นี่ไม่ใช่การจัดอันดับซีรีส์/หนังประจำปีหรือติดท็อปในดวงใจของปี 2017 แค่อยากแนะนำ 6 ซีรีส์/หนัง ที่เราชาว WAY เพิ่งดูไปแล้วเกิดอาการงอมแงม ดูจนลืมวันลืมคืน หวีดร้องใส่เพื่อนโต๊ะข้างๆ ว่าจงไปดูและมาเม้าท์กับฉันแต่โดนอิกนอร์ใส่
อย่าถามหาถึงเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่มี ‘ส่วนตัว’ ล้วนๆ
เอาเป็นว่าจะไม่พูดพร่ำอะไรมากมาย ใครที่ยังไม่ได้ดู 6 เรื่องนี้ วันหยุดยาว 4 วันนี้ ลองดูกัน ส่วนใครที่ดูแล้วมาเม้าท์กับเราหน่อยย
Bad Guys (2014)
ดูที่ไหน: Netflix
เรื่องมีอยู่ว่า โอ กูทัก ตำรวจที่ถูกสั่งพักงานถูกเรียกตัวให้กลับไปทำงานอีกครั้ง เพื่อสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ยังไม่มีใครปิดได้ โดยเขาได้เสนอให้สร้างทีมรูปแบบ ‘โจรจับโจร’ นำอาชญากรร้ายแรงที่ขึ้นชื่อว่าโหดที่สุดในประเทศมาเป็นสมาชิกทีม ได้แก่ ปาร์ค อุงชอล นักเลงหัวไม้แก๊งมาเฟีย จอง แทซู นักฆ่ารับจ้าง และ อี จองมุน ฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตที่มีมันสมองระดับอัจฉริยะ นอกจากนั้นยังมีสารวัตรสาว ยู มิยอง และอัยการ โอ แจวอน อดีตอัยการคดีของอี จองมุน มาร่วมปิดท้ายเสริมทัพความแข็งแกร่งของทีม โดยที่ทุกคนไม่รู้เลยว่าพวกเขาต่างมีจุดเชื่อมโยงอะไรบางอย่างร่วมกันอยู่
จุดที่ชอบสุดคือ เนื้อเรื่อง ที่บิดแล้วบิดอีก เหวี่ยงแล้วเหวี่ยงอีก หักมุมจนไม่อยากเชื่อว่าคนเขียนบทจะทำให้หนังทั้งเรื่องเต็มไปด้วยกลิ่นคาวคลุ้งของ ‘ด้านมืดในจิตใจ’ มนุษย์ และใจร้ายกับอี จองมุนได้ขนาดเน้! (โทดๆ)
แต่เพราะว่ามนุษย์เรานั้นไม่มีใครดีสุดและเลวสุด ถึงหนังจะพาเราดูเส้นทางสายดาร์คของแต่ละตัวละคร แต่พวกเขาทุกคนต่างก็ถือเหตุผลที่กลมเนียนไปกับความจริง บทไม่ได้ลอยอยู่บนอากาศที่เล่าเรื่องความเลวแล้วฉุกให้เราคิดว่า “อะไรของมึง” กล่าวคือ แต่ละเหตุผลมีที่มาที่ไปที่เซอร์เรียลอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงเกือบสมบูรณ์ เราเห็นความรักที่กลายเป็นความขม โดยเฉพาะปมของโอ กูทัก ที่กลายเป็นตัวละครที่เราชอบที่สุด
สิ่งที่ชอบรองลงมาคือ การยัดโปรดักชั่นระดับภาพยนตร์แอ็คชั่นมาใส่ในซีรีส์ โดยเฉพาะตอนที่เข้าไปทำลายขบวนการค้ามนุษย์ บอกเลยว่าดูไปก็เสียวเท้าไป นั่งจับเท้าแบบหวาดกลัว
เราจะไม่ลงดีเทลไปมากกว่านี้ เอาเป็นว่าถ้าคุณเป็นสายชอบดูหนังแอ็คชั่น สืบสวนสอบสวนอยู่แล้ว เรื่องนี้เราขอแนะนำว่าอย่าพลาดด้วยประการใดๆ ทั้งปวง ด้วยคะแนน IMDb 8.1/10 และกำลังฉายภาคสองอยู่ในขณะนี้ (ตัวละครเปลี่ยน) เพียง 11 ตอน ดูเถิด วันเดียวก็จบ (เช่นเรา)
Because this is My First Life (2017)
ดูที่ไหน: kserieshd.com
ในยุคที่หนุ่มสาวเริ่มแต่งงานกันน้อยลง ดูเหมือนว่าซีรีส์เรื่องนี้จะชวนให้เราตั้งคำถามกับ ‘การแต่งงาน’ ที่ไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องของ ‘ความรัก’ อย่างเดียว
ซีรีส์เรื่องนี้พยายามจะเล่าความสัมพันธ์ของสามคู่รัก โดยสองคู่แรกนั้นอยู่ใต้ร่มเดียวกันคือ “การแต่งงานกับความรักเป็นเรื่องเดียวกันหรือเปล่า” ได้แก่ คู่พระนางที่ตัดสินใจแต่งงานกันเพราะต่างมีผลประโยชน์สอดคล้องกัน โดยไม่มีความรักมาเกี่ยวข้อง กับอีกคู่คือ ฝ่ายหญิงมีธงใหญ่ในใจว่าการแต่งงานคือ life goal เพราะคบกับฝ่ายชายมาแล้วถึง 7 ปี ในขณะที่ฝ่ายชายยังไม่พร้อม แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าการแต่งงานคืออะไร
ส่วนอีกคู่นั้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายหญิงที่ไม่ศรัทธาในความรัก มีเป้าหมายสูงสุดในชีวิตคือความสำเร็จในหน้าที่การงาน ส่วนฝ่ายชายนั้นเป็นคนมั่นใจในเซนส์ความรักของตัวเอง คิดว่ามองออกทุกความสัมพันธ์เพราะตัวเองทำงานเป็นผู้บริหารแอพฯ หาคู่ คู่นี้ก็จะฮาร์ดคอร์หน่อยๆ
ที่ตัดสินใจดูเรื่องนี้เพราะบทมันดูเพ้อฝันและแจ่มใสนิดๆ แต่พอดูไปดูมาแล้วกลายเป็นมีเรื่องให้ชวนคิดและตั้งคำถามกับคำว่า ‘แต่งงาน’ เยอะแยะไปหมด แต่ที่ชอบยิ่งกว่าคือ การนำผลกระทบจากขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมแบบเกาหลีดั้งเดิมมาเป็นพื้นหลังของแต่ละตัวละคร เช่น ยุน จีโฮ นางเอกในเรื่องที่แม้จะเป็นพี่สาวคนโต เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ทำตามทุกอย่างที่พ่อสอน เพราะสังคมในครอบครัวมีลักษณะผู้ชายเป็นใหญ่ แต่ก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากพ่อ ผู้เชื่อว่าลูกสาวมีหน้าที่ทำงานบ้านไม่จำเป็นต้องเรียนสูงๆ หรืออย่างพระเอก นัม เซฮี ลูกชายคนเดียวของบ้านที่ถูกพ่อบงการชีวิตตั้งแต่เด็ก กระดิกเท้าเดินไปทางอื่นก็ไม่ได้ แถมแม่ยังมีความคิดแบบ ‘แม่ยายเกาหลี’ มาก คือ ลูกสะใภ้มีไว้ใช้งาน
พีคสุคคือ เพื่อนนางเอก อู ซูจีที่เรียกได้เลยว่านางโดนเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าผู้ชาย sexual harassment แบบทั้งสายตา วาจาจนไปถึงการปฏิบัติต่อเธอ แต่เพราะโลกมันโหดร้ายเธอเลยโหดกลับ แม้จะต้องแอบไปหลบร้องไห้ในห้องน้ำก็ตาม
ทั้งหมดที่กล่าวไปคือ ความซีเรียสของเนื้อเรื่อง แต่เพราะซีรีส์นี้ถูกจัดหมวดให้เป็นรอมคอม เราเลยจะเห็นความแฟนซีเล็กๆ ของคู่พระนางที่น่ารักจนต้องแอบกรี๊ดใส่หมอน ตามแบบฉบับซีรีส์เกาหลีที่มีทาร์เก็ตสำคัญคือสาวๆ อย่างเราๆ
Don’t Trust the B—- in Apartment 23 (2013)
ดูที่ไหน: Netflix
เรื่องนี้เหมาะสำหรับคนอยากเผาเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์กับซีรีส์โง่ๆ ที่ไม่มีแก่นสารสักเรื่อง
เพราะมันเหลวไหลที่สุด บ้าไม่หยุด ผีไม่เลิก เป็นความสัมพันธ์ของ ‘แรนดอม รูมเมท’ ระหว่าง ‘โคลอี้’ ปาร์ตี้เกิร์ลสุดบิทช์ กับ ‘จูน’ สาวบ้านนอก อินเดียนาเกิร์ลผู้เข้ามาล่าฝันในมหานครนิวยอร์ค แต่แน่นอนว่าเธอได้เจอความอัปยศของนิวยอร์คเล่นงานเข้าตั้งแต่ก้าวเข้ามาได้เพียงไม่กี่วัน
Setting ของเรื่องอยู่ที่อพาร์ทเมนท์สุดหรูหราของโคลอี้ อาชีพเดิมของเธอคือ ‘หลอกเอาเงินมัดจำจากรูมเมท’ คือชีมีห้องที่กว้างขวางหรูหรา และเปิดรับสมัครรูมเมท เมื่อได้แล้วก็จะทำตัวเหลวแหลกสุดๆ เพื่อให้รูมเมทคนนั้นทนไม่ไหว ทิ้งเงินมัดจำแล้วเดินจากไป แต่แน่นอนว่าตามแบบฉบับละครน้ำเน่า อินเดียนาเกิร์ลคนนี้เอาอยู่ จะด้วยความไม่มีทางเลือก ทิ้งเงินมัดจำไม่ได้ ผู้กำกับเขียนบทให้เป็นเช่นนั้น หรือจริงๆ แล้วโคลอี้ก็โหยหามิตรภาพดีๆ จากคนคนหนึ่ง ก็สุดรู้ แต่ลงเอยที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ท่ามกลางความสัมพันธ์ขาดๆ เกินๆ ระหว่างห้องของเธอและเพื่อนบ้านข้างเคียง
ความผี ไม่มีแก่นสาร น้ำเน่าแต่ไม่อีเดียต เพราะมันขุดดึงมุมดีๆ ของความเลวออกมาจัดแสดงอย่างน่ารักในคาแรคเตอร์ของแต่ละคน และยิ่งแล้วใหญ่เมื่อคนที่รับบทเป็นโคลอี้คือ คริสเตน ริทเทอร์ (Krysten Ritter) หญิงสาวที่มาพร้อมหน้าม้าแตกแต่เป็นลอนเหนือคิ้ว ผู้ที่มีธรรมชาติทางการแสดงแบบ… ‘Girl Power’ แค่นี้ก็รับประกันความตลกแบบเพลินๆ และความ #คุณค่าที่คู่ควร ในการนอนดูซีรีส์โง่ๆ เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
Cable Girls (2017)
ดูที่ไหน: Netflix
ซีรีส์ของ Netflix สัญชาติสเปน เล่าเรื่องบริษัทโทรศัพท์ในปี 1920 ปีที่สงครามเพิ่งสงบและการสื่อสารทางไกลผ่านโทรศัพท์เพิ่งเริ่มต้นขึ้น ขั้นตอนมีว่า ทุกครั้งที่ต้องการโทรถึงกัน จำเป็นต้องต่อสายเข้าบริษัทโทรศัพท์โดยจะมีโอเปอเรเตอร์สาวต่อสายไปยังปลายทางอีกที และเรื่องทั้งหมดเริ่มต้นที่ตรงนี้!
น้ำเน่าไม่มีชิ้นดี ขยี้ขเย้อขยัง เริ่มตั้งแต่นางเอกต้องการลบประวัติในคดีฆาตกรรมซึ่งเธอเป็นเพียงผู้ต้องสงสัย เธอรับจ้างเข้าไปสืบความลับด้วยการดักฟังข้อความในบริษัทโทรศัพท์เปิดใหม่แห่งนี้ ประวัติชีวิตของเธอก็ดำมืด เป็นโสเภณีที่ทั้งสำนึกในบุญคุณของแม่เล้า แม้มีอำนาจพอจะตัดให้ขาดได้แต่ก็เลือกจะไม่ทำ แถมเมื่อภารกิจดักฟังและขโมยความลับที่เคยคิดว่าง่าย แต่เมื่อมีตัวแปรคือความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน พลังหญิงและความผูกพันฉบับครอบครัวอย่างที่ทั้งชีวิตเธอไม่เคยพบเจอ และเมื่อรวมกับการกลับไปเจอคนรักเก่าอย่างไม่เคยคาดคิด ทั้งหมดนี้ก็กลายเป็นพล็อตเรื่อง เป็นการบีบคั้นทางอารมณ์ที่ไม่อาจดูแล้วพักสลับไปทำอย่างอื่นได้
แค่พล็อตเรื่องน้ำเน่า พระเอกซึ่งหล่อมากใต้สูทครบชิ้นและผมทรงเปียก (wet look) ฉบับชนชั้นสูงก็ไม่อาจทำให้เงยหัวขึ้นมาจากคอมแล้ว ยังซ้ำเติมด้วยประเด็นทางสังคมหนักๆ อย่างเรื่องสิทธิสตรี เช่น การลุกขึ้นมาทำงานนอกบ้านของผู้หญิงยุคนั้น ความต้องการคงตำแหน่งเมียและแม่ที่ดี แต่ต้องถูกผัวซ้อมและการขยับขึ้นเป็นเมียหลวง ความสัมพันธ์ระหว่างแม่เล้า โสเภณี และตำรวจ เรื่อยไปกระทั่งความสัมพันธ์แบบเลสเบี้ยน และคู่รักแบบสามคน
พีคไม่พีค?
Cable Girls เพิ่งปล่อยซีซั่นที่ 2 ออกมา ท่านใดที่มองหาซีรีส์น้ำเน่าให้สุดแล้วไปหยุดที่การจิกหมอน เพราะครบเครื่องตั้งแต่ความหล่อของพระเอก แฟชั่นของผู้หญิงที่เพิ่งเริ่มมีอิสระและก้าวเท้าออกจากบ้าน กระทั่งความสัมพันธ์สีเทาที่ทำให้เราหายใจไม่ออกเพราะคอยเอาใจช่วยทุกความบัดซบของชีวิต
แนะนำจริงๆ ค่ะ
Stranger / Secret Forest (2017)
ดูที่ไหน: Netflix
เรื่องราวหมักหมมโสมมของวงการอัยการที่เล่าผ่าน ‘ฮวังชีมก’ อัยการหนุ่มผู้ได้รับการผ่าตัดสมองตั้งเแต่เด็ก ทำให้กลายเป็นคนไร้ความรู้สึก ในแง่ความสัมพันธ์กับผู้คนอาจส่งผลเสียถึงขั้นหายนะ แต่มันกลับส่งผลดีต่อเนื้องานอัยการที่เขาทำอยู่ ความขวานผ่าซาก เถรตรง ไม่สนหัวหงอกหัวดำและความรักใดๆ ทำให้งานสืบสวนคดีฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินบนในสำนักงานอัยการเป็นไปแบบหัวหมู่ทะลวงฟัน
นอกจากบทที่ซับซ้อน ยอกย้อน และซ่อนอยู่หลายสิบเงื่อนตามขนบซีรีส์เกาหลี อีกเหตุผลหนึ่งที่เรื่องนี้ควรอยู่ในหมวด A Must น่าจะเพราะ ฮวังชีมกคือตัวแทนจิตใต้สำนึกของเรา ที่ยังต้องใช้ชีวิตในสังคมและยังต้องแคร์คนอื่น ฮวังชีมกกลับทำและพูดได้ทุกอย่างตรงใจ ดูไปก็เผลอร้องดังๆ ออกมาว่า “เยส” แบบนี้สิที่อยากพูด/ทำมานานแล้ว
ไม่ว่าจะตำรวจ อัยการ หรือวงการไหนๆ ไม่มีดำสุดขั้วหรือขาวสุดขีด ทุกคนต่างมีสีเทาลดหลั่นกันไป และคนที่อยู่รอดได้คือคนที่เลือกหยิบสีมาใช้ได้ถูกสถานการณ์-ชั่วดีถูกผิดว่ากันอีกเรื่อง
ป.ล. สำหรับคนที่ต้องการดู love line จากเรื่องนี้ skip ไปได้เลยเพราะไม่มี แค่รอยยิ้มจากพระเอกก็หายากมากกกกแล้ว
Voyeur (2017)
ดูที่ไหน: Netflix
หนังสารคดีจับตามองไปยังวิธีการเขียนเรื่องราวของนักเขียนนักข่าวชาวอเมริกันชื่อ Gay Talese ซึ่งจับตามองไปยังชายผู้เป็นเจ้าของโมเต็ลแห่งหนึ่งในโคโรลาโด และชายผู้นี้ก็จับจ้องเฝ้ามองแขกผู้มาพักที่โมเตลของเขา ถ้าพูดให้เห็นภาพก็ต้องว่า ชายผู้นี้สร้างโรงแรมจำนวน 21 ห้องพักขึ้นมาเพื่อถ้ำมอง
โครงการก่อสร้างห้องถ้ำมองของเขาเป็นไปอย่างปิดลับ เขาต้องการให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ห้องถ้ำมองของเขาประหนึ่งหอคอยที่สามารถส่องสำรวจทุกอิริยาบถของแขกที่เข้าพักได้ทุกห้อง สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ เหตุผลของการถ้ำมอง
เขาบอกว่า เขาเป็นนักวิจัย สังเกตการณ์พฤติกรรมมนุษย์หลากเพศหลายวัย นานาอาชีพ คนหลายชนชั้นในสังคม พวกเขาพูดคุยอะไร อากัปกิริยาของเขาเป็นอย่างไร จนกระทั่งเขาสามารถเขียนรายงานการวิจัยได้ 1 เล่ม ซึ่งสร้างความฉงนแก่ผู้รับรู้เรื่องราวนี้ ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือภรรยาของเขายอมรับและช่วยเหลือโครงการวิจัยครั้งนี้ด้วย เธอเชื่อและมองเห็นประโยชน์ในการถ้ำมองของเขา
สารคดีตั้งคำถามหลายเรื่อง จรรยาบรรณของสื่อ สิทธิส่วนบุคคล ประเด็นเชิงมานุษยวิทยา ศีลธรรม ฯลฯ เจ้าของโรงแรมผู้นี้ปรากฏตัวในหนังด้วยเช่นกัน เขาเล่าให้ฟังอย่างน่าตื่นใจว่า เขาเฝ้าดูเรื่องราวมากมายที่เกิดในห้องพัก ตั้งแต่การร่วมรักจนถึงการฆาตรกรรม เฝ้าดูอย่างเงียบเชียบ แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เขาหัวเสียจนต้องร้องตะโกนด่าชายผู้เข้าพักของเขา
แขกรายนี้ซื้อไก่ทอดกล่องใหญ่เข้ามานั่งกินบนเตียง เศษไก่เลอะเทอะเต็มผ้าปูเตียง และในวินาทีที่ชายคนนั้นใช้ผ้าปูเตียงเช็ดคราบมันออกจากมือ นักถ้ำมองที่เฝ้าดูอย่างเงียบๆ ก็ตะโกนด่าชายคนนี้อย่างลืมตัว เขาได้ยิน แต่ไม่รู้ว่าเสียงตะโกนด่านี้มาจากที่ไหน เหลอหลามองซ้ายขวาโดยมีนักถ้ำมองหรือนักวิจัยหัวเสียอยู่ในห้องทำงานลับของเขา