สำนักข่าว The Guardian รายงานในวันที่ 4 กันยายน ที่ผ่านมาว่า โจ ไบเดน ประกาศให้มีการทบทวนและปลดเอกสารลับจากการสืบสวนการโจมตีในเหตุการณ์ 9/11 หลังถูกกดดันอย่างหนักจากสภาคองเกรส และสมาชิกครอบครัวของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ที่ขณะนี้มีการฟ้องร้องประเทศซาอุดีอาระเบียอยู่
“เมื่อใกล้ถึงวันครบรอบ 20 ปีของเหตุการณ์ 9/11 ประชาชนชาวอเมริกาสมควรที่จะได้เห็นภาพทั้งหมดว่ารัฐบาลของพวกเขารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับการโจมตีในครั้งนั้น” คำสั่งประธานาธิบดี ที่ระบุไว้เมื่อวันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2021
โดยไบเดนกล่าวว่า บันทึกฉบับเต็มจะต้องถูกเปิดเผยในอีก 6 เดือนข้างหน้า และแม้ว่าการเปิดเผยข้อมูลอย่าง ‘ไม่เลือกปฏิบัติ’ อาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติและความสามารถในการป้องกันการรุกรานประเทศในอนาคต แต่ก็ต้องเป็นไปอย่างสมดุล ระหว่างความโปร่งใสและความรับผิดชอบ
“ข้อมูลไม่ควรถูกปกปิด เมื่อการเปิดเผยเกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ นั้นมีค่ากว่าความเสียหายใดๆ ต่อความมั่นคงของชาติ”
ครอบครัวของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายได้เรียกร้องมาเป็นเวลานานให้สหรัฐเปิดเผยการค้นพบ รหัสชื่อ ‘Operation Encore’ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสืบสวนของ FBI ที่มีความเป็นไปได้ว่าซาอุดีอาระเบียอาจสมรู้ร่วมคิดในการก่อเหตุการณ์อันเลวร้าย 9/11 นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดต่อระหว่างเจ้าหน้าที่ของซาอุดีอาระเบียกับผู้ก่อเหตุจี้เครื่องบินสองคน ที่อาศัยอยู่ในแคลิฟอร์เนียช่วงหลายเดือนก่อนการโจมตี
ถึงอย่างนั้น ซาอุดีอาระเบียได้ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในการจี้เครื่องบิน และกำลังต่อสู้กับคดีที่ครอบครัวเหยื่อฟ้องร้องที่ศาลรัฐบาลกลาง กรุงนิวยอร์ค
จากการออกคำสั่งของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทำให้ เทอร์รี สตราดา (Terry Strada) ภรรยาของทอมผู้เสียชีวิตจากการโจมตีตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และเป็นประธานร่วมครอบครัวผู้รอดชีวิต กลุ่มความร่วมมือ 9/11 หรือ 9/11 Community United กล่าวว่า
“ฉันตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ตอนนี้มีคำสั่งจากประธานาธิบดี ให้ปลดเอกสารทั้งหมดออกจากการเป็นเอกสารลับ
“ตอนนี้หน่วยข่าวกรองมีหน้าที่อธิบายว่าทำไมพวกเขาจึงจัดให้เป็นเอกสารลับ วิธีที่พวกเขาทำมาจนถึงตอนนี้ยังอยู่ภายใต้ความดำมืด พวกเขาจะทำแบบนั้นอีกต่อไปไม่ได้แล้ว”
ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกายอมรับการมีอยู่ของเอกสารดังกล่าว โดยภายใน 2 เดือนหลังคำสั่ง FBI และหน่วยงานอื่นๆ จะต้องเปิดเผยบันทึกทั้งหมดที่ก่อนหน้านี้ถูกระงับและจัดให้เป็นเอกสารลับ รวมถึงการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ของ FBI ในวันที่ 4 เมษายน 2016 ที่จะต้องถูกเผยแพร่ภายในวันที่ 11 กันยายน 2021
ภายใน 4 เดือน รัฐบาลจะปลดเอกสารลับทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ‘รายงานการสัมภาษณ์ เอกสารการวิเคราะห์ เอกสารที่รายงานผลการสอบสวน หรือบันทึกที่สำคัญต่างๆ (รวมถึงบันทึกทางโทรศัพท์และบันทึกทางธนาคาร หากมี)’ จากการสืบสวนครั้งแรกของ FBI เกี่ยวกับการโจมตี หรือที่เรียกว่า Penttbom ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ Operation Encore
และภายใน 6 เดือน รัฐบาลต้องเปิดเผยการสืบสวนสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ก่อเหตุจี้เครื่องบิน และ ‘ความสัมพันธ์กับรัฐบาลต่างประเทศ’
ซึ่งขึ้นอยู่กับอัยการสูงสุดหรือหัวหน้า FBI รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่จะต้องพิสูจน์ว่า การเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ ‘อาจเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของชาติ’
“เหตุการณ์สำคัญที่เป็นปัญหาเกิดขึ้นเมื่อ 2 ทศวรรษที่แล้วหรือนานกว่านั้น พวกเขาซึ่งเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาที่น่าสลดใจ เหตุการณ์นี้ยังคงดังก้องอยู่ในประวัติศาสตร์อเมริกาและชีวิตของคนอเมริกันจำนวนมาก
“ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ารัฐบาลสหรัฐให้ความโปร่งใสอย่างถึงที่สุด โดยต้องอาศัยการจัดแบ่งประเภทเอกสาร ก็ต่อเมื่อมีความเฉพาะเจาะจงและจำเป็นเท่านั้น” ไบเดนกล่าว
อย่างไรก็ตาม คำสั่งดังกล่าวมีขึ้นเพียง 1 วันหลังมีการเรียกร้องของครอบครัวเหยื่อต่อผู้ตรวจการกระทรวงยุติธรรม เนื่องจาก FBI อ้างว่าสูญเสียหลักฐานสำคัญ อย่างภาพถ่ายและวิดีโอเทปของผู้ก่อเหตุจี้เครื่องบินกับเจ้าหน้าที่ของซาอุดีอาระเบีย บันทึกการสัมภาษณ์พยาน และบันทึกการสนทนาทางโทรศัพท์ในกลุ่มผู้วางแผน
การปลดเอกสารออกจากประเภทเอกสารลับ จึงดูเหมือนจะยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับการวางแผนในเหตุการณ์ 9/11 ได้ทั้งหมด
เบรตต์ อีเกิลสัน (Brett Eagleson) ลูกชายของบรูซ ผู้ถูกสังหารในการโจมตี กล่าวว่าครอบครัวของเหยื่อทุกคนจะคอยจับตาดูว่าการปลดเอกสารลับนั้นครอบคลุม
“ประธานาธิบดีไบเดนขอให้เราเชื่อมั่นว่า ฝ่ายบริหารจะนำความยุติธรรมมาสู่กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อการร้าย 9/11 และเราหวังว่านี่จะเป็นก้าวย่างที่แท้จริง
“เราจะจับตาดูกระบวนการนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่ากระทรวงยุติธรรมและ FBI ติดตาม ปฏิบัติการโดยสุจริต และช่วยครอบครัวของพวกเราในการเปิดเผยความจริง และแสวงหาความยุติธรรมต่อรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย การทดสอบแรกจะมีขึ้นในวันที่ 9/11 และโลกจะจับตาดู” อีเกิลสันกล่าวในแถลงการณ์ลายลักษณ์อักษร