กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดรายงานพิเศษ ‘ความจริงและความเร่งด่วนของสถานการณ์เด็กนอกระบบในประเทศไทย’ พบเด็กเยาวชนตกหล่นจากระบบการศึกษาไทย 1.02 ล้านคน เผย 3 อันดับต้นเหตุ 1) ความยากจน 2) ปัญหาครอบครัว และ 3) ถูกผลักออกจากระบบ ด้วยเหตุที่เด็กต้องเผชิญปัญหารุมเร้าหลายปัจจัย ดังนั้นต้องใช้รูปแบบการศึกษายืดหยุ่น หลากหลาย สร้างแรงจูงใจต่อการศึกษา เพื่อประคองไม่ให้หลุดจากระบบ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เดินหน้ามาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กนอกระบบ ‘Thailand Zero Dropout’ ผนึกกำลัง 11 หน่วยงาน เชื่อมโยงข้อมูลเด็กนอกระบบ โดยเฉพาะข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกระทรวงมหาดไทย (มท.) รวมทั้งข้อมูลจากหน่วยงานอื่น สร้างกลไกคณะกรรมการระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน สแกนเด็กทุกพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือ ดูแล และส่งต่อเป็นรายกรณี หรืออาจดำเนินการโดยศูนย์ปฏิบัติการแบบเบ็ดเสร็จระดับตำบล เช่น ‘ศูนย์ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระดับตำบล’ ภายใต้การดูแลของท้องถิ่น
นอกจากนี้ ครม. ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการจัดการศึกษาและเรียนรู้แบบยืดหยุ่น มีคุณภาพ และเหมาะสมกับศักยภาพของเด็กและเยาวชนแต่ละราย โดยให้การรับรองคุณวุฒิหรือเทียบโอนคุณวุฒิการศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย รวมถึงมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการภาคเอกชนให้เข้ามาร่วมจัดการศึกษาหรือการเรียนรู้ในลักษณะ Learn to Earn คือการเรียนรู้ควบคู่กับการทำงาน
รายงานพิเศษ ‘ความจริงและความเร่งด่วนของสถานการณ์เด็กนอกระบบในประเทศไทย’ จัดทำขึ้นจากการประมวลงานวิจัย องค์ความรู้ และข้อค้นพบในพื้นที่การทำงานของ กสศ. ร่วมกับภาคีทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2562-2567 และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนข้อเสนอนโยบายและมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout)
นายพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. ระบุว่า สถานการณ์เด็กเยาวชนนอกระบบ อายุระหว่าง 3-18 ปี ที่ไม่มีข้อมูลในระบบการศึกษา ปัจจุบันมีจำนวน 1,025,514 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 8.41 ของเด็กและเยาวชนอายุ 3-18 ปีทั้งหมด (12,200,105 คน)
ในจำนวนนี้เป็นเด็กที่อยู่ในช่วงวัยการศึกษาภาคบังคับ (ป.1-ม.3) หรืออายุ 6-14 ปี จำนวนทั้งสิ้น 394,039 คน คิดเป็นร้อยละ 38.42 ของเด็กและเยาวชนที่ไม่มีข้อมูลในระบบการศึกษา โดยจังหวัดที่มีเด็กและเยาวชนช่วงวัยการศึกษาภาคบังคับหลุดจากระบบการศึกษาสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 61,609 คน ตาก 41,285 คน สมุทรสาคร 20,277 คน เชียงใหม่ 16,847 คน และสมุทรปราการ 14,349 คน
นอกจากนี้ งานวิจัยเชิงสํารวจเพื่อศึกษาข้อมูลของเด็กนอกระบบการศึกษาภายใต้ ‘โครงการการสนับสนุนและพัฒนากลไกการขับเคลื่อนครูและเด็กนอกระบบการศึกษา’ ของ กสศ. เก็บข้อมูลจากองค์กรเครือข่าย 67 องค์กร จำนวนกลุ่มตัวอย่างเด็กนอกระบบการศึกษา 35,003 คน พบว่า เด็กนอกระบบส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาสูงสุดอยู่ในระดับชั้นมัธยมต้น (ร้อยละ 24.25) ขณะที่ร้อยละ 10.63 ไม่เคยได้รับการศึกษาเลย และเด็กนอกระบบที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียนและไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนบุคคล ส่วนใหญ่มีวุฒิการศึกษาสูงสุดในระดับประถมต้น (ร้อยละ 30.73) โดยอาชีพของผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่มีงานประจำ-รับจ้างรายวัน (ร้อยละ 47.11) สะท้อนถึงความไม่มั่นคงด้านรายได้ของครอบครัว อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้เด็กออกนอกระบบการศึกษา
สาเหตุของการออกนอกระบบการศึกษา อันดับ 1 มาจากความยากจน (ร้อยละ 46.70) รองลงมาคือ ปัญหาครอบครัว (ร้อยละ 16.14) ออกกลางคัน/ถูกผลักออก (ร้อยละ 12.03) ไม่ได้รับสวัสดิการด้านการศึกษา (ร้อยละ 8.88) ปัญหาสุขภาพ (ร้อยละ 5.91) อยู่ในกระบวนการยุติธรรม (ร้อยละ 4.93) และได้รับความรุนแรง (ร้อยละ 3.63)
นายพัฒนะพงษ์ กล่าวว่า เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลเด็กนอกระบบการศึกษาเป็นรายกรณี พบว่า เด็กเผชิญกับปัญหาที่โยงใยซับซ้อนมากกว่า 1 ปัญหา โดยที่ไม่สามารถแก้เพียงเรื่องหนึ่งเรื่องใดแล้วจะหลุดพ้นจากวิกฤตได้ ซึ่งปัจจัยที่กระทบต่อการออกนอกระบบการศึกษา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงปัญหาครอบครัวแตกแยก การใช้ความรุนแรง การย้ายถิ่นฐาน ทัศนคติของผู้ปกครองที่ไม่เห็นความสำคัญของการศึกษา รวมถึงให้ออกจากโรงเรียนมาทํางานช่วยเหลือครอบครัว นอกจากนี้ยังมี ‘ปัจจัยด้านพฤติกรรม สุขภาวะของนักเรียน’ เช่น เผชิญความเสี่ยงกับยาเสพติด ตั้งครรภ์ในวัยเรียน เด็กพิการหรือเจ็บป่วย และ ‘ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม’ เช่น การตกเป็นเหยื่อของการถูกรังแก ถูกบูลลี ล้อเลียน เด็กโตเกินกว่าที่จะกลับมาเรียนซ้ำชั้น
ข้อค้นพบที่สำคัญคือ ‘ปัจจัยด้านครูและสถานศึกษา’ พบว่า การที่เด็กมีทัศนคติไม่ดีต่อการเรียน ซึ่งโรงเรียนและครูมีส่วนสำคัญที่จะช่วยดึงเด็กไม่ให้หลุดออกไปจากการศึกษา ทำให้เห็นประโยชน์ของการเรียน โดยพบว่ามีสาเหตุมาจากขาดการสื่อสารระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง หลักสูตรรายวิชาไม่ตอบโจทย์ชีวิต มุ่งเน้นการเรียนเพื่อแข่งขัน ลักษณะของครูผู้สอน ทั้งการลงโทษ การใช้ความรุนแรงทั้งโดยวาจาและการกระทำ ภาระงานที่ได้รับมอบหมาย เช่น การบ้าน การส่งงาน เป็นต้น
สอดคล้องกับผลการศึกษาของโครงการวิจัยเรื่อง ‘การคาดการณ์อนาคตการศึกษาทางเลือก’ (Foresight for Alternative Education) ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ร่วมกับ กสศ. ระบุว่าหนึ่งในผลกระทบต่อโอกาสการศึกษาของเยาวชนผู้ด้อยโอกาส คือ ความผิดหวังต่อระบบการศึกษา ซึ่งสร้างผลกระทบทางลบ ทำให้เยาวชนขาดแรงจูงใจ ความตั้งใจ และความทุ่มเทในการเข้ารับการศึกษา เพราะไม่เห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับ เยาวชนจึงต่อต้านการศึกษาทุกรูปแบบ
“การทำความเข้าใจเด็กนอกระบบเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะปัญหานี้ซับซ้อนและสั่งสมมายาวนาน สำคัญที่สุดคือต้องช่วยเหลืออย่างเข้าใจในเงื่อนไขชีวิตเด็ก ออกแบบการเรียนรู้และให้การสนับสนุนเขาในแบบที่เหมาะสมกับตัวเขาที่สุด” นายพัฒนะพงษ์ กล่าว
ข้อเสนอของ กสศ. ในการสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนนอกระบบนั้น รูปแบบการศึกษาของเด็กนอกระบบการศึกษาต้องออกแบบให้มีความหลากหลายสอดคล้องกับความต้องการของเด็ก ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1) กลุ่มเด็กที่ต้องการกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา และ 2) กลุ่มเด็กที่ไม่มีความประสงค์จะเข้าสู่ระบบการศึกษา แต่มีความต้องการประกอบอาชีพ
การส่งเสริมการศึกษาของเด็กกลุ่มที่ต้องการกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาสามารถดำเนินการได้ทันที เนื่องจากมีแรงจูงใจและความพร้อม แต่เด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการประกอบอาชีพโดยไม่ต้องการศึกษาต่อ จะยังขาดแรงจูงใจและความพร้อมในกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ดังนั้น เด็กกลุ่มนี้ควรได้รับการศึกษาในรูปแบบของการศึกษาเพื่อการประกอบอาชีพ ซึ่งจะทำให้เด็กกลุ่มนี้ได้รับการศึกษาไปพร้อมกับรายได้จากการประกอบอาชีพตามเป้าหมายของตัวเอง โดยกำหนดลักษณะของรูปแบบการศึกษาได้ 3 ประการคือ ต้องให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ที่ไหนก็ได้ (anywhere) เรียนเมื่อไรก็ได้ (anytime) และเรียนอะไรก็ได้ตามที่ตนเองสนใจ (anything) รวมถึงอาจใช้รูปแบบการเรียนแบบออนไลน์ ระบบธนาคารหน่วยกิต (credit bank) เพื่อสะสมและใช้เทียบโอนคุณวุฒิการศึกษาสำหรับการสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานต่อไปได้ เพื่อให้เด็กมีความพร้อมในการเรียนอย่างมีคุณภาพและต่อเนื่อง
อ้างอิง:
- รายงาน ‘ความจริงและความเร่งด่วนของสถานการณ์เด็กนอกระบบในประเทศไทย’ โดย กสศ.
- ครม. รับทราบมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ “Thailand Zero Dropout” ตั้งเป้าดึงเด็ก 1 ล้านคนที่หลุดจากระบบเข้าสู่การศึกษาที่ยืดหยุ่นภายในปี 2570