ความรักนับเป็นเรื่องดี หากบางทีความรักอาจกลับกลายเป็นเงื่อนไขสร้างความเกลียดชัง นำมาสู่การทำร้ายทำลายกันได้อย่างง่ายดาย
ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย การปลุกกระแสรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ นับเป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการไล่ล่า มุ่งเอาชีวิตผู้คนที่คิดต่าง กระทั่งผลักไสให้เป็นศัตรูคู่อาฆาต
หากย้อนมองในรอบ 5 ทศวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่เหตุการณ์นองเลือดเดือนตุลา จะพบกับความน่าสลดระคนสยดสยองที่คนไทยต้องห้ำหั่นกันเองเรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน เพียงเพราะความรัก ความชัง และวาทกรรมโกรธเกลียด
การเปิดโอกาสให้ผู้คนได้แสดงความคิดความเห็นอย่างอิสระโดยไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดพื้นที่แห่งการพูดคุยถกเถียงเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน ทว่า
การปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น ทั้งด้วยการใช้กฎหมายและการใช้กำลัง กลับยิ่งปิดโอกาสของการพูดคุยอย่างมีอารยะ
ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2024/02/1-edit-900x900.jpg)
ตลอดช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ไปจนถึง 6 ตุลาคม 2519 สัญญาณการใช้ความรุนแรงทางการเมืองปรากฏอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายอนุรักษนิยมเริ่มใช้ยุทธการ ‘ขวาพิฆาตซ้าย’ มีการจัดตั้งกลุ่มกระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้าน ผ่านการปลุกระดมของสถานีวิทยุยานเกราะและหนังสือพิมพ์ดาวสยาม วาทกรรม “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” ของพระกิตติวุฑโฒ ถูกนำมาใช้ขยายผล ยุยงปลุกปั่น เกิดการลอบสังหารผู้นำกรรมกรและแรงงาน รวมถึง ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน เลขาธิการพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย ถูกยิงเสียชีวิต จนในที่สุดความรุนแรงเริ่มบานปลาย นำไปสู่การล้อมปราบนักศึกษาและผู้ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์วันที่ 6 ตุลาคม 2519
เสียสัตย์เพื่อชาติ
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2024/02/2-900x900.jpg)
ปี 2532 ไทยมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ภายใต้การนำของรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ทว่าไม่นานก็จบลงด้วยการรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) อ้างเหตุผลว่า มีการทุจริตแบบบุฟเฟต์คาบิเน็ต เป็นเผด็จการรัฐสภา และมีการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อมามีการสืบทอดอำนาจ โดยพลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบก และรองหัวหน้า รสช. เคยให้คำมั่นมาตลอดว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองต่อ แต่หลังเลือกตั้งปี 2535 กลับออกมาแถลงว่าจำเป็นต้อง “เสียสัตย์เพื่อชาติ” เพื่อรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนนำไปสู่การชุมนุมประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย เกิดการปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างเด็ดขาดในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535
ข้ออ้างเรื่องความรักชาติ รักสถาบัน นำมาสู่จุดจบของพลเอกสุจินดาที่ต้องออกจากตำแหน่งไปในที่สุด ท่ามกลางความสูญเสียของประชาชน
กู้ชาติ
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2024/02/3-900x900.jpg)
ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด โดยรัฐบาลแรกที่ได้รับการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในปี 2544 ก่อนจะได้รับคะแนนเสียงท่วมท้นให้เป็นรัฐบาลสมัยที่ 2 ในปี 2548
ทว่าไม่นานหลังจากนั้น กระแสความรักชาติก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง เกิดเป็นขบวนการต่อต้านรัฐบาลทักษิณภายใต้การนำของ สนธิ ลิ้มทองกุล มีการกล่าวหาว่ารัฐบาลทุจริตคอร์รัปชัน ขายชาติ ขายแผ่นดิน หมิ่นพระบรมเดชานุภาพจากกรณีทำบุญวัดพระแก้ว จนนำมาสู่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ ‘ม็อบกู้ชาติ’ ภายใต้คำขวัญ ‘เราจะสู้เพื่อในหลวง’ เรียกร้องให้กองทัพที่กลับเข้ากรมกองไปหลัง 2535 ออกมาทำรัฐประหาร
จนในที่สุดคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำโดย พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เข้ายึดอำนาจการปกครองในวันที่ 19 กันยายน 2549 และจัดตั้งรัฐบาลขิงแก่ ชุด พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ทำให้ระบอบประชาธิปไตยตกอยู่ในภาวะสุญญากาศอีกครั้งระหว่างรอการร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งครั้งใหม่
ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2549 ยืดเยื้อต่อเนื่อง แม้พรรคไทยรักไทยซึ่งถูกรัฐประหารและยุบพรรคไป แต่สามารถกลับมาชนะการเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชาชนได้อีกครั้งในปี 2550 ทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาเคลื่อนไหวต่อเนื่องยาวนาน นำไปสู่การยึดทำเนียบรัฐบาล สนามบินสุวรรณภูมิ กระทั่ง สมัคร สุนทรเวชนายกรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชาชน ต้องหลุดจากตำแหน่งจากการเป็นพิธีกรรายการทีวี ‘ชิมไปบ่นไป’ และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน แต่ไม่สามารถเข้าทำเนียบได้เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคฝ่ายค้านฉวยจังหวะรวบรวมเสียงในสภาเพื่อส่งให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2024/02/4-900x900.jpg)
ผลพวงจากการโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ทำให้มวลชนคนเสื้อแดงเกิดความไม่พอใจและออกมาชุมนุมทวงคืนประชาธิปไตย ในนามกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่ก่อนหน้านี้เคยเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหาร ปี 2549 และต่อมาใช้ชื่อว่าแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
การต่อสู้ระหว่างฝ่ายเสื้อแดงกับฝ่ายเสื้อเหลืองและกองทัพด้วยแนวคิดและอุดมการณ์ที่ต่างกัน นำมาสู่การปะทะหลายครั้งหลายหน มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บตลอดการชุมนุม ช่วงหนึ่งของความขัดแย้งนี้ คนในวงการบันเทิงจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมในการเติมเชื้อไฟหล่อเลี้ยงวาทกรรมแห่งความเกลียดชังด้วยเช่นกัน
ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานประกาศผลรางวัลนาฏราช ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2553 จัดโดยสมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ 16 พฤษภาคม 2553 เมื่อ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ขึ้นกล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า “ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ…”
ผังล้มเจ้า
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2024/02/5-900x900.jpg)
การชุมนุมของมวลชนคนเสื้อแดงเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ แต่ข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่เป็นผล รัฐบาลยังคงเดินหน้าปราบปรามผู้เห็นต่างต่อไป พร้อมจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีการกล่าวหากลุ่มผู้ชุมนุมว่าไม่จงรักภักดี ล้มล้างสถาบัน ผ่าน ‘ผังล้มเจ้า’ ที่ฝ่ายกองทัพหยิบยกมาเพื่อเป็นข้ออ้างในการตั้งข้อกล่าวหา สร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามผู้ชุมนุม จนนำไปสู่เหตุการณ์กระชับพื้นที่ ล้อมปราบคนเสื้อแดงด้วยอาวุธสงครามใจกลางกรุงเทพฯ ในเดือนพฤษภาคม 2553 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 99 คน และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
Big Cleaning Day
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2024/02/6-900x900.jpg)
กิจกรรม ‘Big Cleaning Day’ เป็นปฏิกิริยาการแสดงออกทางการเมืองของคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ที่ออกมาทำความสะอาดพื้นที่การชุมนุมภายหลังการล้อมปราบคนเสื้อแดงเสร็จสิ้นลง เป็นการแสดงออกของฝ่ายขวาผ่านวาทกรรมตีตราว่าคนเสื้อแดง ‘เผาบ้านเผาเมือง’ สร้างความเสียหายให้กับแผ่นดินจนต้องชำระล้างบ้านเมืองให้สะอาด โดยเฉพาะคราบเลือดและกองกระสุน พร้อมๆ กับเป็นการทำลายหลักฐานไปในตัว ซึ่งกิจกรรมนี้ได้รับการตอบรับจากคนกรุง รวมไปถึงดารา นักร้อง นักแสดงอย่างล้นหลาม
หนักแผ่นดิน
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2024/02/7-900x900.jpg)
การเลือกตั้งทั่วไป ปี 2554 พรรคเพื่อไทย นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย เช่นเดียวกับพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน จนกระทั่งเมื่อรัฐบาลเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แบบสุดซอยที่ครอบคลุมไปถึงนักการเมือง เป็นเหตุให้ขบวนการฝ่ายขวาที่สูญเสียอำนาจออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้ม ‘ระบอบทักษิณ’ และกดดันให้ยิ่งลักษณ์ลาออก ไปจนถึงเรียกร้องให้กองทัพออกมาปกป้องสถาบัน และให้การปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
การชุมนุมระลอกใหม่ของมวลชนฝ่ายอนุรักษนิยม นำโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ได้รับแรงสนับสนุนจากหลายฝ่าย ทั้งชนชั้นนำ ชนชั้นกลางในเมือง รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ โดยมี ‘นกหวีด’ เป็นสัญลักษณ์ในการส่งเสียงประท้วง
การเคลื่อนไหวของ กปปส. ได้หยิบยกเพลงปลุกใจ ‘หนักแผ่นดิน’ ที่เคยถูกใช้ในช่วงหลังสงครามเย็นมาใช้ในการเดินขบวน นับเป็นการผลิตซ้ำวาทกรรมของขบวนการฝ่ายขวาในสมัย 6 ตุลา เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อฝ่ายตรงข้าม และผลที่ตามมาคือ เกิดการปะทะ การสูญเสีย และมีผู้บาดเจ็บล้มตายตลอดการชุมนุม
ท้ายที่สุด คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงเข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ด้วยข้ออ้างเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมือง และครองอำนาจยาวนานถึง 9 ปีเต็ม
ปฏิรูปเท่ากับล้มล้าง
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2024/02/8-900x900.jpg)
ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหารที่ไม่มีทีท่าว่าจะทำตามสัญญา ส่งผลให้บรรยากาศบ้านเมืองคุกรุ่น แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมได้จัดการชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 พร้อมประกาศ 10 ข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เป็นปรากฏการณ์ที่นักวิชาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ใช่การดันเพดานให้สูงขึ้น แต่ได้ทะลุเพดานไปแล้ว ซึ่งต่อมาวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวของผู้ชุมนุม “เจตนาซ่อนเร้นล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มิใช่เป็นการปฏิรูป”
ผลพวงจากการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนตั้งแต่ต้นปี 2563 ทำให้ประเด็นเรื่องสถาบันกษัตริย์ถูกนำมาถกเถียงกันในที่แจ้ง สร้างความตระหนักให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลประยุทธ์ก็มีการตอบโต้และปราบปรามอย่างหนัก โดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อจัดการกับผู้เห็นต่าง พร้อมกับการตีตราว่า ‘ล้มเจ้า’ โดยสถิติผู้ถูกกล่าวหาในคดี 112 พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกเหนือจากการใช้ ม.112 เพื่อปิดปากประชาชนแล้ว ท่าทีความรุนแรงจากฝ่ายขวาก็ปรากฏชัดเจน เช่น การปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยมาตรการรุนแรงเกินกว่าเหตุ มีการใช้รถฉีดน้ำผสมสารเคมี แก๊สน้ำ และกระสุนยาง รวมถึงเหตุการณ์ ‘ม็อบชนม็อบ’ หน้ารัฐสภา เมื่อ 17 พฤศิกายน 2563 ซึ่งฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลได้รับการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี ขณะที่มวลชนอีกกลุ่มกลับถูกสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง
เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2024/02/9-900x900.jpg)
คำว่า ‘เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน’ เคยปรากฏมาแล้วครั้งหนึ่งในคำวินิจฉัยของศาล คดียุบพรรคไทยรักษาชาติ กรณีเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และอีกครั้งในคดีการชุมนุมทะลุเพดาน ประกาศ 10 ข้อเรียกร้อง ของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และครั้งล่าสุดในคดี ‘ล้มล้างการปกครอง’ กรณี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองจากการเสนอนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ในการหาเสียงเลือกตั้ง 2566
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มุ่งชี้ว่า ผู้เห็นต่างมีพฤติกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน อาจนับเป็นสัญญาณความรุนแรงรอบใหม่ เมื่อพื้นที่แห่งการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตถูกปิดกั้น
ภารกิจดับตะวัน
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2024/02/10-900x900.jpg)
จากความรุนแรงด้วยกฎหมาย สู่ความรุนแรงด้วยกำปั้น เมื่อ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ ถูกชกที่ใบหน้าโดยกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.)
นับตั้งแต่การชุมนุมทะลุเพดานในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ที่มีการตั้งคำถามถึงสถาบันกษัตริย์และวิพากษ์วิจารณ์ความจำเป็นของขบวนเสด็จ ทุกครั้งมักจบลงด้วยความรุนแรงทั้งจากฟากฝั่งของกฎหมายและความรุนแรงจากฝ่ายอนุรักษนิยม ดังเช่นกรณี ทานตะวัน นักกิจกรรมทางการเมืองที่บีบแตรใส่ขบวนเสด็จ ทำให้ ศปปส. โกรธแค้นและบุกทำร้ายร่างกาย ขณะเดียวกันเหล่านักรบเลือดสีน้ำเงินในโซเชียลมีเดียก็ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐจัดการขั้นเด็ดขาดกับทานตะวันและกลุ่มทะลุวัง ซึ่งกลุ่มคนที่สมาทานความคิดแบบขวาต่างพากันแสดงความเห็นลักษณะที่สะท้อนความเกลียดชัง มีการเขียนข้อความในเชิงสนับสนุนการใช้ความรุนแรงต่อผู้เห็นต่างกันอย่างท่วมท้น ไม่ว่าจะเป็น ‘ภารกิจดับตะวัน’ ‘เก็บตะวัน’ ‘กระสุนเจาะกะโหลก พิทักษ์ราชบัลลังก์’