกแนวร่วมประชาชน ที่ติดโปสเตอร์ขับไล่เณรถนอมถูกฆ่าแขวนคอไว้กับประตูทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ ตำบลพระประโทน อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
25 กันยายน 2519
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เป็นคณะรัฐมนตรีชุดที่ 38 ของประเทศไทย
26 กันยายน 2519
ตำรวจแถลงว่าคดีสังหารพนักงานการไฟฟ้า 2 ราย มีความคืบหน้า ขณะที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยืนยันให้จอมพลถนอม ออกนอกประเทศ แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง เผยให้เห็นความแตกแยกภายในของรัฐบาล
27 กันยายน 2519
สส.พรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายขวา แถลงข่าวใส่ร้ายว่า กลุ่มฝ่ายซ้ายในพรรคตนเองจ่ายเงินให้แก่ ศนท. จำนวน 8 แสนบาท เพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านการกลับเข้าประเทศของจอมพลประภาส จารุเสถียร เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์รายงานการเปลี่ยนตำแหน่งในคณะรัฐบาล และเริ่มป้ายสีขบวนการนักศึกษาโดยใช้ประเด็นทางเพศ
29 กันยายน 2519
ศนท. และประชาชนจากกลุ่มต่างๆ ร่วม 20,000 คนชุมนุมประท้วงพระถนอมที่บริเวณสนามหลวง มีกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับผู้ชุมนุมกล่าวโจมตีผ่านเครื่องขยายเสียงและลอบทำร้ายผู้ชุมนุมด้วยอาวุธ
30 กันยายน 2519
เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มวางแผนรับมือการชุมนุมต่อต้านพระถนอม โดยตรึงกำลังบริเวณสนามหลวง ขณะที่เริ่มมีการแถลงพบอาวุธในกลุ่มนักศึกษาโดยระบุว่ากลุ่มต้านถนอมมีแผนก่อวินาศกรรม
1 ตุลาคม 2519
กลุ่มฝ่ายขวาออกแถลงการณ์ว่าศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) และกลุ่มฝ่ายซ้ายต้องการทำลายวัดบวรนิเวศวิหารและล้มล้างรัฐบาล เหล่าฝ่ายขวาจึงร่วมกันปกป้องวัดบวรฯ โดยอ้างพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระราชินี “อย่าให้ผู้ใจร้ายมาทำลายวัด” ที่รับสั่งผ่านคุณหญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นางสนองพระโอษฐ์
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จนิวัติประเทศไทย
2 ตุลาคม 2519
กลุ่มมวลชนฝ่ายขวาที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานความมั่นคงเริ่มเคลื่อนไหวหนักขึ้น เช่น สมาชิกกลุ่มนวพลทั่วประเทศเดินทางเข้ามาปฏิญาณตนต่อหน้าพระแก้วมรกตเพื่อปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แล้วไปชุมนุมกันที่บริเวณสนามไชย ส่วนกลุ่มฝ่ายกระทิงแดงเข้าล้อมวัดบวรนิเวศ
ตัวแทนนักศึกษาจาก ศนท. เข้าพบนายกรัฐมนตรีเรื่องขับไล่จอมพลถนอม แต่ตกลงกันไม่สำเร็จ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จนมัสการเณรถนอมที่วัดบวรนิเวศ
4 ตุลาคม 2519
นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รณรงค์งดสอบเพื่อให้นักศึกษาเข้าร่วมการประท้วงขับไล่สามเณรถนอม และแสดงละครจำลองเหตุการณ์ฆ่าแขวนคอพนักงานการไฟฟ้า
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐถูกคนร้ายโจมตีด้วยปืน M79 เนื่องจากมีคอลัมน์หนึ่งทำนายเรื่องการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีไว้ในหนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ 3 ตุลาคม
คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของ ม.ร.ว.เสนีย์มีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีในกระทรวงที่สำคัญ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จาก พลเอกกฤษณ์ สีวะรา เป็น พลเรือเอกสงัด ชลออยู่
5 ตุลาคม 2519
หนังสือพิมพ์ Bangkok Post ลงภาพการแสดงละครเหตุการณ์แขวนคอช่างไฟฟ้าของนักศึกษา เพื่อประกอบข่าวที่ตำรวจแถลงว่าจับกุมคนร้ายได้แล้ว
ในตอนบ่าย บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ดาวสยาม จึงตีพิมพ์รูปการแสดงละครนี้ โดยอ้างถึงภาพถ่ายใบหน้าของอภินันท์ บัวหภักดี นักแสดงละคร มีความคล้ายคลึงกับพระบรมโอรสาธิราช เพื่อประโคมข่าวโจมตีขบวนการนักศึกษาว่าจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของคอมมิวนิสต์
สถานีวิทยุทหารออกข่าวว่ามีผู้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และระดมผู้รักชาติ โดยเฉพาะกลุ่มพลังฝ่ายขวา เช่น กระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้าน และนวพล จำนวนนับพันไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อต่อต้านนักศึกษา ในช่วงหัวค่ำจึงมีการย้ายการชุมนุมมาอยู่ฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ส่วนศาสตราจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกาศหยุดเรียนไม่มีกำหนด
6 ตุลาคม 2519
เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนังสือพิมพ์แต่ละฉบับพาดหัวข่าวเหตุการณ์นองเลือดโดยชูประเด็นนักศึกษาหมิ่นองค์รัชทายาท ผ่านกรณีการเล่นละครที่มีการแขวนคอหุ่นเหมือนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
ในวันเดียวกัน ตำรวจ 5 นายถูกจับในข้อหาสมคบฆ่าแขวนคอสองพนักงานการไฟฟ้าที่จังหวัดนครปฐม แต่ทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวอย่างเงียบๆ หลังจากนั้น
7-8 ตุลาคม 2519
พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ประกาศยึดอำนาจรัฐบาล และประกาศปิดหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
(หนังสือพิมพ์กรอบบ่ายของวันที่ 6 ตุลาคม หรือฉบับลงวันที่ ‘7 ตุลาคม’ เป็นฉบับสุดท้ายก่อนถูกปิด ส่วนหนังสือพิมพ์ที่ออกระหว่างวันที่ 7-8 ตุลาคมนั้นไม่มี)
9 ตุลาคม 2519
คณะปฏิรูปฯ ส่งกำลังทหารเข้าตรวจค้นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ต่อเนื่อง
(หนังสือพิมพ์ฉบับแรกหลังการประกาศยึดอำนาจ)
- สื่อมวลชนในยุคนั้นมีบทบาทมากในการปลุกระดมประชาชนว่านักศึกษาเป็น ‘คอมมิวนิสต์’ หรือ ‘แดง’ หรือ ‘คนญวน’ (เวียดนาม) ไม่ใช่คนไทย เพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของขบวนการนักศึกษา
- มีรายงานข่าวจากสื่อบางสำนักว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นแหล่งซ่องสุมอาวุธ และมีอุโมงค์ลับ ก่อนจะพบในเวลาต่อมาว่าไม่เป็นความจริง ในขณะเดียวกันตำรวจหลายนายที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้นยอมรับในชั้นศาลว่าได้ใช้อาวุธสงครามเพื่อปราบปรามประชาชน
- ในวันที่ 6 ตุลาคม มีเจ้าหน้าที่และฝ่ายขวาเสียชีวิต 5 คน ส่วนนักศึกษาและประชาชนเสียชีวิตรวมทั้งหมด 41 คน บาดเจ็บอีก 145 คน ผู้รอดชีวิตฝั่งนักศึกษาและประชาชนกว่า 3,000 คนถูกจับกุมหลังจากนั้น ส่วนมากประกันตัวออกมาภายหลังจนเหลือเพียง 19 คนที่ถูกดำเนินคดีและคุมขังต่อในฐานะจำเลยเกือบ 2 ปี จึงได้รับการปล่อยตัวในสมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมคำพูดว่า “แล้วก็ให้แล้วกันไป ลืมมันเสียเถิดนะ”
- ในปี 2560 หรือ 41 ปีหลังเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ อภินันท์ บัวหภักดี หนึ่งในนักศึกษาให้สัมภาษณ์เปิดเผยว่าตนได้เข้ามาเล่นละครนักศึกษา ฉากแขวนคอพนักงานการไฟฟ้าด้วยความบังเอิญ เนื่องจาก วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ นักศึกษารุ่นพี่ที่ถูกวางตัวให้รับบทนี้ไม่สามารถแสดงว่าถูกแขวนคอเป็นเวลานานๆ ได้ อภินันท์ซึ่งเป็นนักกีฬา ร่างกายแข็งแรง จึงถูกไหว้วานให้รับบทนี้แทน ปัจจุบันอภินันท์ยังมีชีวิตอยู่พร้อมความทรงจำจากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ
- 43 ปีหลังเหตุการณ์หกตุลาฯ หนังสือพิมพ์หลายหัวปิดตัวไป นักหนังสือพิมพ์บางรายในยุคนั้นยังมีชีวิตอยู่จนปัจจุบัน
ที่มา
- ภาพและข้อมูลจากโครงการ ‘บันทึก 6 ตุลา’
- หนังสือ ปริซึมของภาพถ่าย: การแตกตัวขององค์ความรู้และความทรงจำว่าด้วยเหตุการณ์ 6 ตุลา โดย ธนาวิ โชติประดิษฐ และ กรกฤช เจียรพินิจนันท์