Girls Don’t Cry ภาพยนตร์สารคดี ที่เล่าเรื่องราวของนักร้องไอดอลเกิร์ลกรุ๊ป BNK48 (BNK48 คือ กลุ่มศิลปินไอดอลที่มีวงต้นแบบจากญี่ปุ่น วง AKB48 คอนเซ็ปต์หลักคือ ไอดอลที่คุณสามารถพบเจอได้ เหมือนน้องสาวข้างบ้าน) กำกับโดย เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์
สิ่งที่ทำให้ฉันสนใจหนังเรื่องนี้เพราะชื่อของผู้กำกับล้วนๆ เคยดูผลงานเขามาบ้างช่วงหลัง คิดว่าถ้ามีโอกาสจะพยายามดูผลงานทุกชิ้น เพราะเป็นคนที่มีมุมมองน่าสนใจ ส่วนน้องๆ BNK48 นี่ ฉันตามข่าวสารอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นโอตะหรอกนะ (‘โอตะ’ ย่อมาจาก ‘โอตาคุ’ อีกที แปลว่า คนที่สนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากๆ ในที่นี้หมายถึง กลุ่มคนที่ชอบ BNK48 มากๆ เรียกง่ายๆ ว่าแฟนคลับนั่นแหละ)
ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องผ่านสมาชิกในวงทั้ง 26 คน โดยใช้บทสัมภาษณ์สลับกับภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ลำดับเหตุการณ์ผ่านการคัดเลือกเซ็มบัตสึสามครั้งในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา (เซ็มบัตสึ คือ ตัวหลักในการโปรโมตเพลงแต่ละเพลง) ซึ่งหนึ่งเพลงที่โปรโมตจะมีสมาชิกที่ถูกเลือกเพียงแค่ 16 คนเท่านั้น เท่ากับว่าโอกาสที่สมาชิกแต่ละคนจะถูกเลือกหรือไม่นั้น คือครึ่งต่อครึ่ง
ครึ่งต่อครึ่งคือ ตรงกลาง ไม่เยอะ ไม่น้อย แต่ถ้าไม่ถูกเลือก ความผิดหวังคงวิ่งเข้าใส่ใจคนคนหนึ่งแบบเต็มๆ ‘ทำไมไม่เป็นเรา’ ‘เราดีไม่พอเหรอ’ หรือ ‘เราพยายามไม่มากพอ’ สภาวะกดดันแบบนี้ คือสิ่งที่สมาชิกภายในวงต้องเจออยู่ตลอด
ลองคิดกลับกันว่าถ้าเป็นเราไปยืนอยู่ตรงนั้นคงเครียดเหมือนกัน จะเครียดมากเครียดน้อยก็อีกเรื่อง เช่นเดียวกับสมาชิก BNK48 ที่ส่วนใหญ่บอกว่าเข้ามายืนจุดนี้แล้วในใจลึกๆ ก็หวังตำแหน่งดีๆ กันทั้งนั้น แต่การจะเป็นผู้ถูกเลือกมันไม่ง่าย เพราะมีปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น จำนวนแฟนคลับ ยอดผู้ติดตามทางโซเชียล ความมีเสน่ห์ (ซึ่งเสน่ห์นี่เป็นอะไรที่ปัจเจกมากๆ) กระทั่งดวง
ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมามันทำให้สมาชิกบางคนได้รับโอกาส ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ แต่เมื่อได้โอกาสมาแล้วก็ต้องคว้าไว้ ในขณะที่บางคนมาพร้อมกับทักษะที่นักร้องที่ดีควรมี คือร้องเก่ง เต้นเก่ง แต่กลับไม่เคยได้รับเลือกให้ได้เป็นตัวจริงในการโปรโมตเลยสักครั้ง เพราะอะไร? ไม่มีใครทราบ
เนื้อเพลง ‘วันแรก’ (Shonichi) ของ BNK48 ท่อนหนึ่งร้องไว้ว่า “คำว่าพยายามไม่เคยทำร้ายสักคนที่ตั้งใจ” …?
ไม่เห็นจะจริง ฉันเห็นน้องบางคนพยายามมากๆ แล้วแต่ก็ยังไม่ได้รับโอกาสดีๆ แถมยังโดนคนบางคนพูดใส่อีกว่า “ก็พยายามให้มากกว่านี้สิ” โดนพูดใส่แบบนี้ เป็นใครก็ต้องหน้าชากันบ้างแหละ
‘แล้วที่ทำอยู่นี่ไม่เรียกว่าพยายามเหรอ เคยเห็นไหมว่าเราทำอะไรบ้าง?’ ในใจน้องๆ หลายคนคงอยากตอกกลับไป
จริงอยู่ที่ว่า “โลกนี้มันไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว” เหมือนที่หนึ่งในสมาชิกวงกล่าวเอาไว้ แต่การที่ต้องพยายามวนไปโดยไม่เห็นฝั่งมันก็น่าท้อใจเช่นกัน
ช่วงหนึ่งของหนังที่ฉันชอบมากคือช่วงที่สมาชิกบางคนในวงคิดว่าต้องทำตัวเองให้ดูโดดเด่นขึ้น ถ้ามีคาแรคเตอร์กว่านี้ คงจะมีคนชอบมากขึ้นสินะ เอาเข้าจริงครั้งหนึ่งในชีวิตช่วงวัยรุ่น หลายๆ คนคงเคยมีอารมณ์ประมาณนี้ อยากเป็นที่รัก อยากเป็นจุดสนใจ ลองเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว เขียนแคปชั่นใต้รูปที่โพสต์ลงโซเชียลให้น่าสนใจ ถ่ายรูปเซลฟี่ทำท่าแอ๊บแบ๊ว หรือทำอะไรก็ได้ที่คิดว่าคนเห็นแล้วจะชอบ และสุดท้ายก็ได้ค้นพบว่า ไม่ว่าจะทำอะไรไป มันก็มีทั้งคนที่รักและเกลียดเราอยู่ดี เป็นตัวของตัวเองเนี่ยดีที่สุดแล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบคือ การเลือกหยิบคำพูดของสมาชิกในวงมาเรียงต่อกันได้ลื่นไหล แถมยังแทรกความกวนเอาไว้ตามสไตล์ผู้กำกับ ทำให้ผู้ชมได้ขำเป็นระยะ จุดนี้เป็นสิ่งที่โดดเด่นมากในหนัง
ฟุตเทจ (footage) ที่ถูกเลือกมาเรียงต่อกัน เหมือนเป็นการคัดเลือกเซ็มบัตสึด้วยสายตาของผู้กำกับ ใครเล่าเรื่องได้น่าสนใจ เข้ากับสิ่งที่ผู้กำกับต้องการนำเสนอย่อมได้ออกกล้องเยอะ ถึงตาน้องๆ ที่อาจไม่มีบทเด่นในวง จะได้เปล่งประกายบ้างแล้ว
และหวยก็ไปออกที่ ‘ปูเป้’ (หนึ่งในสมาชิก BNK48) สำหรับฉัน น้องเป็นเซ็นเตอร์ (คนที่โดดเด่นที่สุด) ประจำหนังเรื่องนี้เลยนะ เชื่อว่าต้องมีคนเดินออกจากโรงมาพร้อมๆ กับการกด like ให้แฟนเพจเฟซบุ๊คของปูเป้แน่นอน เพราะน้องตอบคำถามได้ตรงไปตรงมา เล่าเรื่องสนุก เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมในโรงได้มากทีเดียว
บอกตามตรงว่าก่อนไปดูหนังเรื่องนี้ ฉันคาดหวังว่าจะได้เห็นมุมที่ไม่เคยได้รู้ เช่น ในแง่ของการทำธุรกิจ การสร้างวงนี้ขึ้นมา เบื้องหลังที่มาของวง กระทั่งการฟาดฟันเพื่อตำแหน่งในวงระหว่างสมาชิกแบบเข้มข้น แต่หนังเลือกนำเสนอเกี่ยวกับสภาวะจิตใจของเหล่าสมาชิกวงมากกว่า ว่าต้องผ่านเหตุการณ์อะไรบ้าง และช่วงนั้นรู้สึกอย่างไร เป็นการพาเราไปสำรวจจิตใจของเด็กสาวที่กำลังเติบโตผ่านการเป็นคนในวงการบันเทิง
เราได้เห็นการขยายภาพความพยายามของคนกลุ่มหนึ่ง เพื่อให้ได้ไปยืนในจุดที่ตัวเองต้องการ ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว คนเราทุกคนมีความพยายามในเรื่องที่ตัวเองต้องการกันทั้งนั้น คนที่กำลังทำตามความฝัน หรือบางคนที่เคยพยายามทำอะไรบางอย่าง ตอนนี้อาจจะประสบความสำเร็จ หรือเลิกล้มความตั้งใจไปแล้ว แต่อย่างน้อยทุกคนก็คงเคยผ่านความรู้สึกนั้นมาบ้าง เพียงแต่มันไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมาเหมือนกับเรื่องราวของ BNK48 ก็เท่านั้นเอง เนื้อหาเกี่ยวกับความพยายามจึงไม่ได้ทำให้ฉันแปลกใจอะไร แต่มันเป็นการย้ำว่ายังมีคนที่กำลังพยายามทำอะไรบางอย่างเหมือนๆ กับคุณอยู่นะ
ความยาว 110 นาทีของหนังอาจไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาเชิงลึก หรือทุกแง่มุมของ BNK48 ได้ทั้งหมด เราอาจไม่ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้น ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ติดตามข่าวสารของวงเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่หนังทำให้เราเห็นสมาชิกเป็นคนที่กลมขึ้น ไม่ใช่เพียงภาพของสาวน้อยน่ารักที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเวลาออกสื่อ หรือขึ้นเวทีแสดงโชว์