ทันทีที่ โว้ก ฟิลิปปินส์ (Vogue Philippines) เผยโฉมหน้าปกฉบับเดือนเมษายน แรงสั่นสะเทือนก็กระเพื่อมไปทั่วทุกซอกมุมอุตสาหกรรมความงามของโลก คำชื่นชมหลั่งไหลมาจากบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ด้านความงามแทบทุกแพลตฟอร์มของสังคมออนไลน์
Diet Prada เพจแฟชั่นชื่อดังบนอินสตาแกรมเขียนชื่นชมความกล้าหาญของโว้ก ฟิลิปปินส์ มีคนกดไลก์และให้หัวใจรวมกันมากกว่า 430,000 ดวง รวมถึง 1 ดวงจากนาโอมิ แคมป์เบลล์ (Naomi Campbell) แอนน์ เคอร์ทิส (Anne Curtis) นักแสดงลูกครึ่งฟิลิปปินส์-อเมริกัน โพสต์ว่า “ช่างเป็นปกที่งดงาม!” เบรทแมน ร็อค (Bretman Rock) อินฟลูเอนเซอร์ในวงการแฟชั่น คอมเมนต์สั้นๆ ว่า “คารวะ” แฮร์ริส รีด (Harris Reed) ครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนปัจจุบันของนินา ริชชี ให้ความเห็นว่า “สง่างาม” ขณะที่เคท เมนดอนคา (Kate Mendonca) บรรณาธิการไลฟ์สไตล์ของยาฮู (Yahoo!) ใช้คำว่า “นิยามใหม่ของความงาม
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/vogue-720x900.jpeg)
ริ้วรอยบนใบหน้า มือที่หยาบกร้าน และรอยสักเต็มตัวของ อาโป หวัง-อ็อด (Apo Whang-Od) สตรีช่างสักวัย 106 ปี แห่งเผ่าพันธุ์นักรบบุตบุต (Butbut) บนยอดเขาบุสคาลัน (Buscalan) จังหวัดคาลิงกา (Kalinga) ทางตอนเหนือของมะนิลา ถูกนิยามว่าเป็นการตีความความหมายใหม่ของ ‘ความงาม’ ในศตวรรษที่ 21 เป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมความงามของตะวันตกปฏิเสธมาตลอด เห็นได้จากพื้นที่โฆษณาที่เต็มไปด้วยเซรั่มลดริ้วรอย ครีมบำรุงเพื่อผิวขาวกระจ่างใส และสารพัดผลิตภัณฑ์ที่มุ่งแสวงหาความงามอ่อนเยาว์ ขาว ใส และสมบูรณ์แบบที่จะพาหญิงสาวเดินย้อนสวนกาลเวลา ในนิตยสารความงามทุกฉบับ รวมถึงโว้กในประเทศต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่โว้กฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะรอยสักบนเรือนร่างของอาโป หวัง-อ็อด เอง ก็เป็นสิ่งที่ตะวันตกไม่เพียงปฏิเสธ แต่ยังนิยามว่าเป็นสิ่งน่าอายที่ควรต้องประนามและกำจัดให้สิ้น
ย้อนกลับไปในศตวรรษที่แล้ว ก่อนที่อเมริกาเข้ายึดครองฟิลิปปินส์เป็นดินแดนใต้อาณานิคม (1898–1946) ต่อจากสเปน บรรพบุรุษของอาโป หวัง-อ็อด หรือที่ชาวฟิลิปปินส์เรียกว่า มาเรีย อ็อกเกย์ (Maria Oggay) ดำรงวิถีของนักรบที่ประกาศชัยชนะเหนือชนเผ่าอื่นๆ ด้วยการฆ่าตัดหัว (headhunting) ผู้เป็นศัตรู
เลน วิล์คเคน (Lane Wilcken) ช่างสักทางวัฒนธรรม (cultural tattoo practitioner) ชาวอเมริกัน อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างการล่าหัวศัตรูกับการสักในยุคนั้นไว้ในหนังสือ Pilipino Tattoos: Ancient to Modern (2010) ว่า การล่าหัวศัตรูทำหน้าที่รักษาความสมดุลและความยุติธรรมระหว่างชนเผ่าต่างๆ ที่มีความขัดแย้งกัน ‘เครื่องหมายของนักรบ’ จึงเป็นกิจกรรมทางพิธีการที่เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และขั้นตอนมากมาย กว่าจะเสร็จสิ้นการทำสัญลักษณ์เครื่องหมายนักรบบนร่างกาย นักรบผู้นั้นอาจต้องเสียหมูหลายตัวและข้าวหลายกระสอบให้กับมัมบาบาตอก (Mambabatok) ช่างสักที่ใช้เครื่องมือพื้นบ้านอย่างไม้ไผ่และหนามจากต้นส้มโอ ทิ่มแทงลงไปในร่างกาย นำหมึกสีดำจากถ่านหินและน้ำให้ฝังลึกลงไปในผิวหนังจนเกิดเป็นลวดลายตามที่ออกแบบไว้
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/Whang-od_tattooing.jpeg)
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/Ink_road_Apo_Whang-od_14.jpeg)
พิธีการของการสร้างสรรค์เครื่องหมายนักรบต้องดำเนินไปอย่างเป็นขั้นตอน เริ่มจากการสักที่หลังมือและข้อมือทั้งสองข้างเมื่อตัดหัวศัตรูได้หัวแรก และเมื่อได้หัวศัตรูหัวที่ 2 พวกเขาจะได้รับการประดับเรือนร่างด้วย บิกกิง (Bikking) รอยสักที่ลวดลายแผ่จากกลางหน้าอกออกไปเต็มหัวไหล่จนถึงต้นแขนทั้งสองข้าง เป็นสัญลักษณ์ที่ประกาศให้ทุกคนในสังคมเผ่าบุตบุตรับรู้ว่า ตนมิได้เป็นเพียงชายหนุ่มทั่วไป หากคือ ‘นักรบ’ แห่งเผ่าพันธุ์อย่างเต็มตัว ยิ่งตัดหัวศัตรูได้มากเพียงไรพวกเขาก็จะได้รับการประดับร่างกายด้วย ‘เครื่องหมายของนักรบ’ มากเพียงนั้น
นักรบผู้ผ่านประสบการณ์หลากสมรภูมิจึงมีรอยสักเต็มแผ่นหลัง แขน ขา ก้น รวมถึงบนใบหน้า เพราะการสักบนร่างกายผู้ชายไม่ใช่การสร้างลวดลายธรรมดา หากเป็นการประดับเครื่องหมายนักรบ ทุกครั้งที่สัก มัมบาบาตอกต้องสาธยายบทสวดที่เรียกว่า อูลาลิม (Ullalim) เพื่อบอกเล่าและเชิดชูความกล้าหาญของนักรบเป็นพิธีกรรมควบคู่ไปด้วย
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2023/04/20181228_eSmCAUiyilSA2D1.jpg)
ขณะที่รอยสักเต็มตัวบนเรือนร่างหญิงสาวมีความหมายถึงความงามและความอุดมสมบูรณ์แห่งร่างกายเพศเมียและแม่ รวมถึงยังสัมพันธ์กับความเชื่อของชีวิตหลังความตาย ลาร์ส กรูตัก (Lars Krutak) นักมานุษยวิทยาที่ศึกษาด้านการสัก เคยเดินทางไปสัมภาษณ์หญิงอาวุโสแห่งคาลิงกาที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักหลายคน
พวกเธอบอกเล่าเหตุผลของการสักให้กรูตักฟังว่า “เมื่อเสียชีวิตลง พวกเธอจะไม่สามารถนำลูกปัดและทองคำติดตัวไปได้ มีเพียงสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ถูกแต่งแต้มบนร่างกายเท่านั้นที่จะติดตัวไปอยู่กับพวกเธอในชีวิตหลังความตาย”
สังคมของชาวคาลิงกาในช่วงเวลานั้น มองหญิงที่ไม่มีรอยสักบนร่างกายว่าไม่สมบูรณ์แบบ ไม่เป็นที่พึงปรารถนา เฉพาะหญิงสาวที่แต่งงานแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถสักได้ ตำนานเล่าขานของชาวคาลิงกายุคก่อนอาณานิคมยกย่องเรือนร่างสตรีที่เต็มไปด้วยรอยสักว่า เป็นเรือนร่างที่มีเกียรติ อุดมสมบูรณ์ งดงาม และกล้าหาญ
ทัศนคติเช่นนี้ถูกสั่นคลอนและเลือนรางไปในช่วงที่อเมริกาเข้ามายึดกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะฟิลิปปินส์
ปี 1898 หรือ 19 ปีก่อนอาโป หวัง-อ็อดจะถือกำเนิดในครอบครัวมัมบาบาตอก บนยอดเขาบุสคาลัน จังหวัดคาลิงกาทางตอนเหนือของมะนิลา อเมริกาเข้ายึดครองฟิลิปปินส์ต่อจากสเปน หลังจากนั้นไม่นานคณะมิชชันนารีชาวอเมริกันก็ตั้งโรงเรียนขึ้นที่คาลิงกา เปิดโอกาสให้เด็กทั้งชายและหญิงเข้าสู่ระบบโรงเรียน ที่ซึ่งไม่เพียงบ่มเพาะวิทยาการสมัยใหม่ หากยังส่งผ่านแนวคิดความงามแบบตะวันตกที่รังเกียจรอยสัก สร้างทัศนคติใหม่ให้เกิดขึ้นว่าการมีรอยสักโดยเฉพาะบนร่างกายผู้หญิงเป็นเรื่องน่าอาย
แนวคิดเรื่องความงามของตะวันตกซึมเข้าสู่วัฒนธรรมของชาวกาลิงคา จนทำให้เด็กสาวรุ่นใหม่ในยุคนั้นหลายคนปฏิเสธการสร้างสรรค์ลวดลายบนผิวกายของตนเองภายหลังแต่งงานแล้ว และทำให้หญิงสาวบางส่วนที่แต่งงานแล้วและมีรอยสักบนร่างกายต้องสวมใส่เสื้อแขนยาวเมื่อออกนอกบ้านเพื่อปกปิดความน่าอายนั้น
ขณะเดียวกันการตัดหัวศัตรู กิจกรรมแห่งความกล้าหาญของนักรบทุกเผ่าพันธุ์ก็ถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน กระหายเลือด และต้องห้าม อเมริกาประกาศห้ามไม่ให้มีการฆ่าตัดหัวกันในฟิลิปปินส์ตั้งแต่ต้นศตวรรษ 1900 เมื่อการรบเป็นสิ่งต้องห้าม การทำเครื่องหมายของนักรบก็ลดความสำคัญลง
อย่างไรก็ดี เอกสารทางประวัติศาสตร์ยังมีบันทึกการตัดหัวศัตรูของชนเผ่าในคาลิงกาอยู่ อิกิน ซัลวาดอร์ (Ikin Salvador) นักมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ผู้ศึกษาวัฒนธรรมการสักของชาวเขา เคยบันทึกไว้ว่า “ผู้ชายคาลิงกาที่ฆ่าทหารญี่ปุ่นที่เข้ามายึดครองในช่วงทศวรรษ 1940 ได้ จะได้รับการสักที่แขนและหน้าอก” ช่วงเวลานั้นโลกกำลังเผชิญกับสงครามโลกครั้งที่ 2 และญี่ปุ่นเข้ายึดครองฟิลิปปินส์ต่อจากอเมริกา
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2023/04/5458897569_e7bed1920d_k-600x900.jpg)
อาโป หวัง-อ็อด เกิดในช่วงอเมริกายังคงเป็นเจ้าอาณานิคมฟิลิปปินส์ แม้จะเป็นยุคที่รอยสักไม่ได้เชื่อมโยงกับความเป็นนักรบของชายหนุ่มมากเท่าในอดีต และหญิงสาวของชาวคาลิงกาได้สมาทานแนวคิดความงามของตะวันตกผ่านคณะมิชชันนารีไปบ้างแล้ว อาโป หวัง-อ็อด ก็เลือกที่จะเป็นมัมบาบาตอก ตามรอยพ่อของเธอตั้งแต่อายุ 15 เพื่อรักษาและสืบทอดวิธีการสักพื้นบ้านของชาวบุตบุตที่กำหนดว่า ต้องส่งผ่านความรู้และความชำนาญเฉพาะผู้สืบสายเลือดเท่านั้น
ผู้ที่รับการสักจากเธอเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เธอกล่าวถึงความหมายของ ‘บิกกิง’ บนร่างกายผู้ชายที่เธอสักให้ว่า ไม่ได้เป็นเครื่องหมายของนักรบเช่นในอดีต หากเป็นสัญลักษณ์ของ ‘การสืบเผ่าพันธุ์นักรบ’ ในขณะที่หญิงสาวส่วนหนึ่งยังคงมองว่าการสักคือการฝังความงามและสัญลักษณ์แห่งความสมบูรณ์บนเรือนร่างตน แต่ความนิยมในการสักของชาวคาลิงกาก็ค่อยๆ ถูกลดความนิยมลง การเป็นมัมบาบาตอกถูกมองข้ามจากคนรุ่นหลัง เมื่อคนเก่าล้มตายไม่มีคนรุ่นใหม่ก้าวขึ้นมาสืบทอด จนเหลืออาโป หวัง-อ็อด เป็นมัมบาบาตอกที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียว
ความงามของร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยสักของอาโป หวัง-อ็อด และคนเฒ่าคนแก่แห่งคาลิงกา สถิตอยู่บนยอดเขาบุสคาลันอย่างเงียบๆ จนปี 2007 ลาร์ส กรูตัก เดินทางไปคาลิงกาเพื่อเก็บข้อมูลและถ่ายทำสารคดี Tattoo Hunter (ตามล่าหาช่างสัก) ให้กับช่องดิสคัฟเวอรี และได้พบอาโป หวัง-อ็อด ที่ตอนนั้นอยู่ในวัย 90 ปี
สารคดี Tattoo Hunter บอกเล่าเรื่องราวของอาโป หวัง-อ็อดในฐานะมัมบาบาตอกคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่แห่งคาลิงกา ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงต่อวัฒนธรรมการสักของที่นั่น ชาวต่างถิ่นโดยเฉพาะจากซีกโลกตะวันตกจำนวนหนึ่งเริ่มเดินทางไปที่คาลิงกาเพียงเพื่อจะพบและให้เธอสักร่างกายให้ด้วยเครื่องมือโบราณที่เธอชำนาญ จากนักเดินทางกลุ่มเล็ก เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่บรรจุการเดินทางขึ้นเขาบุสคาลัน ไปให้อาโป หวัง-อ็อด ผู้ตกเป็น ‘คุณยายฮิปสเตอร์’ โดยบังเอิญ (accidental hipster grandma) จากการแต่งกายที่มักสวมเสื้อยืดและกางเกงผ้าพื้นเมืองหลวมๆ มีผ้าหรือเครื่องประดับคาดหัว สักร่างกายให้ การสร้างลวดลายบนร่างกายที่ล้มหายไปจากวัฒนธรรมของคาลิงกาค่อยๆ ฟื้นกลับมา ไม่เพียงในหมู่นักท่องเที่ยว แต่คนหนุ่มสาวแห่งคาลิงกาเริ่มนิยมการสักร่างกายอีกครั้งตามความนิยมของชาวต่างถิ่น
เกรซ ปาลิคาส์ (Grace Palicas) หลานสาวของอาโป หวัง-อ็อด ที่ไม่เคยคิดอยากเป็นมัมบาบาตอก ตัดสินใจศึกษาเทคนิคและวิธีการสักแบบพื้นบ้านจากเธอ รวมทั้งชักชวน เอลยาง วิกัน (Elyang Wigan) ลูกพี่ลูกน้องมาเรียนด้วย “เพื่อว่าพอฉันเข้ามหาวิทยาลัยเธอจะได้คอยช่วยอาโปแทนฉันในวันที่มีนักท่องเที่ยวมาเยอะ” เกรซกล่าว
อาโป หวัง-อ็อด ในวันนี้จึงไม่ใช่มัมบาบาตอกคนเดียวของคาลิงกาที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นมัมบาบาตอกที่อาวุโสที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ และแม้ทุกวันนี้ อาโป หวัง-อ็อด ในวัย 106 ปี จะทำการสักเพียงการใช้ไม้ไผ่ตอกบนเข็มจากหนามต้นส้มโอ บนข้อมือนักท่องเที่ยวนับร้อยครั้ง เพื่อสร้างจุด 3 จุด แต่ในแต่ละวันก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวเดินซื้อแพ็กเกจทัวร์เดินเท้าพร้อมไกด์และล่ามพื้นเมืองขึ้นไปพบเธอ ผู้ไม่เข้าใจทั้งภาษาอังกฤษและภาษาตากาลอกบนยอดเขาบุสคาลัน ที่ซึ่งไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวนำรถขึ้นไป
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/pexels-raey-an-fesico-2411453--1169x900.jpg)
ไม่เพียงมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปหาความงามในแบบอาโป หวัง-อ็อด ถึงยอดเขาบุสคาลัน ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว เกรซได้รับเชิญจากสตูดิโอสักในฝรั่งเศสให้เดินทางไปที่นั่นในฐานะช่างสักทางวัฒนธรรม เพื่อบอกเล่าเรื่องราวการเป็นมัมบาบาตอก เป็นครั้งแรกที่ความงดงามบนเรือนร่างของชาวคาลิงกาได้รับการเปิดประตูให้เข้าสู่พื้นที่ชั้นในของอุตสาหกรรมศิลปะและความงามของโลกตะวันตก ก่อนจะได้รับการเปิดประตูให้เข้าสู่ใจกลางเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ ด้วยการขึ้นปกโว้ก สื่ออันดับต้นๆ ของโลกอุตสาหกรรมความงามแห่งศตวรรษที่ 21
การเดินทางจากฐานะมัมบาบาตอก สู่คุณยายฮิปสเตอร์ สู่นางแบบปกโว้ก ที่สั่นสะเทือนโลกแฟชั่น อาโป หวัง-อ็อด ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการยึดมั่นในความงามของสังคมนักรบแห่งชนเผ่าบุตบุต ไม่ให้หวั่นไหวไปตามวิถีความงามและแรงกดดันจากโลกตะวันตก แนวคิดความว่าด้วยความงามของโลกตะวันตกต่างหาก ที่แม้พยายามกลืนกินอารยธรรมความงามอื่นด้วยเครื่องมือและอำนาจทุกอย่างที่มี แต่ก็พ่ายแพ้และต้องยอมศิโรราบให้ความงามที่แท้จริงที่มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตผู้คนรองรับ
การขึ้นปกโว้ก ฟิลิปปินส์ของอาโป หวัง-อ็อต จึงเป็นการเอาคืนทางวัฒนธรรมความงามของชนเผ่าพื้นเมืองต่อเจ้าอาณานิคมโดยไม่ต้องลงแรง
อ้างอิง
- Apo Whang-Od and the Indelible Marks of Filipino Identity
- Whang-Od: The last true tattoo artist
- Return of the headhunters: The Philippine tattoo revival
- Apo Whang-Od is Vogue Philippines’ latest cover star