เนื่องจากปริมาณแคลอรีที่ชาวอเมริกันได้รับ 1 ใน 3 มาจากอาหารที่รับประทานนอกบ้าน การออกข้อกำหนดใหม่โดย คณะกรรมการอาหารและยา (Food and Drug Administration: FDA) ให้ร้านอาหารเชนดังที่มีตั้งแต่ 20 สาขาขึ้นไป ระบุปริมาณแคลอรีของอาหารทุกอย่างที่ปรากฏในเมนูร้าน จึงถือเป็นข่าวดีสำหรับอเมริกันชนที่ต้องพึ่งพาอาหารนอกบ้านเป็นหลัก
นอกจากจะบังคับใช้ในเมนูของร้านฟาสต์ฟู้ดแบรนด์ดังต่างๆ แล้ว ยังรวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารที่วางจำหน่ายในร้านค้าปลีกที่มีสาขาตั้งแต่ 20 สาขาขึ้นไป อาทิ ร้านสะดวกซื้อ ร้านเบเกอรี ซุ้มจำหน่ายป๊อปคอร์นและเครื่องดื่มหน้าโรงภาพยนตร์ ไปจนถึงอาหารปรุงสำเร็จที่วางจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต โดยข้อกำหนดดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในปี 2015
มาร์โก วูแทน จากศูนย์ Center for Science in the Public Interest (CSPI) องค์กรอิสระที่ติดตามด้านนโยบายอาหารและการคุ้มครองผู้บริโภคในกรุงวอชิงตัน ดีซี เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่เรียกร้องเรื่องนี้มานับสิบปี จากสถิติระบุว่า ทุกๆ ดอลลาร์ที่เป็นค่าใช้จ่ายด้านอาหารของชาวอเมริกัน อยู่ในมือร้านอาหารนอกบ้านราว 50 เซนต์
เครือข่ายร้านพิซซาอเมริกัน (American Pizza Community) เห็นต่างออกไป โดยให้เหตุผลว่า การระบุปริมาณแคลอรีในพิซซาแต่ละหน้าสามารถทำได้ ส่วนที่อาจมีปัญหาคือท็อปปิงแต่ละอย่าง หากผู้บริโภคเลือกสั่งผสมกันหลายๆ อย่าง จะยากในการระบุปริมาณแคลอรีที่ชัดเจน ฉะนั้น พวกเขาจึงเลือกที่จะให้ข้อมูลแคลอรีของพิซซา 1 ชิ้นในแต่ละหน้าเป็นหลัก
ซารา บลีช ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากวิทยาลัยสาธารณสุขจอห์น ฮอพกิน บลูกเบิร์ก (Johns Hopkins Bloomberg School of Public Health) กล่าวว่า งานศึกษาหลายชิ้นให้ข้อมูลว่า การระบุปริมาณแคลอรีในเมนู อาจยังไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
บลีซกล่าวถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งของวิทยาลัยซึ่งระบุว่า แม้จะมีตัวเลขปริมาณแคลอรีระบุอยู่บนบอร์ดเมนูในร้าน แต่มีลูกค้าเพียงร้อยละ 30 เท่านั้นที่สังเกตเห็นมัน นอกจากนี้ เธอยังชี้ให้เห็นงานวิจัยอีกชิ้นที่เก็บข้อมูลเมนูต่างๆ ในร้านอาหารเชนดังระหว่างปี 2013 พบว่า เมนูใหม่ของทางร้านราว 60 ชนิด มีปริมาณแคลอรีต่ำกว่าอาหารที่ปรากฏอยู่บนเมนูเดิม
สำหรับผู้ที่เอาใจใส่เรื่องอาหารการกิน การได้มีโอกาสเห็นตัวเลขปริมาณแคลอรีก่อนตัดสินใจสั่งอาหารรับประทานถือเป็นตัวช่วยที่ดี อาทิ ข้าวพองอัดแท่ง ‘Rice Krispies bars’ ของร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ที่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นอาหารแคลอรีต่ำ แต่ความจริงมีแคลอรีเกิน 100 แคลอรี ซึ่งพอๆ กับเมนูกาแฟหวานๆ ของทางร้าน ฉะนั้น ใครที่ตาไวสังเกตเห็นตัวเลขเหล่านี้ อาจต้องใช้เวลาตัดสินใจสักนิดก่อนสั่งพวกมันมาร่วมโต๊ะ
สมาคมร้านอาหารนานาชาติ (National Restaurant Association) ออกมาสนับสนุนข้อกำหนดของ FDA ในครั้งนี้ เพราะเชื่อว่าจะเป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกซื้ออาหารสำหรับผู้บริโภคทั่วไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา: npr.org
fooducate.com