เรื่อง: พีระพัฒน์ สวัสดิรักษ์
ทุกๆ เช้าที่ซูเปอร์มาร์เก็ต Auchan ใจกลางกรุงปารีส มักดาลีนา ดอส ซานโตส (Magdalena Dos Santos) จะพบกับ อาเหม็ด เฌอร์บรานี (Ahmed Djerbrani) หรือ ดูดู คนขับรถของธนาคารอาหารเพื่อคนยากไร้ (food bank) ของฝรั่งเศส
มักดาลีนาทำงานในแผนกอาหารของร้านสะดวกซื้อ มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบการจัดเก็บอาหารสำหรับบริจาคของร้าน โดยเตรียมอาหารที่ใกล้วันหมดอายุไว้สำหรับส่งต่อให้อาเหม็ด เมื่อเปิดตู้เย็นขนาดใหญ่ของร้าน มักดาลีนาจะพบว่ามีสิ่งใดบ้างที่ต้องโละออกไป ทั้งโยเกิร์ต พิซซ่า ผลไม้สด ผัก และชีส
การให้อาหารเหลือทิ้งเป็นการกุศลไม่ได้เป็นแค่การกระทำด้วยความปรารถนาดีเท่านั้น มันยังเป็นข้อกำหนดภายใต้กฎหมายปี 2016 ที่สั่งห้ามร้านขายของชำร้านสะดวกซื้อโละอาหารที่ยังสามารถกินได้ทิ้งไป และหากมีการฝ่าฝืน ร้านค้าอาจถูกปรับเป็นเงิน 4,500 ดอลลาร์ต่อการละเมิดหนึ่งครั้ง
อาหารเหลือทิ้ง (food waste) เป็นปัญหาระดับโลก ในประเทศกำลังพัฒนานั้นพบการทิ้งอาหารเกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการผลิต แต่ในประเทศร่ำรวยกลับทิ้งมันไปในขั้นตอนการบริโภค ร้านขายของชำเป็นผู้รับผิดชอบต่อขยะจำนวนมาก ฝรั่งเศสจึงพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงกฎหมายดังกล่าวด้วยการออกกฎหมายอาหารเหลือทิ้งเมื่อสองปีที่แล้ว
หลังร้าน อาเหม็ดจอดรถ แล้ววัดอุณหภูมิโยเกิร์ตที่ถูกส่งออกมาจาก Auchan “ผมเช็คอุณหภูมิของผลิตภัณฑ์นมเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันถูกเก็บไว้ในห้องเย็นตลอด” เขากล่าวก่อนโหลดอาหารเข้าไปในรถตู้ และขับข้ามเมืองไปยังโบสถ์ ซึ่งจะแจกจ่ายให้กับครอบครัวที่ยากจน
หนึ่งในทีมบริจาคอาหาร จิลเลียน เดมูเลส (Gillaine Demeules) อาสาสมัครการกุศลของโบสถ์ St. Vincent de Paul เตรียมพร้อมรับอาหารบริจาคประจำสัปดาห์บอกว่า
“พรุ่งนี้เราจะแจกจ่ายซุป ปลาซาร์ดีน พาสต้าและสิ่งของสดใหม่ๆ ที่พวกเขามอบให้เราวันนี้” เธอกล่าว “เราไม่เคยรู้ถึงสิ่งที่พวกเขากำลังจะนำมาให้”
จากข้อมูลของ ฌาคส์ เบเลต์ (Jacques Bailet) จากเครือข่ายธนาคารอาหารแห่งประเทศฝรั่งเศสที่รู้จักกันในชื่อ Banques Alimentaires ระบุว่า กฎหมายใหม่ได้เพิ่มปริมาณและคุณภาพของการบริจาค มีอาหารสดใหม่และผลิตภัณฑ์ที่พร้อมใช้งานเพิ่มเติมมากขึ้น โดยที่มันยังไม่ถึงวันหมดอายุ
องค์กรการกุศลทั่วประเทศฝรั่งเศสมีประมาณ 5,000 แห่งที่ขึ้นอยู่กับเครือข่ายธนาคารอาหาร ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของอาหารเหล่านี้มาจากการบริจาค เขากล่าวว่ากฎหมายดังกล่าวช่วยลดการสูญเสียอาหารโดยการยกเลิกข้อตกลงบางอย่างระหว่างซูเปอร์มาร์เก็ตและผู้ผลิตอาหาร
“มีผู้ผลิตอาหารรายหนึ่งซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้บริจาคแซนด์วิชที่ผลิตเพื่อส่งให้กับซูเปอร์มาร์เก็ตแบรนด์หนึ่งโดยเฉพาะ แต่ตอนนี้เราได้แซนด์วิช 30,000 ชิ้นต่อหนึ่งเดือนซึ่งเป็นแซนด์วิชจากพวกเขา นั่นคือแซนด์วิชที่เคยถูกโยนทิ้งไป” ฌาคส์กล่าว
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/03/food_waste_law_newzealand.jpg)
ขณะที่โลกเสียหนึ่งในสามของอาหารที่ผลิตขึ้น และฝรั่งเศสทิ้งอาหารมากถึง 30 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ชาวอเมริกันทิ้งอาหารมากถึง 90 ล้านกิโลกรัมต่อปี หรือสามารถถมทับที่นั่ง 90,000 ที่นั่ง ของสนามกีฬา Rose Bowl ในทุกๆ วัน นี่คือข้อมูลจาก โจนาธาน บลูม (Jonathan Bloom) ผู้เขียนเรื่อง American Wasteland กล่าวถึงอาหารเหลือทิ้งในประเทศสหรัฐอเมริกา เขาบอกว่ามีวิธีการจัดการอาหารที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นคุณสามารถเริ่มต้นจากจุดสิ้นสุดของห่วงโซ่โดยการห้ามกำจัดอาหารด้วยการเอาไปทิ้งถมดิน
บลูมกล่าวอีกว่ากฎหมายของฝรั่งเศสนั้นยอดเยี่ยม และเขาอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวจากรัฐบาลวอชิงตัน แต่มันก็เป็นเรื่องยากลำบากทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพการณ์ปัจจุบัน เขารู้ว่าชาวอเมริกันจะไม่ค่อยสนใจเมื่อรัฐบาลบอกแนวทางในการดำเนินธุรกิจว่าต้องทำอย่างไร
“แบบฉบับของฝรั่งเศสค่อนข้างเป็นสังคมนิยม แต่ผมจะพูดในทางที่ดี เพราะคุณกำลังจัดเตรียมวิธีให้ซูเปอร์มาร์เก็ตต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่เพียงแต่สำหรับสิ่งแวดล้อม แต่จากมุมมองทางจริยธรรมในการส่งต่ออาหารที่ดีต่อสุขภาพให้ผู้ที่ต้องการ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบางอย่างที่เป็นอันตรายซึ่งเกิดขึ้นจากอาหารที่ถูกฝังลงในหลุมฝังกลบ” เขากล่าว
กฎหมายของฝรั่งเศสดูเหมือนว่าจะสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศ ทั้งระบบของธุรกิจที่ช่วยให้ร้านขายของชำและร้านสะดวกซื้อมีการจัดการคลังสินค้าได้ดีขึ้น และลดอาหารเหลือทิ้งลง แม้ว่าการสำรวจอย่างเป็นทางการยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ
สมาชิกสภา กิโยม กาโรต์ (Guillaume Garot ) ผู้เขียนกฎหมาย เชื่อว่าการต่อสู้กับอาหารเหลือทิ้งควรเป็นเรื่องสำคัญพอๆ กับนโยบายอื่นๆ ของชาติ เช่นการใส่เข็มขัดนิรภัย กิโยมกล่าวว่า เขาได้รับการติดต่อจากผู้คนทั่วโลกที่ต้องการทำสิ่งเดียวกันกับฝรั่งเศส
“มันเป็นการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงานของซูเปอร์มาร์เก็ต” เขากล่าว “พวกเขาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมของพวกเขามากขึ้น และพวกเขาได้เป็นผู้ให้มากขึ้น”
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือกิโยมกล่าวว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตถูกมองว่าเป็นมากกว่าการทำธุรกิจหวังกำไร มันจะกลายเป็นสถานที่ที่มีความเป็นมนุษยธรรมมากขึ้น