ทางการของประเทศพันธมิตรตะวันตกจัดชุดไล่ล่าเพื่อกระทำภารกิจลับสุดยอดหนึ่งเดียวให้สำเร็จ คือจับกุมหรือสังหารลูกชายของ โอซามา บินลาเดน ให้ได้ ก่อนที่เขาจะสามารถวางแผนและลงมือโจมเป้าหมายในโลกตะวันตกต่อไปในกาลข้างหน้า
หน่วยข่าวกรองของสหรัฐและอังกฤษได้บรรจุชื่อ ฮัมซา บินลาเดน (Hamza bin Laden) ลูกชายของ โอซามา บินลาเดน (Ozama bin Laden) อดีตประมุขแห่งองค์กรอัลกออิดะห์ (Al-Qaeda) ผู้วางแผนโจมตีสหรัฐอเมริกาครั้งใหญ่ในเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 และถูกสังหารลงไปแล้วโดยโดยหน่วยคอมมานโดของทหารเรืออเมริกัน (US Navy Seals) ไว้เป็นหนึ่งในสิบของรายการเป้าหมายสำคัญสุดยอด
หลังจากพ่อตาย ฮัมซา ทายาทคนโปรด กลายมาเป็นผู้นำคนใหม่ขององค์กรอัลกออิดะห์ แล้วประกาศว่า จะสืบสานต่อเจตนารมณ์ดั้งเดิมที่มุ่งตั้งหน้าตั้งตาสู้รบในสงครามก่อการร้าย โดยเพ่งเล็งโจมตีเป้าหมายสำคัญอีกหลายแห่งในโลกตะวันตก รายงานข่าวกรองระบุ
เขาหายตัวไปจากบริเวณชุมชนอับบอตตาบัด (Abbottabad) ในพื้นที่ชนบทห่างไกลของปากีสถาน สถานที่สิ้นชื่อของบินลาเดนผู้บิดา หลายสัปดาห์ก่อนที่พ่อถูกสังหารโดยหน่วยคอมมานโดของสหรัฐนาวี
เมื่อสองปีก่อนนี้ ฮัมซาปรากฏกายในคลิปวิดีโอขณะกล่าวชื่นชมยินดีต่อเหตุก่อการร้ายในกรุงลอนดอน ในอีกหลายคลิปแสดงถึงชายหนุ่มกำลังลงมือฝึกซ้อมอย่างหนักในค่ายผู้ก่อการร้าย หน่วยข่าวกรองระบุว่า เมื่อเดือนพฤษภาคมเขาประกาศจะลงมือโจมตีเป้าหมายในโลกตะวันตกเพื่อเป็นการแก้แค้นให้ได้
สัปดาห์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์อังกฤษสองสามฉบับรายงานว่า ทหารคอมมานโดจำนวน 40 นาย ประจำหน่วย SAS (Special Air Service) แห่งกองทัพบกสหราชอาณาจักรอันเลื่องชื่อ เดินทางเข้าสู่พื้นที่บางแห่งของประเทศซีเรียก่อนหน้านั้นแล้ว เพื่อไล่ล่าจับกุมหรือสังหารฮัมซาใน ‘ปฏิบัติการเชดเดอร์’ (Operation Shader) ซึ่งเป็นการร่วมมือกันจัดตั้งโดยหน่วยยุทธการร่วมระหว่างสหรัฐอเมริกากับอังกฤษ (Joint Coalition Special Operations Unit) หลังจากหน่วยข่าวกรอง CIA ของสหรัฐยืนยันว่าขณะนี้เขาอยู่ในพื้นที่ของซีเรียอย่างแน่นอน
ในความพยายามค้นหาเป้าหมาย หน่วยคอมมานโดได้รับการสนับสนุนจากเครื่องบินสอดแนมและโดรนบินที่สามารถดักฟังการติดต่อสื่อสารต่างๆได้ นายทหารข่าวกรองอาวุโสรายหนึ่งระบุ
เทคโนโลยีคือส่วนนำหน้าในการติดตามคนแบบฮัมซา แต่แหล่งข่าวภาคพื้นดินมีความสำคัญอย่างสูงต่อการระบุตัวตนเป้าหมายพร้อมการหาข่าวเพิ่มเติม สิ่งนี้มีมูลค่าดั่งทองคำน้ำหนักเท่ากับตัวเขานั่นล่ะ
“การติดตามค้นหาใครสักคนเราต้องรู้เสียก่อนว่าน่าจะเพ่งเล็งบริเวณไหน เราจำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งข่าวท้องถิ่น และไม่ว่าเทคโนโลยีจะล้ำเลิศเพียงใดมันก็ไม่อาจเอาชนะวิธีการ ‘ยืนยันด้วยสายตาอย่างจะแจ้ง’ (‘Mark One Eyeball’) ไปได้เลยในแง่มุมของการรวบรวมข่าวกรองเกี่ยวกับบุคคล” นายทหารอธิบาย
“ฮัมซาจะถูกค้นพบจนได้ในวันใดวันหนึ่ง เขาจะต้องทำอะไรผิดพลาดขึ้นบ้าง และเราจะรอให้ถึงตอนนั้น”
อย่างไรก็ตาม พันเอกอาห์เมด อัล-ฮัมมาดี (Ahmed al-Hammadi) โฆษกประจำแนวหน้าของกองทัพซีเรียเสรี (Free Syrian Army) ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียให้สัมภาษณ์สำนักข่าวโทรทัศน์ Al Arabiya แห่งซาอุดีอาระเบียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า “สิ่งที่ฝ่ายตะวันตกกำลังดำเนินการอยู่ในเรื่องนี้เป็นเพียงผลจากการวิเคราะห์เท่านั้น และยังอยู่ห่างไกลจากข้อเท็จจริงในพื้นที่อย่างมาก”
ฮัมซาเคยปรากฏกายพร้อมกับบิดา โอซามา ในภาพที่ตีพิมพ์โดยอัลกออิดะห์ในวันครบรอบ 16 ปี ของเหตุการณ์ 9/11 ผสมผสานกับภาพสองตึกแฝด (The Twin Towers) ที่นครนิวยอร์คขณะถูกเผาผลาญด้วยเพลิงและมีควันไฟลุกไหม้ อัลกออิดะห์บรรยายถึงฮัมซาในภาพนั้นว่าเขาคือ ‘มกุฎราชกุมารแห่งจิฮัด’ (Crown Prince of Jihad)
ชายหนุ่มซึ่งขณะนี้อายุ 28 ปี เมื่อครั้งยังเยาว์เคยปรากฏในภาพโฆษณาชวนเชื่อของเครือข่ายแพร่ข่าวที่ก่อตั้งโดยบิดาโอซามามาแล้วหลายครั้ง
และมาบัดนี้ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองกับนักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าเขากำลังพยายามผนึกกำลังนักรบแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์ (jihadists) จากทั่วโลกเข้าด้วยกัน โดยอาศัยจังหวะที่ขบวนการกองกำลังรัฐอิสลาม (Islamic State: IS) กำลังประสบกับสภาวะถดถอยทางการสู้รบในหลายสมรภูมิ
ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้าย (Combating Terrorism Center: CTC) ในสถาบันวิชาการทหารแห่งสหรัฐที่ เวสต์ปอยต์ นิวยอร์ค ได้ตีพิมพ์รายงานชิ้นหนึ่งของ อาลี ซูฟาน (Ali Soufan) อดีตเจ้าหน้าที่พิเศษของสำนักงานสอบสวนกลาง (Federal Bureau of Investigation: FBI) และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านองค์กรอัลกออิดะห์คนหนึ่งระบุว่า “ฮัมซาเติบโตขึ้นมารับหน้าที่ผู้นำองค์กรที่พ่อของเขาก่อตั้งไว้ และในฐานะทายาทโดยเลือดเนื้อเชื้อไขแห่งวงค์วานสกุลบินลาเดน พวกจิฮัดทั้งระดับนำและรายย่อยน่าจะอ้าแขนต้อนรับเขาโดยดี”
ขณะที่ ‘อาณาจักรกาหลิบ’ (Caliphate) ของกองกำลังรัฐอิสลามปริ่มๆ จะประสบภาวะล่มสลายอยู่แล้ว ฮัมซาจึงกลายมาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่งในความพยายามเพื่อรวบรวมเหล่านักรบจิฮัดเข้าไว้ให้เป็นปึกแผ่น
ฮัมซาเป็นบุตรลำดับที่ 15 ในบรรดาทายาท 20 คนของบินลาเดน เป็นลูกชายของภรรยาคนที่สาม ตลอดมาได้รับการสั่งสมให้ดำเนินรอยตามบิดาตั้งแต่ยังเล็ก ก่อนหน้า 9/11 เขาเข้ารับการฝึกอาวุธเคียงข้างบิดาในอัฟกานิสถาน หลายครั้งในอดีตเขาออกคลิปวิดีโอเผยแพร่ออนไลน์ด้วยเสียงแหลมเล็กแบบเด็กวัยรุ่นชายกล่าวพล่ามโจมตี คนอเมริกัน ยิว และ ‘นักรบครูเสด’ ด้วยถ้อยคำสารพัดสารพัน
ก่อนการโจมตีอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และสำนักงานเพนตากอน ฮัมซาถูกแยกตัวออกจากบิดา แล้วนับจากนั้นทั้งสองก็ไม่มีโอกาสได้พบกันอีกเลย
ญาติฝ่ายมารดานำตัวเขากับเด็กๆ คนอื่นไปยังเมืองจาลาลาบัด (Jalalabad) ในอัฟกานิสถาน แล้วต่อไปยังอิหร่าน ซึ่งทั้งหมดถูกทางการรัฐบาลจำกัดอิสรภาพไว้เฉพาะในบ้านเป็นเวลาหลายปี หลังจากถูกปลดปล่อยก็ไม่มีใครรู้ระแคะระคายถึงสถานที่อยู่แท้จริงของเขาอีกเลย
ก่อนหน้านั้น โอซามา บินลาเดน ใช้ระบบเครือข่ายส่งข่าวด้วยคนเดินสารที่มีความซับซ้อนอย่างมากติดต่อกับลูกชายคนโปรดอยู่ตลอดเวลาด้วยการเขียนจดหมาย ซึ่งบางฉบับถูกพบเจอขณะหน่วยคอมมานโดอเมริกันบุกเข้าสังหารเขาในบ้านที่ชุมชนอับบอตตาบัด ปากีสถาน
ในจดหมายบางฉบับ ฮัมซายืนยันหนักแน่นกับบิดาว่าเขาผ่านการ ‘หล่อหลอมให้เป็นดั่งเหล็กกล้า’ และเตรียมพร้อมเพื่อจะ ‘พลีชีพเพื่อชัยชนะ’ ตลอดเวลา
“สิ่งที่ผมเศร้าใจที่สุดคือเมื่อตอนที่เริ่มก่อตั้งกองกำลังมูจาฮิดีนนั้น ผมไม่ทันได้เข้าร่วมกับพวกนักรบ” เขาเขียนไว้เมื่อ กรกฎาคม 2009
ในคลิปเสียงเมื่อ สิงหาคม 2015 ฮัมซากล่าวสดุดีบิดาว่าเป็น ‘นักรบพลีชีพ’ พร้อมกับ คาลิด พี่ชายของเขาที่ตายลงในการต่อสู้ป้องกันพ่อที่อับบอตตาบัด และเรียกร้องให้
นักรบกล้าตายทุกแห่งหน นับจาก กาบุล แบกแดด จนถึง กาซา ให้มุ่งโจมตี วอชิงตัน ลอนดอน ปารีส และเทลอาวีฟ
อีก 18 เดือนถัดมาหลังจากส่งเสียงเรียกร้องแบบเดิมๆ หลายหน ฮัมซาก็ได้รับการยกระดับเกียรติยศเด่นชัดขึ้นในหมู่นักรบจิฮัด โดยกระทรวงต่างประเทศสหรัฐบรรจุชื่อเขาไว้ในรายการบัญชีดำของบรรดา ‘ผู้ก่อการร้ายสากล’
นักวิเคราะห์ซูฟานระบุ “ฮัมซามักบรรยายตอกย้ำแบบซ้ำซากเลียนแบบถ้อยคำและวิธีพูดของพ่อเขา พยายามกระทั่งเลียนน้ำเสียงลักษณะทุ้มเบาแต่หนักแน่น
“ระหว่างการแตกพ่ายของกลุ่มรัฐอิสลาม เหล่าบริวารน่าจะกำลังมองหาสังกัดใหม่เพื่อมุ่งหน้าสู้รบต่อไป องค์ประกอบแวดล้อมขณะนี้บ่งว่า ฮัมซาน่าจะสามารถผงาดขึ้นเป็นผู้นำที่ทรงสมรรถนะสูงได้อย่างเหมาะสม
“ถึงขั้นนี้แล้วเราก็เพียงรอดูว่า องค์กรดังกล่าวจะใช้เขาให้เป็นประโยชน์อันแท้จริงได้อย่างไร ความชัดเจนคือเขากำลังเป็นดาวรุ่งแน่นอน และสิ่งนี้น่าจะเป็นความกังวลอย่างมากของบรรดาผู้นำแห่งโลกตะวันตก รวมทั้งโลกมุสลิมด้วยเช่นกัน”