‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คัดค้านการตัดงบบัตรทองและงบสาธารณสุขรวมทั้งสิ้นกว่า 3,300 ล้านบาท เนื่องจากผิดหลักการโอนงบประมาณ กระทบต่อคุณภาพการให้บริการของโรงพยาบาลทั่วประเทศ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน
การคัดค้านดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อนำมาจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. … ในกรอบวงเงิน 100,395 ล้านบาท โดยให้ตัดงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) จำนวน 2,400 ล้านบาท และงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข 938.4 ล้านบาท จากนั้นจะนำสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในวาระที่ 1, 2 และ 3 วันที่ 28 พฤษภาคม 2563 และคาดว่าจะประกาศบังคับใช้ประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2563
ทั้งนี้ ในการจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบฯ รัฐบาลอ้างว่าจะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือเยียวยา และบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และปัญหาภัยพิบัติ ภัยแล้ง อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รวมทั้งกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือจำเป็นอื่น
“พวกเรา ‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ เป็นประชาชนที่รวมตัวกันเพื่อสนับสนุนให้เกิดรัฐสวัสดิการและมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพให้มีความยั่งยืนมาตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ขอคัดค้านมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยเฉพาะการตัดงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรืองบบัตรทอง และงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข”
เนื้อหาในจดหมายเปิดผนึก ระบุเหตุผลว่า
- งบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ งบบัตรทอง จำนวน 2,400 ล้านบาท คือเงินในส่วนที่เรียกว่า ค่าบริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 49 ล้านคน ถือเป็นงบกองทุนรักษาพยาบาล เป็นลักษณะรายจ่ายประจำที่เป็นไปเพื่อการจัดสวัสดิการแห่งรัฐ หรือค่าใช้จ่ายรายหัวตามสิทธิพื้นฐานจากการบริการของรัฐที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน อันเป็นหลักการสำคัญที่จะไม่นำงบประมาณรายจ่ายส่วนนี้ไปจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย ขณะที่งบประมาณกระทรวงสาธารณสุข 938.4 ล้านบาท งบลงทุนซ่อม-สร้างอาคาร ห้องพักผู้ป่วย ห้องพักเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลในต่างจังหวัด ไม่ใช่งบประมาณค่าใช้จ่ายในการสัมมนา การฝึกอบรม การประชาสัมพันธ์ การจ้างที่ปรึกษา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ หรืองบบริหาร ซึ่งหากมีการดึงงบประมาณส่วนนี้ไป ย่อมส่งผลกระทบกับโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศและคุณภาพในการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยโดยรวม
- ภายใต้วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโครานาสายพันธุ์ใหม่นี้ อาจดูเหมือนว่าประชาชนมารับการรักษาพยาบาลตามหน่วยบริการต่างๆ น้อยลง แต่นั่นเป็นเพราะประชาชนได้รับคำแนะนำให้ชะลอการเข้ามารับการรักษาพยาบาล อีกทั้งโรงพยาบาลต้องดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดความแออัดของหน่วยบริการ เพื่อรองรับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีที่สุด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ภาระโรค หรือภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของประชาชนจะลดน้อยลงไป หากงบประมาณด้านรักษาพยาบาลถูกปรับลดลง จะสร้างภาระด้านการเงิน เพิ่มภาระการบริหารจัดการภายใน ส่งผลต่อภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นและประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาลประชาชนในภาพรวมอย่างแน่นอน ดังนั้น แม้คณะรัฐมนตรีจะเตรียมงบประมาณสนับสนุนการรักษาพยาบาล COVID-19 ก็ไม่พึงตัดลดงบประมาณกองทุนบัตรทองและค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ
“พวกเราในนามกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ขอเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีทบทวนรายละเอียดดังกล่าว โดยยกเลิกการตัดงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2,400 ล้านบาท และงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข 938.4 ล้านบาท ไปจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย และขอให้การใช้จ่ายงบประมาณต่างๆ ตาม พ.ร.บ.โอนเงินฯ และ พ.ร.ก.กู้เงินทั้ง 3 ฉบับ เป็นไปอย่างเปิดเผย เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของแผ่นดินเป็นไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง แม้จะเป็นการใช้จ่ายอย่างเร่งด่วนในภาวะวิกฤติก็ตาม” กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ระบุ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เว็บไซต์กรมสรรพาวุธทหารบก ได้เผยแพร่ประกาศกองทัพบก เรื่อง เผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เกี่ยวกับการจัดซื้อยานเกราะล้อยาง พร้อมระบบอาวุธ จำนวน 50 คัน วงเงิน 4,515 ล้านบาท คาดว่าจะมีการประกาศจัดซื้อจัดจ้างในช่วงเดือนเมษายนนี้ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19
อีกทั้งสำนักข่าวประชาไท ยังมีรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 เมษายน ที่ผ่านมา กรมสรรพาวุธทหารบก ได้มีประกาศเรื่องการจ้างซ่อมปรับปรุงปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานกว่า 446 ล้านบาท และแผนการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับสนับสนุนรถถังหลัก จำนวน 4 รายการ วงเงินเกือบ 200 ล้านบาทอีกด้วย
สนับสนุนโดย