สองเรื่องที่ไม่น่าเกี่ยวกันได้ แต่เป็นข้อสังเกตจากการบริหารชุมชนในตำบลเอราวัณ อำเภอเอราวัณ จังหวัดเลย และอยากชวนแลกเปลี่ยนกันในที่นี้ คือ ‘ธนาคารขยะ’ กับ ‘สังคมสูงวัย’
ที่น่าสนใจ (และคิดว่าขณะนี้คนน่าจะสนใจ) คือเพราะ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หลายหน่วยงานทั้งในชุมชนออนไลน์และห้างร้านเอกชน ต่างร่วมใจกันเคลื่อนทัพ ‘say no to single-use plastic’ ไม่เอาหลอดพลาสติกบ้าง ไม่เอาถุงพลาสติกบ้าง หลายร้านให้ส่วนลดกับคนที่นำภาชนะบรรจุภัณฑ์มาเอง
แต่เหตุผลจุดเริ่มต้น อันที่จริงไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือไม่นะคะ เดาว่าหมุดหมายสำคัญในไทยเริ่มจากข่าววาฬนำร่องครีบสั้นเกยตื้นที่ ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สำหรับต่างประเทศ ที่อ้างอิงทั่วไปคือคลิปวิดีโอเอาหลอดพลาสติกออกจากจมูกเต่าเมื่อสองปีก่อน
หลังจากนั้นเวลาที่พูดว่า ‘ไม่เอาถุงพลาสติก’ จึงเป็นที่เข้าใจและไม่ถูกตั้งแง่ว่าเป็นพวก ‘นโยบายทางสิ่งแวดล้อมจัด’
กลับมาที่ ‘ธนาคารขยะ’ ในตำบลเอราวัณ ว่าน่าสนใจจนต้องหยิบมาพูดที่ตรงไหน และเกี่ยวกับ ‘สังคมสูงวัย’ อย่างไร (อย่ามาจับแพะชนแกะนะ!) ซึ่งจะขออธิบายยาวๆ แบ่งเป็นหมวดๆ แต่อยากเกริ่นสั้นๆ ในที่นี้ก่อนว่า
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้โมเดลธนาคารขยะมัน ‘เวิร์ค’ ได้ในพื้นที่ ส่วนตัวเห็นว่าเขาใช้โมเดลการจัดการแบบธนาคารจริงๆ โดยเฉพาะการนำระบบ ‘ประกันชีวิต’ เข้าร่วมด้วย และกลุ่มเป้าหมายสำคัญ คือ ‘ผู้สูงวัย’ ในชุมชน
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/08/ARC_8453.jpg)
ที่มาโครงการ ‘ธนาคารขยะ’
ตอนเด็กๆ เคยเป็นสมาชิกธนาคารขยะในหมู่บ้าน และพบว่า ‘วุ่นวาย’ เหลือเกิน เพราะไม่ใช่แค่แยกขวดพลาสติกออกจากกระดาษ แยกกล่องนมออกจากขยะอันตราย แต่เฉพาะขวดพลาสติก มันต้องแยกย่อยระดับ… นี่ขวดนมเปรี้ยว (ขวดขุ่น ตูดมีเส้นขีดกลางหนึ่งเส้น) นี่ขวดน้ำสีใส ในขวดน้ำสีใสก็ต้องแยกฝา ฉลากพลาสติกหุ้มพลาสติกอีกรอบ แล้วจึงส่งขายธนาคารได้อย่างมีราคา
ถ้าไม่แยกทั้งหมดนี้ จะถูกระบุว่าเป็นขยะทั่วไป ราคาต่ำเตี้ยไม่คุ้มกับการหมกขยะไว้ในบ้านเป็นเดือนๆ ให้แม่ด่าเล่น
คนเป็นลูกที่ยังเด็ก มีกำลัง เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ครูเปิด An Inconvenient Truth สารคดีว่าด้วยเรื่องโลกร้อนอันลือชื่อเพื่อให้เข้าใจปัญหาสิ่งแวดล้อม ให้ดู แต่ถึงเวลาจริงกลับอยากจะยกขยะให้ซาเล้งฟรีๆ ไม่เอาตังค์ก็ได้ แยกเท่าที่แยกได้แล้วยกให้คนที่มีอาชีพนี้ทำงานต่อดีกว่า
แต่คนเป็นพ่อ ซึ่งตอนนั้นมีอายุเยอะและเป็นฟรีแลนซ์ -ในแง่ที่มีเวลาอยู่กับบ้าน- กลับทุ่มเท (หมกมุ่น) คัดแยกขยะให้ถูกวิธีเพื่อขายให้ได้ราคาดีที่สุด และไม่ได้คิดจะถอนเงินตรงนั้นออกมา แต่มองเป็นเงิน ‘เก็บตาย’ กองไว้ตรงนั้น
ทั้งหมดนี้เพื่ออยากอธิบายให้เห็นภาพว่า การแยกขยะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และวุ่นวายเรื่องการจัดการในระดับหนึ่ง ผลสุดท้ายคือ ด้วยเวลาที่จำกัด ทั้งเราและพ่อฟรีแลนซ์ ก็ค่อยเลิกส่งขยะเข้าธนาคารขยะในหมู่บ้าน และแยกส่งให้ซาเล้งขาประจำแทน
มันเลยเป็นเรื่องฝังใจว่า “เฮ้ยยย… ธนาคารขยะไม่ใช่เรื่องจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อม แต่เป็นการบริหารจัดการที่ต้องสร้างแรงจูงใจอะไรสักอย่างคู่ควบได้”
ซึ่งไอ้ ‘อะไรซักอย่าง’ ที่ว่า มันถูกปรับให้เข้ากับลักษณะของคนในพื้นที่ และปรับจากความต้องการของคนในพื้นที่ โดยตั้งต้นจาก ‘ธรรมนูญสุขภาพตำบล’
อันที่จริง พอพูดคำว่า ‘ธรรมนูญสุขภาพตำบล’ มันให้ภาพธรรมนูญแข็งทื่อ จับต้องไม่ได้ และเป็นธรรมนูญที่เขียนให้ตรงกับธรรมนูญใหญ่ของฝ่ายรัฐอีกที แต่ อุเทน แสงนาโก ปลัดเทศบาลตำบลเอราวัณ และ แดง วงษา กำนันตำบลเอราวัณ ร่วมกันอธิบายว่า ที่มาของธรรมนูญหมู่บ้าน เกิดจากความ ‘อุกอั่ง’ หรือในภาษาท้องถิ่นแปลว่า ‘ความคับข้องใจ’
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/08/แดง-วงษา-667x1000.jpg)
“ถ้าถามเพิ่น (คนอื่น, เขา) ว่าอยากได้อะไร อยากทำอะไร มีปัญหาอะไร เพิ่นอาจจะตอบไม่ได้ แต่ถ้าให้พูดถึงความ ‘อุกอั่ง’ เพิ่นระบายออกมาได้หมด อุกอั่งแม้กระทั่งลูกผัวตัวเอง (หัวเราะ)” อุเทนอธิบายถึงที่มาของการทำธรรมนูญสุขภาพตำบลในช่วงแรก และเล่าว่าไม่ใช่แค่ให้ชาวบ้านได้ระบาย แต่หลังจากนั้นต้องนำปัญหาที่หลากหลายมาจัดลำดับและต้องประชุมกันอีกหลายรอบ ว่านี่คือปัญหาที่อยากจะแก้ร่วมกันจริงๆ ใช่ไหม ถ้าแก้ แก้อย่างไร
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/08/อุเทน-แสงนาโก.jpg)
“เราใช้เวลาประมาณสองปี เพื่อคุยว่าความอุกอั่งที่อยากแก้คืออะไร ไม่รีบ จะเอาเวลามากำหนดไม่ได้ เมื่อได้แล้ว การทำงานของเทศบาลต้องยึดธรรมนูญเป็นแกน ทำให้มีชีวิตอยู่ตลอด” อุเทนกล่าว
ข้อตกลงร่วมของชุมชน ยกร่างเป็น ‘ธรรมนูญสุขภาพสู่ตำบลสุขภาวะของประชาชนตำบลเอราวัณ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2558’ ประกาศใช้เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2558 แต่เฉพาะโครงการธนาคารขยะ ถูกทบทวนและบรรจุเพิ่มลงในในภารกิจชุมชน และประกาศใช้ฉบับแก้ไขเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ความสำเร็จเชิงประจักษ์ (ซึ่งหมู่บ้านของข้าพเจ้าทำได้ไม่นาน) นอกจากมีความร่วมมือทั้งจากเจ้าหน้าที่เทศบาล ผู้ประกอบการรับซื้อขยะ และจากชุมชน จนเกิดการพัฒนารูปแบบและแรงจูงใจจำนวนหนึ่งในฐานะ ‘ธนาคาร’ ผลลัพธ์โดยตรงอย่างจำนวนขยะที่เคยเกลื่อนในชุมชนก็หายไป (จาก 9 ตัน/วัน ในเดือนมกราคม ปี 61 เป็น 5 ตัน/วัน ในเดือนมกราคม ปี 60) เวลามีงานบุญต่างๆ ไม่เคยมีขยะเหลือ เวลาชาวบ้านออกไปทำงานนอกพื้นที่ก็มีการเก็บขยะข้างนอกเข้ามาขายในหมู่บ้าน
และมีชีวิตขนาดที่โครงการธนาคารขยะมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขระบบการบริหารตามปัญหาที่เกิดจริงระหว่างดำเนินโครงการ เช่น การบันทึกยอดเงินร่วมที่ต้องชัดเจนโปร่งใสและมีสำเนาเหมือนกันทั้งสามตัวละคร คือ เจ้าหน้าที่ธนาคาร ผู้รับซื้อขยะ และผู้ฝากขายขยะ, มีการประชุมร่วมกำหนดคณะกรรมการจากตัวแทนหมู่บ้าน, ขยายโครงการจากรีไซเคิลขยะมูลฝอยอย่างเดียว เป็นรีไซเคิลขยะจากอาหารเพื่อทำเป็นปุ๋ย หรือการเข้ามาสนับสนุนอุปกรณ์รีไซเคิลขยะอาหารจากเทศบาล และอื่นๆ
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/08/ARC_8492.jpg)
สังคมสูงวัยในธนาคารขยะ: สิ่งแวดล้อมเรื่องรอง ระบบประกันชีวิตสิเรื่องจริง
ที่น่าสนใจจริงๆ อยู่ที่หัวข้อนี้ เพราะภาพที่เห็นในวันที่สมาชิกเอาขยะมาขายกัน เกือบทั้งหมดคือคุณลุง คุณป้า คุณย่า คุณยาย มองไปแล้วให้ความรู้สึกเอ็นดูปนตั้งข้อสังเกตว่า ‘นี่มัน aging society’ ชัดๆ
เข้าไปพูดคุยกับสมาชิกที่นำขยะมาขาย อย่าง แม่แตงอ่อน ภักดีกุล อายุ 69 ปี พูดคุยทั่วไปเรื่องกิจวัตรประจำวันและนิสัยการคัดแยกขยะ เธอเล่าว่า ข้อเรียกร้องที่บอกให้คัดแยกขยะอย่างเข้มงวดจริงจังไม่ได้สร้างความวุ่นวายให้กับเธอ เพราะก่อนเข้าร่วมโครงการ ผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่อธิบายวิธีคัดแยกอย่างละเอียดและชี้แจงราคาอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก การไม่คัดแยกแล้วขายรวมต่างหากที่เป็นปัญหา เพราะได้ราคาน้อย
เมื่อถามว่า นิสัยคัดแยกขยะแบบนี้เกิดขึ้นกับสมาชิกทุกคนในบ้าน หรือเป็นแค่เธอที่จัดการ เธอเล่าว่าส่วนใหญ่แล้วมีแค่เธอ เพราะลูกหลานต้องไปเรียนหรือทำงานนอกบ้าน บ้างต้องออกไปทำงานต่างเมือง ทำให้เธอซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการบ้าน สะดวกและมีเวลาพอจะคัดแยกมากกว่า (ใช่ไหมว่า การจัดการบ้านเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทักษะและการบริหารงานเต็มเวลา และยังไม่พูดถึงปัญหาแรงงานอพยพเข้าไปทำงานในตัวเมือง)
นอกจากนี้ เธอยังอธิบายด้วยเสียงกระซิบพร้อมกระหยิ่มยิ้ม “ป้าไม่เคยถอนเลย เก็บไว้เป็นเงินตอนตาย และสำหรับ (โครงการ) ฌาปนกิจอย่างเดียว”
โครงการฌาปนกิจที่ว่า เป็นหนึ่งในแรงจูงใจที่โครงการธนาคารขยะใช้ชวนลูกบ้านให้เข้ามาเปลี่ยนขยะเป็นเงิน ซึ่งนายแดง กำนันตำบลเอราวัณ เปรียบว่าคล้ายกับระบบประกันชีวิต คือเมื่อมีลูกบ้านตาย สมาชิกในโครงการธนาคารขยะทุกคนที่ได้รับสิทธิ (ฝากขยะอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหกเดือน) จะต้องจ่ายเงินเข้าโครงการฌาปนกิจเป็นเงิน 20 บาท โดยธนาคารจะรวบรวมเงินที่ได้ส่งให้กับญาติผู้ตายเพื่อเป็นเงินทำศพต่อไป และผู้มีสิทธิรับเงินฌาปนกิจนี้ก็ไม่ใช่เฉพาะสมาชิกที่ฝาก แต่ญาติหรือผู้มีชื่อในสำเนาทะเบียนบ้านเดียวกันก็มีสิทธิได้เงินฌาปนกิจด้วย
และต้องย้ำตรงนี้ว่า แม้ว่าระบบฌาปนกิจจะมีอยู่แล้วในชุมชน แต่โครงการดังกล่าวยังถูกดึงเข้ามาอยู่ในโครงการธนาคารขยะอยู่ดี เพื่อให้เกิดการจัดสรรอย่างเป็นระบบมากขึ้นในแง่การจัดการในระบบธนาคาร
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/08/ศีลธรรม-ชาภักดี-ขวา.jpg)
ศีลธรรม ชาภักดี เจ้าหน้าที่โครงการธนาคารขยะรีไซเคิล อธิบายเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีชาวบ้านเข้าร่วมโครงการจำนวน 16 หมู่บ้าน รวม 1,200 ครัวเรือน จาก 2,500 ครัวเรือน หรือคิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในตำบล อีก 30 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่เข้าร่วมคือชาวบ้านที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน แต่ต้องออกไปทำงานต่างจังหวัด หมายความว่า หากอาศัยอยู่จริงในตำบล ชาวบ้านเกือบทั้งหมดเข้าร่วมโครงการ แต่จะฝากมากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่กิจกรรมของแต่ละคน เฉพาะยอดเงินฝากต่อเดือนเฉลี่ยที่ 60,000-70,000 บาท ไม่รวมยอดหักเงินฌาปนกิจรายเดือนที่ต้องจ่ายให้แก่สมาชิก
ประเมินจากคนนอก เราตีความว่า ส่วนหนึ่งที่การบริหารจัดการสำเร็จและเห็นผลเชิงประจักษ์ เพราะธรรมนูญพื้นที่เกิดขึ้นจากคนในชุมชน ซึ่งคนที่อยู่ส่วนใหญ่ (ประเมินจากสายตาตลอดสองวันที่เข้าร่วมกิจกรรม) คือคุณลุง คุณป้า คุณย่า คุณยาย ระบบที่เกิดขึ้น จึงเป็นความต้องการของพวกเขา หากลองจับระบบฌาปนกิจในโมเดลธนาคารขยะมาใส่ในธนาคารขยะของมหาวิทยาลัย ทำนายหยาบๆ อาจบอกว่าไม่ได้ผล
และหากเป็นเหตุผลอย่างที่แม่แตงอ่อนเล่าว่า มีแต่เธอที่คัดแยกขยะ เพราะลูกๆ ต้องออกไปทำงานนอกบ้านต่างเมือง นั่นอาจยิ่งเห็นภาพว่า สังคมสูงวัยในต่างจังหวัดเกิดขึ้นจริงแล้ว และไม่ใช่ภาพหม่นเศร้าเสียใจ แต่คือตลาด คือกิจกรรม คือระบบที่หากถูกคิดให้ฟังก์ชั่น (แน่นอนว่าต้องฟังเสียงผู้ใช้) นี่แค่ธนาคารขยะที่จับคู่กับฌาปนกิจ แต่โมเดลอื่นและในพื้นที่อื่นล่ะ? มันจะมีโอกาสทางเศรษฐกิจและเกิดกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ทำได้จริงมากขนาดไหน
และเป็นอีกครั้งที่ (พวกเราปลอดภัย -เดี๋ยว ไม่ใช่พาวเวอร์พัฟเกิร์ล!) ธนาคารขยะสอนให้รู้ว่า จะจับเรื่องสิ่งแวดล้อม จะรอให้คนเปลี่ยนเพราะจิตสำนึกไม่ได้จริงๆ