จากนโยบายปฏิรูประบบสาธารณสุขของรัฐบาลประธานาธิบดีบารัก โอบามา หรือ ‘โอบามาแคร์’ ที่เริ่มใช้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานั้น กำหนดให้ครอบคลุมระบบประกันสุขภาพหลากหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือ การคุมกำเนิด
โอบามาแคร์กำหนดให้บริษัทต้องจ่ายเงินสมทบเป็นค่าหลักประกันสุขภาพให้ลูกจ้าง สร้างความไม่พอใจแก่กลุ่มบริษัทต่างๆ โดยเฉพาะ Hobby Lobby ผู้ค้าปลีกเครื่องเขียนรายใหญ่ และเป็นธุรกิจของครอบครัวชาวคริสต์เคร่งศาสนา ที่ไม่เห็นด้วยกับการคุมกำเนิด
กลุ่ม Hobby Lobby จึงฟ้องร้องต่อศาลว่า การคุมกำเนิดของโอบามาแคร์นั้น มีหลายวิธีที่อาจเข้าข่ายเป็นการทำแท้ง เช่นกินยา ใช้ห่วงคุมกำเนิด ฯลฯ เพราะเป็นการขัดขวางไม่ให้ไข่ที่ได้รับการผสมแล้วฝังตัวในมดลูก ซึ่งตามหลักศาสนา การปฏิสนธิคือกำเนิดชีวิต วิธีนี้จึงเท่ากับเป็นการทำแท้ง
ขณะเดียวกัน ฝั่งสนับสนุนนโยบายการคุมกำเนิด ก็ออกมาโต้แย้งว่า ไม่ว่าคำตัดสินของศาลสูงสุดจะออกมาเช่นไร ล้วนส่งผลถึงสตรีที่ใช้ยา/เครื่องมือคุมกำเนิด ทั้งเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์และเหตุผลทางสุขภาพอื่นๆ
ปี 2011 สถาบัน Guttmacher ที่ทำงานวิจัยด้านสุภาวะทางเพศและการเจริญพันธุ์ของผู้หญิงในสหรัฐอเมริกา ประมาณการว่ามีผู้ใช้ยา/เครื่องมือคุมกำเนิดราว 14 เปอร์เซ็นต์ที่ใช้ยา/เครื่องมือคุมกำเนิดเพื่อประโยชน์อื่นๆ ที่ไม่ใช่เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ หรือ มีประมาณ 1.5 ล้านคนใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพและการรักษาโรคและความเจ็บป่วยอื่นๆ เช่น มะเร็งรังไข่ ท่อรังไข่อักเสบ และ มะเร็งปากมดลูก
และผู้ใช้ยา/เครื่องมือคุมกำเนิดราว 58 เปอร์เซ็นต์ ใช้เพื่อคุมกำเนิดควบคู่กับประโยชน์ด้านอื่นๆ ด้วย เช่น ลดอาการปวดในช่องท้อง ลดอาการปวดประจำเดือน ป้องกันไมเกรน และ ลดผลข้างเคียงต่างๆ จากการมีประจำเดือน รวมถึงการรักษาสิว
อาการที่ผู้หญิงอเมริกันราว 5 ล้านคนเผชิญอยู่อย่าง ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome) ซึ่งเป็นความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อที่พบบ่อยที่สุดในทางนรีเวช เป็นภาวะที่มีฮอร์โมนแอนโดรเจนสูงร่วมกับภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง ภาวะดังกล่าวส่งผลต่างๆ เช่น มีบุตรยาก ผิวหน้ามัน สิวมาก และมีความเสี่ยงเป็น เบาหวาน โรคระบบหลอดเลือดหัวใจและความดันโลหิตสูง ซึ่งผู้หญิงจำนวนไม่น้อยอาการดีขึ้นได้จากการใช้ยา/เครื่องมือคุมกำเนิด
ปี 2012 ผู้ใช้ยา/เครื่องมือคุมกำเนิด 8.5 เปอร์เซ็นต์ ใช้ห่วงอนามัย ทั้งชนิดที่ทำจากทองแดงและพลาสติก ซึ่งถือว่าเป็นวิธีคุมกำเนิดที่ได้ผลอันดับ 3 รองจาก อันดับ 1 การทำหมัน และ อันดับ2 ยาคุมกำเนิดแบบฝัง
ล่าสุดเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ศาลสูงสุดแห่งสหรัฐตัดสินแล้วว่า ระบบประกันสุขภาพที่บริษัทต้องจ่ายเงินสมทบเป็นค่าหลักประกันสุขภาพให้ลูกจ้าง “ไม่ครอบคลุมการคุมกำเนิด”
******************************************************
ที่มา : http://www.whaf.or.th , huffingtonpost.com