มีสมุนไพรรอบตัวหลายอย่างที่มาพร้อมสรรพคุณช่วยรักษา ป้องกันโรคและฟื้นฟูอาการเจ็บป่วยหลากหลายชนิด
ที่สำคัญ มีคนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มหันมาพึ่งพายาปฏิชีวนะ (antibiotics ) และการรักษาตำรับธรรมชาติ มากกว่าการกินยาสมัยใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยความเสี่ยงและผลข้างเคียง เพราะเชื่อว่ายาปฏิชีวนะสูตรธรรมชาติมีประสิทธิภาพในการรักษา ป้องกัน และ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการปรับสภาพร่างกายให้สมดุล
และธรรมชาติ 5 ชนิดนี้คือ ยาปฏิชีวนะชั้นดีที่ปลอดผลข้างเคียง
1.น้ำผึ้งท้องถิ่น
น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นยาปฏิชีวนะ เพียงทาที่บาดแผลหรือบริเวณโดนไฟไหม้ น้ำผึ้งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและฟื้นฟูบาดแผลให้หายเร็วยิ่งขึ้น
การใช้น้ำผึ้งท้องถิ่นยังช่วยป้องกันเชื้อโรคหรือโรคประจำฤดูกาลได้ เพราะผึ้งจะใช้ละอองเกสรดอกไม้ในท้องถิ่นผลิตน้ำผึ้ง ซึ่งคนที่แพ้ละอองเกสรดอกก็สามารถกินน้ำผึ้งเพื่อบำรุงร่างกายได้
และหน้าที่ของการเป็นสารให้ความหวานจากธรรมชาติ แค่เติมน้ำผึ้งลงในถ้วยชา เท่านี้ก็เป็นยาบำรุงสุขภาพชั้นเยี่ยมแล้ว
2.กระเทียม
สมุนไพรคู่ครัวชนิดนี้ ใช้ต่อกรกับการติดเชื้อและเชื้อโรคชนิดต่างๆ ได้ เช่น อาการปวดหู ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวม นอกจากนี้กระเทียมยังช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และ ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ ยิ่งกว่านั้นยังอุดมไปด้วยวิตามินซี ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
3.ขิง
ขิงเป็นส่วนผสมสำคัญของยาสมุนไพรจีน นอกจากจะเป็นยาบำรุงกำลังแล้วยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้ ขิงเป็นที่รู้จักกันดีถึงสรรพคุณในการบรรเทาอาการปวดท้อง และเมื่อนำมาชงเป็นชา ก็ช่วยให้หลับสบาย คลายกังวล
4.อิชินาเชีย
ชื่ออาจไม่คุ้น อิชินาเชียหรือชื่อไทยๆ ว่า ต้นดอกโคนสีม่วง ใช้ในการรักษาและการติดเชื้อแบคทีเรีย ไม่เพียงป้องกันอาการ เจ็บป่วยโดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยเร่งให้แผลหายเร็วมากขึ้น การใช้สารสกัดจากอิชินาเชียทาลงไปเฉพาะจุด ช่วยลดการติดเชื้อ และ โรคผื่นคันเรื้อรังรวมถึงโรคสะเก็ดเงิน ที่สำคัญช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนจากผิวไหม้แดดได้เป็นอย่างดี
5.วิตามินซี
วิตามินซีเป็นวิตามินที่ช่วยบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง และยังช่วยต้านทานการติดเชื้อแบคทีเรียและโรคต่างๆ ได้ การทานวิตามินซีเข้าไปเมื่อร่างกายเริ่มเป็นหวัด จะช่วยฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้น ยิ่งกว่านั้น ยังช่วยป้องกันไม่ให้เป็นหวัดเมื่อต้องเดินทางไปนอกสถานที่หรือที่ๆ ไม่คุ้นเคยได้
************************************
(ที่มา : naturalnews.com)