‘ภาวะหมดไฟในการทำงาน’ หรือ burnout ไม่ใช่เรื่องใหม่ แถมยังมีบทความให้หาอ่านได้ง่ายในปัจจุบัน ไม่ว่าจะผ่านเว็บไซต์สถาบันทางการแพทย์ งานวิชาการแนวจิตวิทยาหรือปรัชญา รวมถึงคอนเทนต์ออนไลน์อีกมากมาย โดยส่วนมากมักพูดถึงภาวะ burnout ในหมู่คนทำงานแบบกว้างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพใด หรือแม้กระทั่ง burnout ในชีวิตคู่ก็ยังมี
บทความชิ้นนี้จึงขอพาไปดูโลกของคนทำงานอีกมุมหนึ่ง ลงลึกถึงภาวะ burnout ในหมู่คนทำงานเพื่อสังคมและนักเคลื่อนไหว ในฐานะที่องค์ความรู้ส่วนนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนักในประเทศไทย ซึ่งอาจช่วยเยียวยาคนกลุ่มนี้ได้ไม่มากก็น้อย
งานเขียนว่าด้วย burnout ในหมู่นักเคลื่อนไหวทางสังคมเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างน้อยก็ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 (โดยการศึกษา burnout ในวงวิชาการเริ่มต้นในปี 1974) และมีมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน บทความชิ้นนี้ขอเลือกหยิบเนื้อหาโดยสรุปจาก 4 บทความที่น่าสนใจและมักถูกกล่าวถึง คือ
- ‘Staying Fired Up: Antidotes for Activist Burnout’ ปี 1974 โดย เลตตี คอตติน โพเกรบิน (Letty Cottin Pogrebin)
- ‘Burnout in Political Activism: An Existential Perspective’ ปี 1994 โดย อยาลา เอ็ม. ไพนส์ (Ayala M. Pines)
- ‘Overcoming Burnout’ ปี 2006 โดย คริสตินา มาสลัค (Christina Maslach) และ แมร์รี อี. โกเมซ (Marry E. Gomes)
- ‘Burnout in Social Justice and Human Rights Activists: Symptoms, Cuases and Implications’ ปี 2015 โดย เฉอ เว่ยเซีย เฉิน (Cher Weixia Chen) และ พอล ซี. กอร์สกี้ (Paul C. Gorski)
ถึงแม้แต่ละบทความจะศึกษาภาวะ burnout ในกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่มีลักษณะเฉพาะต่างกัน แต่ก็ยังสามารถให้มุมมองร่วมที่น่าสนใจต่อเรื่อง burnout ในหมู่นักเคลื่อนไหวแบบกว้างๆ ได้ดี
รากฐานการศึกษา Burnout: ความคิดของฟรูเดนเบอร์เกอร์และโมเดลของ MBI
ก่อนจะเข้าเรื่อง burnout ในหมู่นักเคลื่อนไหว จำเป็นต้องแวะเกริ่นก่อนว่าอะไรคือ burnout โดยพื้นฐาน ซึ่งจะไม่ขอลงรายละเอียด เพราะมีบทความมากมายที่พูดเรื่องนี้อยู่แล้ว
เป็นที่รู้กันดีว่า burnout ถูกศึกษาครั้งแรกในวงการวิชาการโดยนักจิตวิทยา-จิตวิเคราะห์ชาวเยอรมันที่เข้ามาศึกษาและทำงานในรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นามว่า เฮอร์เบิร์ต ฟรูเดนเบอร์เกอร์ (Herbert Freudenberger) โดยผลงานชิ้นแรกของเขาชื่อว่า ‘Satff Burn-Out’ ตีพิมพ์ในปี 1974 และ ‘The Staff Burn-Out Syndrome in Alternative Institions’ ในปี 1975 ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายกับบทความแรก
การศึกษาของฟรูเดนเบอร์เกอร์เริ่มจากการสังเกตพฤติกรรมของอาสาสมัครในคลินิกรักษาคนไข้ติดยาเสพติดในนิวยอร์ก โดยคนเหล่านี้มีภาวะสูญเสียแรงกายแรงใจในการทำงาน ผนวกรวมกับอาการทางกายและจิตใจอื่นๆ เช่น เหนื่อยล้า ปวดหัว นอนไม่หลับ หายใจไม่สะดวก เศร้า เฉยชา และถอยตัวออกห่างจากงาน เป็นต้น
เพื่อจะนิยามภาวะของคนเหล่านี้ฟรูเดนเบอร์เกอร์เลือกใช้คำว่า burnout ซึ่ง ก่อนหน้านั้นถูกใช้อย่างไม่เป็นทางการเพื่อเรียกผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้ยาเสพติดมาอย่างยาวนาน
หากจะกล่าวโดยสรุป ความน่าสนใจในงานศึกษาของฟรูเดนเบอร์เกอร์ คือการที่เขาเสนอว่า burnout เป็นภาวะที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับจิตใจของคนทำงาน โดยคนที่ burnout คือคนที่สูญเสียอะไรบางอย่างที่เคยสำคัญมากๆ ต่อเขาไป จากการทำงานที่ล้มเหลว ผิดหวัง หรือจำเจ ฟรูเดนเบอร์เกอร์ชี้ว่า สิ่งที่เคยสำคัญต่อคนทำงานกลุ่มนี้ คือสิ่งที่เคยสร้างแรงจูงใจให้พวกเขาเข้ามาทำงานนี้ตั้งแต่แรก โดยเขาใช้คำว่า ‘loss of an ideal’
สำหรับฟรูเดนเบอร์เกอร์ คำว่า burnout คือภาวะที่มักเกิดในหมู่คนทำงานที่ทุ่มแรงกายแรงใจให้กับงานอย่างหนัก ชนิดที่ตัวตนของเขาอยู่ในงานที่เขาทำ จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดความผิดหวังหรือล้มเหลวบางอย่างขึ้น ซึ่งไม่เพียงทำลายความเชื่อมั่นในคุณค่าของงานนั้น แต่ส่วนหนึ่งยังทำลายตัวตนของคนคนนั้นเองด้วย
ฟรูเดนเบอร์เกอร์ยังเสนอเพิ่มเติมอีกว่า burnout มักจะเกิดในหมู่คนที่ทำงานช่วยเหลือผู้อื่นที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก มากจนในความเป็นจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะช่วยพวกเขาได้จริงๆ ซึ่งก็ไม่แปลกว่าทำไมการศึกษา burnout ในช่วงแรกๆ มักศึกษาในกลุ่มอาชีพที่ช่วยเหลือผู้อื่น เช่น หมอ พยาบาล ครู และกลุ่มนักเคลื่อนไหวทางสังคม
แม้อิทธิพลของความคิดของฟรูเดนเบอร์เกอร์ ยังคงมีอยู่ในวงการการศึกษา burnout ในปัจจุบัน แต่ไม่อาจเทียบเท่าอิทธิพลของสำนัก MBI (Maslach Burnout Inventory) นำโดยนักจิตวิทยา คริสตินาที่ได้ออกแบบคำนิยามของ burnout ได้อย่างเป็นระบบกว่างานของฟรูเดนเบอร์เกอร์รวมถึงเป็นผู้วางรากฐานการประเมินภาวะ burnout ผ่านแบบสอบถาม
ตามคำนิยามของสำนัก MBI คำว่า burnout คือ psychological syndrome ที่มี 3 องค์ประกอบหลัก คือ 1) อาการเหนื่อยล้าอย่างหนัก (ทั้งทางกายและอารมณ์) 2) การมีคติเชิงลบต่อเรื่องงาน (cynicism) และการเริ่มเอาตัว (กาย-ใจ) ออกห่างจากงาน และ 3) ความรู้สึกว่าตนขาดประสิทธิภาพในการทำงาน ขาดความสำเร็จ หรือเริ่มประเมินตัวเองต่ำลง
คำนิยาม burnout แบบนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่เว็บไซต์ของโรงพยาบาลต่างๆ และรวมถึงองค์การอนามัยโลก (WHO)
สำนัก MBI มักเน้นย้ำว่า เราต้องไม่มอง burnout เป็นเพียงเรื่องความเหนื่อยล้า ไม่อย่างนั้น burnout จะไม่ต่างอะไรกับภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง (chronic fatique)
เราจำเป็นต้องมอง burnout ให้ต่างออกไป เพราะนี่คือภาวะที่กำลังส่งสัญญาณว่า มีอะไรบางอย่างผิดปกติในที่ทำงานของคนคนหนึ่งที่กำลังกระทบร่างกาย จิตใจ และตัวตนของเขา
การที่ MBI ให้ความสำคัญต่อมุมมองเรื่องจิตใจและตัวตน แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลความคิดของฟรูเดนเบอร์เกอร์ก็ยังคงหลงเหลืออยู่
แม่น้ำ 6 สายสู่ Burnout: ข้อเสนอของมาสลัคและโกเมซ
บทความชิ้นแรกที่จะหยิบยกมาพิจารณาคือ ผลงานของมาสลัคและโกเมซ (2006) ซึ่งเป็นบทความที่พูดถึงเรื่อง burnout ในหมู่นักเคลื่อนไหวทางสังคมไว้อย่างกว้าง เน้นนำเสนอโครงสร้าง มากกว่ากรณีศึกษาแบบลงลึก และมักได้รับการพูดถึงในแวดวงวิชาการ
ในงานชิ้นนี้ผู้เขียนเสนอว่า นอกจากกลุ่มนักเคลื่อนไหวจะมีลักษณะที่ถือว่าเป็นลักษณะทั่วไปของกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อ burnout เช่น ความทุ่มเทและความเสียสละ พวกเขาจะมีลักษณะพิเศษที่ทำให้เสี่ยงต่อ burnout อย่างมากคือ การที่พวกเขาต้องสร้างและรักษาจิตสำนึกต่อเรื่องปัญหาทางสังคมที่ใหญ่โตและซับซ้อน ต้องแบกรับจิตสำนึกและความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นๆ ในสังคมไม่จำเป็นต้องพูดถึงอยู่ตลอดเวลา
ในส่วนของสาเหตุ ผู้เขียนเสนอว่า burnout ในหมู่นักเคลื่อนไหวสามารถเกิดได้จากความไม่สมดุล 6 ด้าน กล่าวคือ
- ความไม่สมดุลในภาระงาน: ภาระงานมากเกินกว่าที่คนทำงานจะรับไหว และการทำงานชนิดที่ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหนมันก็ยังไม่พอ
- ความไม่สมดุลในการควบคุม: ความรับผิดชอบที่สูงกว่าอำนาจการตัดสินใจของตนเอง การมีอำนาจหรืออิสระในการตัดสินใจในการทำงานที่น้อยกว่าที่ควร
- ความไม่สมดุลในเรื่องรางวัล: งานที่ทุ่มเททำไป ไม่นำมาซึ่งการยอมรับและให้คุณค่า หรือถูกเมินเฉยในความสำเร็จ
- ความไม่สมดุลในชุมชนคนทำงาน: การที่คนทำงานไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือสนับสนุนจากที่ทำงานหรือชุมชนมากพอ รวมถึงความสัมพันธ์เป็นพิษระหว่างเพื่อนร่วมงาน
- ความไม่สมดุลในความเป็นธรรม (fairness): การต้องเผชิญกับความไม่แฟร์ต่างๆ ในที่ทำงาน
- ความไม่สมดุลในเรื่องคุณค่า: สิ่งที่ได้ทำหรือต้องทำ ไม่ตรงกับสิ่งที่ฝันเอาไว้
และแน่นอนว่า ทางออกที่ผู้เขียนเสนอก็คือ การที่นักเคลื่อนไหวทั้งในฐานะปัจเจกและองค์กร/ชุมชน ควรพิจารณาและแก้ไขปัญหาเหล่านี้
งานของมาสลัคและโกเมซถือว่าเป็นงานประเภทที่ไม่เซ็กซี่เท่าไรนัก เพราะการอธิบายอย่างกว้างเช่นนี้ย่อมต้องมีส่วนที่ถูกแน่ๆ และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้งานชิ้นนี้ยังคงถูกกล่าวถึงอยู่เสมอ
Burnout และธรรมชาติของการเคลื่อนไหวทางสังคม-การเมือง: ข้อเสนอของโพเกรบิน
ต่างจากคนอื่นๆ โพเกรบินไม่ใช่นักวิจัยเรื่อง burnout แต่เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่ได้เขียนถึง burnout จากประสบการณ์ตัวเองและคนรอบข้าง จึงทำให้ภาษาที่เธอใช้เข้าถึงคนที่ทำงานการเมืองได้อย่างดี
ในงานชิ้นนี้โพเกรบินเสนอว่า burnout มีสาเหตุจาก 3 เรื่องหลัก กล่าวคือ
- ปฏิกิริยาโต้กลับ (backlash): การตอบโต้ของฝ่ายผู้มีอำนาจต่อเรื่องที่นักเคลื่อนไหวกำลังทำ ซึ่งผู้เขียนเสนอว่า นักเคลื่อนไหวต้องมองว่านี่คือเรื่องธรรมดา มากกว่านั้น การที่ผู้มีอำนาจโต้กลับ ย่อมหมายความว่าสิ่งที่นักเคลื่อนไหวกำลังทำมีผลกระทบและมีความหมายจริงๆ
- การถดถอย (backsliding): แนวโน้มที่ความก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม กฎหมาย เศรษฐกิจ มักจะคืบไปข้างหน้า 2 ก้าว แล้วถอยหลังกลับ 2 ก้าว นักเคลื่อนไหวมากมายท้อถอยเพราะชัยชนะของพวกเขามักไม่ยั่งยืน ผู้เขียนเสนอว่านักเคลื่อนไหวต้องมองว่า ความก้าวหน้าและการถดถอยคือ ‘แฝดสยามของการเมือง’ (‘the Siamese twins of dialectical politics’)
- การนินทาลับหลัง (backbitting): “burnout คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคนดีๆ ถูกพูดถึงแบบเสียๆ หายๆ ลับหลัง” การนินทาว่าร้ายถึงนักเคลื่อนไหวโดยนักเคลื่อนไหวด้วยกันเอง และการหลีกหนีการถกเถียงแบบตรงไปตรงมา
ผู้เขียนยังเสริมอีกว่า นักเคลื่อนไหวมักพยายามลดอำนาจการควบคุมของผู้มีอำนาจในสังคม แต่ระหว่างพวกเขาเองนั้น กลับมีโครงสร้างอำนาจบางอย่างที่อนุญาตให้คนบางคนหรือบางกลุ่ม ใช้อำนาจปกครองและทำร้ายเพื่อนร่วมทางด้วยกันเอง
นอกจากข้อเสนอที่อยากให้นักเคลื่อนไหวมอง 2 เรื่องแรกเป็นเรื่องปกติของการเมืองและพยายามไม่ท้อกับมันมากจนเกินไป และการเสนอให้กำจัดปัญหาในเรื่องสุดท้าย ผู้เขียนยังได้บอกอีกว่า ยังมีปัญหาปลีกย่อยอีกมากมายที่ตัวเขาก็ไม่รู้ว่าจะแก้ยังไง เช่น จะปฏิเสธคนยังไง หรือจะหาเวลาที่ไหนมาทำงานเคลื่อนไหวให้ได้ดี พร้อมปิดท้ายว่า “ใครรู้คำตอบก็เขียนส่งมานะ”
Burnout ความหมายของชีวิตและอุดมการณ์: ข้อเสนอของไพนส์
อยาลา ไพนส์ (1945-2012) เป็นนักจิตวิทยาทางสังคมที่คร่ำหวอดในวงการการศึกษา burnout มานาน และมีงานเขียนว่าด้วย burnout (ทั้งเดี่ยวและร่วมเขียน) มากมาย ซึ่งในงานเหล่านี้ ไพนส์ก็มีหลายส่วนที่คิดเหมือนฟรูเดนเบอร์เกอร์และ มาสลัค
ความน่าสนใจในงานชิ้นนี้ของไพนส์คือ เธอได้เสนอไว้แบบไม่อ้อมค้อมว่า burnout ในหมู่นักเคลื่อนไหวโดยพื้นฐานที่สุดนั้น เกิดจากการที่นักเคลื่อนไหวเริ่มไม่สามารถมองเห็นความหมายหรือคุณค่าในสิ่งที่พวกเขากำลังทำ
“Burnout is cased by failure in the existential ‘quest for meaning’” หรือ burnout จากความล้มเหลวในการตามหาความหมายของชีวิต
แม้ไพนส์จะให้ความสำคัญต่อเรื่องการช่วยเหลือดูแลกันและกันของคนในชุมชนนักเคลื่อนไหว แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าในงานชิ้นนี้คือ ข้อเสนอของไพนส์ที่ว่า การสูญเสียคุณค่าหรือความหมายชีวิตของนักเคลื่อนไหว มีสาเหตุมาจากกรอบความคิด ทฤษฎี หรืออุดมการณ์ กล่าวคือ
- ชุดอุดมการณ์ที่มีลักษณะสุดโต่งเกินไป: ชุดอุดมการณ์แบบนี้มักสร้างเป้าหมายที่เป็นไปได้ยากในชีวิตจริง หรืออย่างน้อยก็ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ทำให้การเดินตามฝันนำไปสู่ภาวะที่เริ่มสูญเสียความสำคัญหรือคุณค่าของสิ่งที่นักเคลื่อนไหวกำลังทำ
- ชุดอุดมการณ์ที่มีลักษณะเป็นนามธรรมเกินไป: ชุดอุดมการณ์แบบนี้มักยากที่จะถูกแปรเป็นขั้นตอนการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ทำให้นักเคลื่อนไหวไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้างเพื่อที่จะไปถึงจุดหมาย
และแน่นอนว่า ข้อเสนอของไพนส์ก็คือการปรับใช้อุดมการณ์อย่างเป็นรูปธรรมและไม่สุดโต่งจนเกินไป
ไพนส์ปิดท้ายว่า นักเคลื่อนไหวที่ตระหนักว่างานที่ตัวเองทำมีความหมาย ย่อมไม่ burnout ถึงแม้งานจะเครียดและยากก็ตาม
Burnout และวัฒนธรรมเสียสละของนักเคลื่อนไหว: ข้อเสนอของเฉินและกอร์สกี้
ในบทความชิ้นนี้ของเฉินและกอร์สกี้ และอีกหลายบทความของกอร์สกี้ หนึ่งในข้อเสนอที่น่าสนใจ (แม้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีนักเขียนหลายคนเคยกล่าวถึงไว้แล้ว แต่กอร์สกี้ในฐานะนักวิชาการที่ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับ burnout ในหมู่นักเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลาปัจจุบันยังคงเน้นย้ำเสมอ) ก็คือ วัฒนธรรมการเสียสละ-ไม่เห็นแก่ตัว (self-sacrifice / selflessness) ของนักเคลื่อนไหวมีส่วนอย่างมากในการนำไปสู่ burnout
วัฒนธรรมแบบนี้ปลูกฝังให้นักเคลื่อนไหวปฏิบัติต่อเรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องรอง การพูดคุยเรื่องปัญหาสุขภาพส่วนตัวจึงเป็นเรื่องที่มักไม่ถูกนำเข้ามาสู่บทสนทนาแบบจริงจัง ถึงขนาดที่ว่าเมื่อมีคนพยายามจะพูดเรื่องสุขภาพส่วนตัว ก็มักถูกผลักไปเป็นชายขอบ หรือไม่ก็ถูกมองว่ากำลังโดนวัฒนธรรมแบบปัจเจกนิยมครอบงำ
เฉินและกอร์สกี้ เสนอว่า สิ่งนี้เป็นรากฐานที่นำไปสู่วัฒนธรรมแบบนิยมความทุกข์ ความเหนื่อยล้า และวัฒนธรรมแบบที่รู้สึกผิดเมื่อตัวเองไม่ทุ่มเทจนเหนื่อยล้า และหลายคนได้เสนอว่า สิ่งนี้ได้กลายเป็นมาตรวัดคุณภาพหรือคุณค่าในหมู่นักเคลื่อนไหวหลายองค์กรไปเสียแล้ว คือ ยิ่งเจ็บยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมีตัวตน มีสถานะ และเมื่อเห็นคนอื่นไม่เจ็บเท่าตนก็มักไม่ชอบใจ โดยจะพูดออกมาตรงๆ หรือไม่ก็ตาม
วัฒนธรรมเช่นนี้ยังคงเป็นความท้าทายในหมู่นักเคลื่อนไหวอีกมากในโลก เพราะต้องอาศัยความกล้าที่จะวิจารณ์และเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราอาจคุ้นชินมานานจนลืมที่จะตั้งคำถาม
ทางออกจากวังวน?
สุดท้ายนี้ ขอเชิญชวนให้ผู้อ่าน โดยเฉพาะนักเคลื่อนไหว ได้พิจารณาและวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนอที่ได้นำเสนอไปข้างต้นด้วยตัวเอง อันไหนฟังดูเข้าท่า ไม่เข้าท่า ตัวผู้อ่านและกลุ่มการเคลื่อนไหวของท่านเองย่อมตัดสินได้ดีกว่า
บทความชิ้นนี้เพียงอยากนำเสนอว่า burnout ในหมู่นักเคลื่อนไหว อาจเป็นปัญหาที่ซับซ้อนกว่าที่คิด และคงไม่ง่ายที่จะด่วนสรุปว่ากรอบคิดแบบไหนถูกที่สุด หรือวิธีการแก้ไขแบบไหนดีที่สุด หากจะพอสรุปอะไรบ้าง ก็คงมีเพียงว่า 1) นักเคลื่อนไหวจำเป็นต้องสังเกตพฤติกรรมตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้น และพูดคุยกันให้มากขึ้นเพื่อหาทางออกร่วมกัน 2) burnout ไม่ใช่เรื่องปัจเจกเสียทีเดียว อย่างที่ได้นำเสนอมาแล้วข้างต้นว่า อาจมีสาเหตุเชิงองค์กร/โครงสร้างมากมายที่อาจนำมาสู่ burnout ได้ การแก้ปัญหาที่ตัวปัจเจกย่อมไม่ใช่วิธีการที่ยั่งยืนและถูกจุด
ทั้งนี้ หวังว่าบทความชิ้นนี้จะสามารถกระตุ้นให้ผู้อ่านค้นคว้าต่อยอดเรื่อง burnout ในหมู่นักเคลื่อนไหวมากขึ้น เพราะยังมีบทความและหนังสืออีกมากที่เขียนถึงเรื่องนี้ได้อย่างน่าสนใจและรอคอยที่จะถูกนำเข้ามาสู่โลกภาษาไทย
อ้างอิง:
- Chen, C. W., and Gorski, P. C. (2015) ‘Burnout in social justice and human rights activists: Symptoms, causes and implications’, Journal of Human Rights Practice, 7(3), pp. 366–390.
- Freudenberger, H. J. (1974) ‘Staff Burnout’, Journal of Social Issues, 30(1), pp. 159–165.
- Freudenberger, H. J. (1974) ‘THE STAFF BURN-OUT SYNDROME IN ALTERNATIVE INSTITUTIONS’, Psychotherapy: Theory, Research and Practice, 12(1), pp. 73–82.
- Maslach, C., and Gomes, M. E. (2006) ‘Overcoming burnout’, in R. M. MacNair (Ed.) Working for peace: A handbook of practical psychology. Atascadero, CA: Impact Publisher, pp. 43–49.
- Pines, A. M. (1994) ‘BURNOUT IN POLITICAL ACTIVISM: AN EXISTENTIAL PERSPECTIVE’, Journal of Health and Human Resources Administration, 16(4), pp. 381–394. Pogrebin, L. (1994) ‘Staying Fired Up: Antidotes for Activist Burnout’, Tikkun 9(4), pp. 35–80.